ปากกระจับแบบไม่ผ่าตัด เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับคนที่อยากมีรูปปากชัด ได้ทรงสวยละมุน โดยไม่ต้องเจ็บตัวหรือพักฟื้นจากการศัลยกรรม ในบทความนี้ Vincent Clinic Aesthetic จะพามารู้จักกับการทำปากกระจับแบบไม่ผ่าตัดว่ามีทั้งหมดกี่วิธี แล้วต่างกับการทำปากกระจับแบบผ่าตัดอย่างไร รวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่ควรรู้ด้วยค่ะ
Key Takeaway
- ปากกระจับแบบไม่ผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปปากให้ดูหวาน อ่อนโยน โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้น
- วิธีที่นิยมมากที่สุดของการทำปากกระจับแบบไม่ผ่าตัด คือ การฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งเห็นผลเร็ว อยู่ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน และสามารถปรับแก้หรือเติมเพิ่มได้
- ทางเลือกในการทำปากกระจับอื่น เช่น ร้อยไหม โบท็อก หรือเครื่องยกกระชับ ช่วยเสริมการยกมุมปาก แต่ไม่สามารถปรับรูปทรงได้เหมือนฟิลเลอร์
- ข้อดีของปากกระจับแบบไม่ผ่าตัดคือ ไม่มีแผล ใช้เวลาน้อย ฟื้นตัวเร็ว และสามารถกลับคืนรูปเดิมได้หากไม่พอใจ
- ข้อจำกัดของปากกระจับแบบไม่ผ่าตัดคือ ผลลัพธ์ไม่ถาวร ปรับทรงได้จำกัดตามโครงสร้างเดิม และต้องพึ่งพาเทคนิคของแพทย์เป็นหลัก
- ผู้ที่มีปากหนามากต้องการผลถาวร หรือมีข้อห้ามทางการแพทย์บางประการ อาจไม่เหมาะกับวิธีทำปากกระจับแบบไม่ผ่าตัด
- เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่สวยเป็นธรรมชาติควรเลือกทำปากกระจับแบบไม่ผ่าตัดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ในคลินิกที่น่าเชื่อถือ
ปากกระจับแบบไม่ผ่าตัด คืออะไร?
ปากกระจับแบบไม่ผ่าตัด คือ การปรับรูปทรงริมฝีปากให้โค้งสวย มีกระจับตรงกลาง และมุมปากยกขึ้นอย่างเป็นปากกระจับอย่างธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัดศัลยกรรมปาก ซึ่งเทคนิคนี้เหมาะกับผู้ที่อยากให้ใบหน้าดูหวานละมุนขึ้นที่ไม่ต้องพักฟื้น หรือดูแลแผลหลังทำ แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ถาวรต้องกลับมาทำซ้ำหลายครั้งหากอยากคงทรงปากเอาไว้
เทคนิคไหนบ้างที่ใช้ทำปากกระจับโดยไม่ผ่าตัด?
