ชั้น SMAS หลายคนอาจไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าคืออะไร แต่จริงๆ แล้วผิวชั้น SMAS มีผลอย่างมากต่อการรักษาความกระชับของใบหน้า การเสื่อมสภาพของชั้นนี้อาจเป็นสาเหตุหลักของการหย่อนคล้อยของผิวและริ้วรอยลึก ในบทความนี้ Vincent Clinic Aesthetic จะพามารู้จักผิวชั้นนี้แบบเจาะลึกว่าทำไมถึงมีความสำคัญในการ ยกกระชับผิว และเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวกับผิวชั้นนี้ค่ะ
Key Takeaways
- SMAS คือชั้นเนื้อเยื่อสำคัญที่อยู่ระหว่างชั้นไขมันและกล้ามเนื้อใบหน้า เป็นโครงสร้างที่ช่วยพยุงผิวและกล้ามเนื้อไว้ด้วยกัน มีบทบาทในการเคลื่อนไหวและความยืดหยุ่นของใบหน้า
- การเสื่อมของ SMAS คือหนึ่งในสาเหตุหลักของความหย่อนคล้อยและริ้วรอยลึก เมื่อ SMAS สูญเสียความแข็งแรง จะส่งผลให้ผิวหนังชั้นบนตกลงตามแรงโน้มถ่วง ทำให้เกิดใบหน้าหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด และริ้วรอยเด่นชัดขึ้น
- เทคโนโลยียกกระชับที่ได้ผลจริงต้องยิงลึกถึงชั้น SMAS เช่น Ulthera, HIFU (บางเครื่อง), Morpheus8 ที่สามารถส่งพลังงานลงถึงชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นการหดตัวและยกกระชับได้จากโครงสร้างลึกของใบหน้า
- Ulthera มีความแม่นยำสูงที่สุดในการยกกระชับ SMAS ด้วยภาพ Visualization ที่ช่วยให้แพทย์เห็นชั้น SMAS ขณะยิง ทำให้ได้ผลลัพธ์แม่นยำและปลอดภัย
- เทคโนโลยีอย่าง Thermage ไม่สามารถลงลึกถึง SMAS ได้ จึงเหมาะกับผิวชั้นตื้น แต่ไม่ช่วยยกกระชับลึกถึงโครงสร้างชั้นล่าง
- การเย็บชั้น SMAS ด้วยการผ่าตัดดึงหน้า (SMAS Facelift) ยังเป็นวิธีถาวรที่สุด
แต่เหมาะกับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยมาก และต้องการผลลัพธ์ระยะยาว โดยต้องพักฟื้นและดูแลแผลหลังผ่าตัด - สัญญาณว่า SMAS เริ่มเสื่อม ได้แก่ ใบหน้าหย่อนคล้อย กรอบหน้าเบลอ ร่องแก้มลึก หรือผิวไม่เด้ง มักเริ่มพบในผู้หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่ลดน้ำหนักเร็ว พักผ่อนน้อย หรือมีปัจจัยเร่งการเสื่อมของผิว
- ยิงถึง SMAS ไม่จำเป็นต้องตรวจด้วยอัลตราซาวนด์ก่อน เพราะเครื่องอย่าง Ulthera มี Visualization ในตัว ช่วยให้แพทย์มองเห็น SMAS และควบคุมการยิงได้แบบ Real-Time
- การดูแล SMAS ด้วยเทคโนโลยีอย่างเหมาะสมในช่วงอายุที่เหมาะสม จะช่วยชะลอวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่จำเป็นต้องรอจนใบหน้าหย่อนชัดเจนแล้วค่อยมาดึง แต่สามารถเริ่มดูแลก่อนล่วงหน้าเพื่อลดความรุนแรงในอนาคต
SMAS คืออะไร
ก่อนจะเลือกทำ HIFU หรือ Ulthera สิ่งแรกที่ควรเข้าใจคือ SMAS ชั้นผิวลึกที่มีบทบาทสำคัญในการยกกระชับใบหน้าอย่างแท้จริง หัวข้อนี้จะพาคุณทำความรู้จักกับ SMAS อย่างละเอียดแต่เข้าใจง่าย ว่าชั้น SMAS คืออะไร และยกกระชับถึง SMAS ดีไหม
SMAS (Superficial Musculo Aponeurotic System) คือ ชั้นเนื้อเยื่อที่มีลักษณะเป็นพังผืดบาง ๆ ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างผิวหนังกับกล้ามเนื้อใบหน้า ชั้นนี้อยู่ลึกกว่าชั้นไขมันใต้ผิว แต่ยังอยู่ตื้นกว่ากล้ามเนื้อที่ใช้ในการแสดงสีหน้า มีหน้าที่รองรับและยึดโยงโครงสร้างของผิวหน้าให้คงรูป ยืดหยุ่น และเคลื่อนไหวได้ตามปกติ