การปรับทรงปากให้ได้รูปกระจับสวยโดยไม่ต้องผ่าตัด เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในยุคที่ผู้คนต้องการเปลี่ยนลุคโดยไม่ต้องพักฟื้นนาน มีวิธีดังนี้
ฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับ
ฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับเป็นการฉีดไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็นสารเติมเต็มที่ปลอดภัย และย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ โดยแพทย์จะฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในตำแหน่งต่างๆ ของริมฝีปาก เช่น กระจับกลางปากบน ริมฝีปากล่าง หรือบริเวณมุมปาก เพื่อจัดแต่งทรงให้ปากโค้งเรียวและดูมีมิติมากขึ้น
ซึ่งฟิลเลอร์ปากสามารถออกแบบทรงปากได้หลายทรง นอกจากทรงปากกระจับก็สามารถฉีดได้ เลือกฉีดทั่วริมฝีปาก หรือเฉพาะจุดก็ได้ ขึ้นอยู่กับโครงสร้างปากเดิม และทรงที่ต้องการ โดยหลังฉีดปากสามารถเห็นผลได้ทันทีหลังทำ และอยู่ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือนขึ้นอยู่กับยี่ห้อ รุ่น และเนื้อฟิลเลอร์ที่เลือกใช้
เทคนิคอื่นๆ ที่ปรับทรงปากได้
แม้การฉีดฟิลเลอร์จะเป็นเทคนิคหลักในการปรับรูปปากให้เป็นทรงกระจับโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ก็ยังมีวิธีอื่นๆ ที่ช่วยยกมุมปากได้ แต่จะไม่ได้ปรับไปที่ทรงปากโดยตรง เช่น
- ร้อยไหมยกมุมปาก
การร้อยไหม เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีมุมปากตกจากสาเหตุผิวหย่อนคล้อย หรือโครงสร้างใบหน้าที่เปลี่ยนไปตามอายุ โดยจะร้อยไหมละลายเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณมุมปากแล้วดึงยกขึ้นเพื่อให้ปากดูยิ้มละมุน ใบหน้าดูอ่อนโยนสดใสขึ้นทันทีหลังทำ นอกจากจะช่วยปรับองศามุมปากยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวบริเวณนั้นกระชับมากขึ้นในระยะยาว ผลลัพธ์หลังทำสามารถอยู่ได้นานประมาณ 6 – 24 เดือนขึ้นอยู่กับชนิดของไหม และสภาพผิวของแต่ละคน
- ฉีดโบท็อกยกมุมปาก
โบท็อกเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยยกมุมปากได้ โดยลดการทำงานของกล้ามเนื้อที่ดึงมุมปากลง เหมาะกับคนที่มีมุมปากตกจากกล้ามเนื้อใบหน้าหรือมีลักษณะปากคว่ำตั้งแต่กำเนิด หลังฉีดจะช่วยให้มุมปากดูยกขึ้นเล็กน้อยส่งผลให้ใบหน้าดูไม่บึ้งหรือเศร้า แต่การฉีดโบท็อกในตำแหน่งนี้ต้องอาศัยความชำนาญสูง หากฉีดผิดตำแหน่งอาจเกิดปัญหาปากเบี้ยว หรือแสดงสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติได้ ผลลัพธ์หลังฉีดอยู่ได้ประมาณ 4 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อโบท็อกที่เลือกใช้ และการดูแลหลังฉีด
- เครื่องยกกระชับผิวยกมุมปาก
เครื่องยกกระชับใบหน้าด้วยคลื่นพลังงาน เช่น คลื่นวิทยุ หรือคลื่นอัลตราซาวด์ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ผิวบริเวณรอบปากดูแน่นขึ้น ยกกระชับมุมปากได้เล็กน้อย โดยจะค่อยๆ เห็นผลหลังจากทำประมาณ 1 – 3 เดือนขึ้นอยู่กับเครื่องยกกระชับที่เลือกใช้ และสามารถอยู่ได้นาน 6 – 24 เดือน
เทคนิค | วิธีการ | จุดเด่น | เหมาะกับ | ระยะเวลาผลลัพธ์ |
---|---|---|---|---|
ฉีดฟิลเลอร์ริมฝีปาก | เติมสาร Hyaluronic Acid เข้าไปในริมฝีปากเพื่อขึ้นทรง | ปรับทรงปากได้ชัดเจน เห็นผลเร็ว ปลอดภัย | ผู้ที่ต้องการปรับทรงปากให้ได้รูปโดยไม่ผ่าตัด | 6 – 12 เดือน |
ร้อยไหมยกมุมปาก | ร้อยไหมละลายใต้ผิวเพื่อยกมุมปากที่ตก | ยกมุมปากทันที กระตุ้นคอลลาเจนด้วย | ผู้ที่มีมุมปากตกจากผิวหย่อนคล้อย | 6 – 24 เดือน |
โบท็อกยกมุมปาก | ฉีดเพื่อลดแรงกล้ามเนื้อที่ดึงมุมปากลง | ยกมุมปากเล็กน้อย เหมาะกับโครงหน้าแบบปากคว่ำ | ผู้ที่มีปากตกจากกล้ามเนื้อ ไม่ใช่ผิว | 4 – 6 เดือน |
เครื่องยกกระชับ | ใช้พลังงานคลื่นกระตุ้นคอลลาเจน ยกกระชับผิวรอบปาก | ช่วยให้ผิวแน่นขึ้น แต่ไม่ขึ้นทรงปากโดยตรง | ผู้ที่ต้องการกระชับผิวรอบปากหรือแก้มร่วมด้วย | 6 – 24 เดือน |
ปากกระจับแบบไม่ผ่าตัด เหมาะกับใคร?
กลุ่มคนที่เหมาะกับการทำปากกระจับแบบไม่ผ่าตัดมีหลายประเภท โดยเฉพาะผู้ที่มีลักษณะ หรือความต้องการต่อไปนี้
- ผู้ที่มีริมฝีปากบางหรือมีเนื้อปากน้อย ซึ่งอาจไม่เหมาะกับการศัลยกรรม เนื่องจากโครงสร้างไม่เพียงพอสำหรับการตัดแต่ง หากใช้วิธี ฉีดฟิลเลอร์ จะสามารถเพิ่มวอลลุ่มและขึ้นรูปทรงได้โดยไม่กระทบกับเนื้อปากเดิมมากนัก
- ผู้ที่มีริมฝีปากไม่เท่ากัน ขอบปากไม่ชัด หรือรูปปากไม่เข้ารูป ฟิลเลอร์สามารถปรับแต่งขอบปากและมุมต่างๆ ให้สมดุลขึ้นได้โดยไม่ต้องผ่าตัด
- ผู้ที่มีปัญหามุมปากตกหรือปากคว่ำ ซึ่งทำให้ใบหน้าดูไม่สดใส ดูบึ้งหรือไม่เป็นมิตร การยกมุมปากด้วยฟิลเลอร์ ร้อยไหม หรือโบท็อก สามารถช่วยให้มุมปากดูยิ้มละมุนขึ้นได้ในเวลาไม่นาน
- ผู้ที่ชื่นชอบทรงปากกระจับในแบบที่ให้ลุคหวานละมุน ต้องการปรับรูปปากให้รับกับโครงหน้า เช่น สายตาหวาน คิ้วโค้ง หรือกรอบหน้าเรียว ซึ่งการปรับทรงปากแบบนี้จะเสริมให้ใบหน้าดูสมดุลยิ่งขึ้น
- ผู้ที่ไม่ต้องการศัลยกรรมแบบถาวร เพราะกังวลเรื่องความเจ็บ ไม่อยากพักฟื้น หรือยังไม่มั่นใจในรูปทรงปากที่ต้องการ การฉีดฟิลเลอร์ถือเป็นทางเลือกที่ดี เพราะสามารถปรับเปลี่ยน หรือฉีดสลายฟิลเลอร์ได้
- ผู้ที่มีเวลาจำกัด ไม่สะดวกพักฟื้นหลายวัน การทำปากกระจับแบบไม่ผ่าตัดใช้เวลาทำน้อย ฟื้นตัวไว และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังทำไม่พร้อมสำหรับการผ่าตัด ที่ต้องพักฟื้น
ใครไม่เหมาะกับการทำปากกระจับ
แม้การปรับรูปปากให้เป็นทรงกระจับโดยไม่ต้องผ่าตัดจะเป็นทางเลือกที่สะดวก ปลอดภัย และเห็นผลไว แต่ไม่ได้เหมาะกับทุกคน เพราะยังมีข้อจำกัด เช่น
- ผู้ที่มีริมฝีปากหนามากหรือเนื้อปากเยอะเกินไป เพราะการฉีดฟิลเลอร์ไม่สามารถลดเนื้อปากได้ มีแต่จะเพิ่มวอลลุ่มเข้าไปอีก อาจทำให้ปากดูหนาเกินและไม่สมส่วน
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ถาวร ฉีดฟิลเลอร์ หรือใช้เทคนิคไม่ผ่าตัดจะให้ผลชั่วคราว โดยทั่วไปอยู่ได้ประมาณ 6 – 12 เดือน ไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงแบบถาวร
- ผู้ที่มีประวัติแพ้สารเติมเต็มหรือแพ้ฟิลเลอร์บางชนิด โดยเฉพาะผู้ที่เคยมีอาการแพ้รุนแรง หรือเคยมีประสบการณ์ไม่ดีจากการฉีดฟิลเลอร์ในอดีต
- ผู้ป่วยที่มีภาวะปากบวมเทียม เป็นภาวะที่ปากดูบวมหนาเกินจริงจากการอักเสบหรือระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ ไม่เหมาะกับการเติมฟิลเลอร์เพิ่ม
- ผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาสุขภาพช่องปาก เช่น อยู่ในช่วงดัดฟัน มีเหงือกอักเสบ หรือมีการอักเสบภายในช่องปาก ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือส่งผลต่อการฟื้นตัว
- ผู้ที่มีภาวะทางจิตใจไม่มั่นคงหรือไม่รับมือกับช่วงเวลาฟื้นตัวได้ แม้จะไม่ต้องพักฟื้นนาน แต่บางรายอาจเกิดอาการบวม รอยเข็ม หรือรูปร่างปากยังไม่เข้าที่ในช่วงแรก ซึ่งอาจทำให้รู้สึกกังวลหรือไม่มั่นใจหากจิตใจไม่พร้อม
ต้องใช้ฟิลเลอร์ฉีดปากกระจับกี่ cc?