การยกกระชับที่ลงลึกถึงชั้น SMAS ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ให้ผลลัพธ์อย่างตรงจุด เพราะเป็นการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยตั้งแต่ต้นตอ โดยการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่สามารถส่งพลังงานลึกถึงชั้นนี้ จะช่วยให้เนื้อเยื่อเกิดการหดตัวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในระดับลึก ส่งผลให้ผิวด้านบนถูกยกตามไปโดยอัตโนมัติ แตกต่างจากการยกกระชับผิวชั้นตื้นที่ให้ผลเพียงชั่วคราว การยิงถึง SMAS จะให้ผลชัดเจนกว่า และอยู่ได้นานกว่า
SMAS อยู่ตรงไหนของผิว? โครงสร้างและลำดับชั้นผิว
ชั้น SMAS ไม่ได้อยู่บนผิวที่เราสัมผัสได้ด้วยตาเปล่า แต่อยู่ลึกลงไปใต้ชั้นไขมัน หัวข้อนี้จะอธิบายลำดับของชั้นผิวทั้งหมด เพื่อให้เห็นว่าการยิงพลังงานถึง SMAS ต้องลงลึกขนาดไหน โดยโครงสร้างผิวหนังมีดังนี้
- ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ชั้นนอกสุดที่ทำหน้าที่ปกป้องผิวจากสิ่งแปลกปลอมและป้องกันการสูญเสียน้ำ
- ชั้นหนังแท้ (Dermis) ชั้นที่มีความหนามากที่สุด ประกอบด้วยคอลลาเจนและอิลาสติน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและความแข็งแรง
- ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous fat) อยู่ลึกที่สุดในผิวหนัง ทำหน้าที่เป็นแหล่งเก็บพลังงานและช่วยปกป้องอวัยวะภายใน
- ชั้น SMAS อยู่ระหว่างชั้นไขมันและชั้นกล้ามเนื้อใบหน้า ทำหน้าที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อกับผิวหนังและช่วยในการเคลื่อนไหวและยืดหยุ่นของใบหน้า
ใครมีปัญหาเรื่อง SMAS เสื่อม?
เมื่ออายุเพิ่มขึ้น หรือมีพฤติกรรมบางอย่าง เช่น ลดน้ำหนักเร็ว หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ชั้น SMAS ก็สามารถเสื่อมสภาพลงได้ โดยคนที่มีปัญหาชั้น SMAS เสื่อมมีดังนี้
- ผู้หญิงอายุ 30 – 40 ปีขึ้นไป เริ่มเห็น ริ้วรอย และความหย่อนคล้อย
- คนที่เริ่มมีร่องแก้มลึก หรือกรอบหน้าไม่ชัดเจน
- น้ำหนักขึ้นลงบ่อย ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น
- ใบหน้าเริ่มตกตามแรงโน้มถ่วงการสูญเสียคอลลาเจนทำให้ผิวหย่อน
ทำไม SMAS สำคัญต่อการยกกระชับหน้า?
ถ้าต้องการ ยกหน้า ให้เห็นผลจริง การกระตุ้นแค่ผิวด้านบนอาจไม่เพียงพอ เพราะต้นตอของ ผิวหย่อนคล้อย อยู่ที่ SMAS เนื่องจาก SMAS (Superficial Musculo Aponeurotic System) เป็นชั้นเนื้อเยื่อที่มีความสำคัญในการยกกระชับผิวหน้า เพราะมันเชื่อมโยงผิวหนังกับกล้ามเนื้อใบหน้า ซึ่งเป็นชั้นที่มีผลโดยตรงต่อความกระชับและความยืดหยุ่นของผิว เมื่อชั้น SMAS เสื่อมสภาพหรือขาดความยืดหยุ่น จะทำให้ผิวหนังเกิดการหย่อนคล้อย มีริ้วรอย และทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าที่เป็นจริง
เทคโนโลยีที่ยิงถึงชั้น SMAS มีอะไรบ้าง?
ปัจจุบันมีเทคโนโลยีไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่สามารถ ยิงพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ได้จริง โดยเฉพาะ การยิง Ulthera ถึง SMAS ถือเป็นหนึ่งในเทคนิคที่ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด เพราะสามารถใช้พลังงานอัลตราซาวนด์ความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง และมีระบบ Visualization ที่ช่วยให้แพทย์เห็นระดับชั้น SMAS แบบ Real-Time นอกจากนี้การยกกระชับผิวด้วย Hifu หรือ Ulthera ก็ยังสามารถลงลึกถึงชั้น SMAS ที่เป็นขั้นตอนที่สำคัญในกระบวนการฟื้นฟูผิวหน้าได้ เพราะหากดึงชั้นนี้ให้ตึง ผิวชั้นบนที่อยู่เหนือ SMAS จะถูกดึงตาม ทำให้ใบหน้าดูยกกระชับขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ แตกต่างจากการ Thermage ที่ยกแค่ผิวหนังชั้นบน ซึ่งผลลัพธ์อาจไม่ยั่งยืนและไม่สมบูรณ์เท่า
โดยในหัวข้อนี้จะเปรียบเทียบเครื่องยกกระชับที่สามารถลงถึงผิวชั้น SMAS และเครื่องยกกระชับที่ลงไม่ถึงชั้น SMAS ดังนี้
เทคโนโลยี |
ยิงลึกถึง SMAS ได้ไหม? |
ความรู้สึก |
ผลลัพธ์ |
Ulthera | ได้ | เจ็บกลาง–สูง | ยกกระชับระดับลึก |
HIFU | บางเครื่องเท่านั้น | เจ็บน้อยกว่า | ยกน้อยกว่า |
Morpheus8 | หากเป็นหัวระดับลึก | เจ็บระดับกลาง | ยกกระชับ ฟื้นฟูผิว |
Thermage | ไม่ถึง SMAS | ร้อนในชั้นผิวเล็กน้อย | ผิวแน่นขึ้น |
Ulthera HIFU Morpheus8 แตกต่างยังไง?
แม้ทั้ง 3 ตัวนี้จะเป็นเครื่องยกกระชับผิวที่สามารถลงลึกได้ถึงชั้น SMAS เหมือนกัน แต่ก็มีจุดเด่น จุดด้อย มีความแตกต่างกันดังนี้
Ulthera
Ulthera ใช้เทคโนโลยีคลื่นอัลตราซาวด์ความถี่สูงที่สามารถเจาะลึกไปถึงชั้น SMAS โดยตรง ทำให้สามารถยกกระชับและปรับรูปหน้าได้อย่างแม่นยำ โดยเครื่องมีหน้าจอแสดงระดับความลึกของคลื่นที่ยิงลงไป ทำให้การยกกระชับเป็นไปอย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นชัดเจนหลังทำประมาณ 2-3 เดือน และสามารถคงผลได้ยาวนานถึง 1 ปี ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวหน้าเต่งตึง ริ้วรอยลดลง และกรอบหน้าชัดเจนขึ้น
HIFU (High Intensity Focused Ultrasound)
HIFU ใช้คลื่นอัลตราซาวด์ความถี่สูงเพื่อส่งพลังงานไปกระตุ้นคอลลาเจนในทุกชั้นของผิว โดยเฉพาะชั้น SMAS ซึ่งจะทำให้เกิดการหดตัวของชั้นไขมันและ SMAS เพื่อยกกระชับผิวหน้า ลดริ้วรอยและปัญหาความหย่อนคล้อย การทำ HIFU สามารถเห็นผลได้ทันทีหลังทำ 20% และผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะค่อย ๆ ปรากฏใน 1-2 เดือนหลังทำ โดยผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน
Morpheus8
Morpheus8 เป็นการรวมพลังงานคลื่นวิทยุ (RF) และเทคโนโลยี Microneedling เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นผิวที่ลึก รวมถึงชั้น SMAS โดยการใช้เข็มเล็ก ๆ ที่เคลือบทองคำจะเจาะลงไปในชั้นผิว และปล่อยพลังงาน RF เพื่อกระชับผิวและลดไขมันส่วนเกินที่ทำให้ใบหน้าหย่อนคล้อย โดยผลลัพธ์หลังทำ Morpheus8 สามารถอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี
SMAS กับผ่าตัดดึงหน้า ต่างจากการยกกระชับทั่วไปยังไง?
เมื่อพูดถึงการยกกระชับใบหน้า หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า “ผ่าตัดดึงหน้าเย็บชั้น SMAS” หรือ “Facelift” ที่เป็นการผ่าตัดที่มีการเย็บชั้น SMAS โดยตรง เพื่อให้ใบหน้าเต่งตึงขึ้น ซึ่งมีข้อแตกต่างจากการยกกระชับ SMAS แบบไม่ผ่าตัดดังนี้
การผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้า เป็นวิธีที่จะทำการตัดและยกเนื้อเยื่อใต้ SMAS ให้ยกสูงขึ้น โดยมักจะทำในกรณีที่มีการหย่อนคล้อยของผิวหน้าอย่างมาก ซึ่งจะแตกต่างกับเครื่องยกกระชับ Ulthera หรือ Hifu ที่กระตุ้นให้ SMAS หดตัว ถึงแม้การผ่าตัดดึงหน้าจะให้ผลลัพธ์ถาวร แต่ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดการอักเสบติดเชื้อ
ต้องรู้ไหมว่า SMAS ของตัวเองเสื่อมแล้ว?