การฉีดฟิลเลอร์เพื่อปรับรูปปากให้เป็นทรงกระจับมักใช้ปริมาณประมาณ 0.5 cc หรือ ฟิลเลอร์ 1 cc ก็เพียงพอสำหรับการขึ้นทรงให้เห็นผลอย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะในเคสที่มีเนื้อปากอยู่แล้ว หรือเพียงต้องการปรับทรงเล็กน้อย เช่น เพิ่มกระจับหรือยกมุมปาก แต่หากริมฝีปากบางมาก ขอบปากไม่ชัด หรืออยากเพิ่มวอลลุ่มให้ดูอวบอิ่ม แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ 1.5 – 2 cc เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้น
เลือกฟิลเลอร์แบบไหนดีสำหรับปากกระจับ?
การเลือกฟิลเลอร์สำหรับฉีดปากกระจับถือเป็นขั้นตอนสำคัญไม่แพ้เทคนิคของแพทย์ เพราะ เนื้อฟิลเลอร์ ที่เหมาะสมจะช่วยให้รูปปากขึ้นทรงได้อย่างสวยงาม ดูเป็นธรรมชาติ และลดความเสี่ยงในการเกิดก้อนหรือความผิดรูปหลังฉีด
ฟิลเลอร์ที่ใช้กับริมฝีปากควรมีลักษณะ เนื้อนิ่ม ขึ้นทรงได้ดี และยืดหยุ่นพอสมควร เพื่อให้กลืนไปกับเนื้อริมฝีปากเดิม ไม่จับตัวเป็นก้อน และสามารถขยับได้ตามธรรมชาติเมื่อพูดหรือยิ้ม เช่น
- Restylane Kysse เหมาะสำหรับขึ้นรูปปากโดยเฉพาะ เนื้อเนียนละเอียด ให้ทรงปากชัดและดูชุ่มชื้น อวบอิ่มแบบพอดี อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน
- Juvederm Volbella เนื้อนุ่ม เบา เหมาะกับคนที่อยากให้ปากดูเป็นธรรมชาติ ไม่เน้นความหนามาก อยู่ได้นาน 8 – 12 เดือน
ทำไมบางคนทำแล้วปากไม่เป็นกระจับ?