หลายคนไม่รู้ว่าตัวเองมีปัญหาชั้น SMAS หรือไม่ แล้วจำเป็นต้องตรวจไหมก่อนทำ HIFU หรือ Ulthera ไหม การสังเกตง่ายๆ ว่าชั้น SMAS เสื่อมหรือยังดูได้จากผิว ความหย่อนคล้อยของใบหน้า หากรู้สึกว่าใบหน้าไม่เฟิร์มแล้ว แปลว่าชั้น SMAS เริ่มเสื่อม
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับชั้น SMAS
Q: SMAS คือกล้ามเนื้อใบหน้าหรือเปล่า?
A: ไม่ใช่ค่ะ SMAS เป็นเยื่อพังผืดที่ครอบคลุมชั้นกล้ามเนื้อใบหน้า และช่วยพยุงผิวหนังชั้นบน
Q: ถ้าไม่ยิงถึง SMAS จะยกหน้าไม่ได้เลยใช่ไหม?
A: ยังสามารถยกหน้าได้ แต่ผลลัพธ์จะไม่ลึกหรือยกชัดเท่ากับเทคโนโลยีที่กระตุ้นถึง SMAS
Q: ต้องทำอัลตราซาวนด์ดู SMAS ก่อนยิง Ulthera หรือไม่?
A: ไม่จำเป็นค่ะ เนื่องจากเครื่องยกกระชับ เช่น Ulthera มีหน้าจอ Real-time Visualization ที่ช่วยให้แพทย์เห็นชั้น SMAS ขณะทำได้อย่างแม่นยำ
Q: ยิงถึง SMAS แล้วจะเจ็บไหม?
A: อาจรู้สึกร้อนลึกหรือเจ็บจี๊ดบางจุด แต่แพทย์สามารถปรับระดับพลังงาน และแปะยาชาก่อนทำช่วยลดความเจ็บได้
Q: ยิงถึง SMAS แล้วมีผลข้างเคียงอะไรไหม?
A: ผลข้างเคียงที่พบได้ เช่น รู้สึกตึง บวมแดง หรือปวดจี๊ดบางจุดชั่วคราว ซึ่งจะหายไปภายใน 2–3 วัน
Q: ยิงถึง SMAS บ่อยเกินไปจะทำให้ชั้นผิวบางหรือหย่อนมากขึ้นไหม?
A: หากทำในระยะห่างที่เหมาะสมทุกๆ 6 – 12 เดือน การยิง SMAS จะช่วยให้ผิวเฟิร์มขึ้น ไม่ทำให้บางหรือเสื่อมเร็ว
Q: จะรู้ได้อย่างไรว่าชั้น SMAS เสื่อมแล้ว?
A: หากสังเกตว่าผิวหน้าเริ่มหย่อน กรอบหน้าไม่ชัด หรือมีร่องแก้มลึก แม้อายุยังไม่มาก อาจเป็นสัญญาณว่าชั้น SMAS เริ่มเสื่อมสภาพแล้ว โดยเฉพาะในคนที่พักผ่อนน้อย เครียดเรื้อรัง หรือผิวขาดคอลลาเจน
Q: ถ้า SMAS เสื่อมแล้วต้องทำยังไง?
A: ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อประเมินระดับความหย่อนคล้อย และเลือกเทคโนโลยีที่สามารถฟื้นฟูชั้น SMAS ได้โดยตรง เช่น Ulthera, HIFU หรือ Morpheus8 ซึ่งช่วยให้เนื้อเยื่อหดตัวและสร้างคอลลาเจนใหม่ได้ลึกถึงโครงสร้างผิวจริง ๆ
Q: ดูแลตัวเองอย่างไรไม่ให้ SMAS เสื่อมเร็ว?
A: ควรรักษาน้ำหนักให้คงที่ พักผ่อนให้เพียงพอ ทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามิน C และ E และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเร่งการเสื่อมของผิว เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
สรุป
SMAS เป็นชั้นเนื้อเยื่อที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาความกระชับและความยืดหยุ่นของใบหน้า เมื่อชั้น SMAS เสื่อมสภาพหรือสูญเสียความยืดหยุ่น จะส่งผลให้ผิวหน้าหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอยลึก การยกกระชับชั้น SMAS จึงเป็นการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพในการคืนความเต่งตึงให้กับใบหน้า หากใครที่ปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยไม่กระชับ ต้องการยกกระชับที่ลึกถึงชั้น SMAS สามารถเข้ามาปรึกษากับ Vincent Clinic Aesthetic ก่อนได้ โดยแพทย์ที่มีประสบการณ์จะคอยให้คำแนะนำอย่างละเอียดเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาตรงตามความต้องการของคนไข้ค่ะ