แม้การฉีดฟิลเลอร์ปากจะช่วยปรับรูปทรงได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ทรงกระจับชัดเจน เพราะผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น
- โครงสร้างริมฝีปากเดิม หากรูปปากเดิมไม่มีเว้าตรงกลาง หรือมีรูปทรงที่แบนเรียบมาก การปรับให้เป็นกระจับอาจทำได้ยาก หรือได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยไม่ฝืนโครงสร้างธรรมชาติของใบหน้า
- ปริมาณเนื้อปาก คนที่มีเนื้อปากเยอะอยู่แล้ว หรือปากหนา การเติมฟิลเลอร์เข้าไปอาจช่วยปรับทรงให้ละมุนขึ้นได้ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นปากกระจับชัดๆ ได้ในทันที โดยเฉพาะถ้าไม่ลดขนาด หรือปรับเนื้อปากบางส่วนร่วมด้วย
- กระดูกและกล้ามเนื้อรอบปาก สัดส่วนกระดูกกราม ฟัน และกล้ามเนื้อรอบปากมีผลต่อรูปปากโดยรวม หากมีแรงดึงจากกล้ามเนื้อที่มาก หรือโครงสร้างกระดูกไม่สมดุล อาจทำให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปไม่สามารถขึ้นรูปได้เต็มที่
- เทคนิคการฉีดและการประเมินของแพทย์ แม้จะใช้ฟิลเลอร์คุณภาพดี แต่หากเทคนิคไม่เหมาะสม หรือประเมินรูปปากไม่ตรงกับความเป็นจริง ก็อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
ควรเตรียมตัวอย่างไรก่อนทำปากกระจับ
การทำปากกระจับไม่ว่าจะเป็นการฉีดฟิลเลอร์หรือวิธีอื่นๆ ควรเตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยเป็นธรรมชาติ และลดความเสี่ยงต่ออาการบวมช้ำหรือผลข้างเคียงอื่นๆ ที่ไม่พึงประสงค์ ดังนี้
- ศึกษาข้อมูลเบื้องต้น ทำความเข้าใจว่าการทำปากกระจับมีหลายวิธี เช่น การฉีดฟิลเลอร์ ร้อยไหม หรือยกมุมปากด้วยโบท็อก แต่ละวิธีเหมาะกับรูปปากและความต้องการที่ต่างกัน ควรประเมินตัวเองเบื้องต้นว่าอยากได้ผลลัพธ์แบบไหน
- ปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์ เลือกแพทย์และคลินิกที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเป็นสิ่งสำคัญ แพทย์จะช่วยประเมินรูปปากเดิม วิเคราะห์โครงสร้างใบหน้า และแนะนำว่าทรงปากแบบใดจะเข้ากับบุคลิกและสัดส่วนใบหน้าของคุณมากที่สุด พร้อมอธิบายข้อจำกัดที่อาจเกิดขึ้นตามโครงสร้างปากเดิม
- หาข้อมูลคลินิก ดูเคสรีวิวจริง ควรศึกษาผลงานของแพทย์ และคลินิกนั้นๆ จากเคสจริง ไม่ว่าจะเป็นรีวิวก่อน – หลังทำ หรือประสบการณ์ของคนไข้ที่ผ่านมาเพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกคลินิกที่ไว้ใจได้
- งดใช้ยาบางชนิดก่อนทำ ควรงดยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน ยากลุ่ม NSAIDs รวมถึงวิตามินและสมุนไพรบางชนิด เช่น วิตามิน E น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส อย่างน้อย 3 – 7 วันก่อนทำ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการบวมช้ำ
- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และกิจกรรมที่กระตุ้นการไหลเวียนเลือด งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น การออกกำลังกายหนัก ๆ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนทำ เพื่อป้องกันอาการบวมแดงหรือช้ำง่ายหลังทำ
- แจ้งแพทย์หากมีโรคประจำตัวหรือใช้ยาต่อเนื่อง หากมีโรคประจำตัว เช่น ความดัน เบาหวาน ภูมิแพ้ หรือใช้ยารักษาโรคต่อเนื่อง ควรแจ้งให้แพทย์ทราบอย่างชัดเจนก่อนเข้ารับบริการ เพื่อประเมินความปลอดภัย และวางแผนหัตถการให้เหมาะสมกับสภาวะร่างกาย
- งดการแว็กซ์หรือใช้ครีมผลัดเซลล์บริเวณรอบปาก ควรงดใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองผิว เช่น ครีมผลัดเซลล์ผิว การสครับ หรือการแว็กซ์บริเวณรอบปาก อย่างน้อย 3 วันก่อนทำ เพื่อลดความเสี่ยงต่ออาการแพ้ หรือการอักเสบ
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังทำปากกระจับแบบไม่ผ่าตัดมีอะไรบ้าง?
หลังทำปากกระจับอาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในช่วงหลังฉีดระยะแรก ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นอาการชั่วคราวและสามารถหายได้เอง เช่น
- บวมเล็กน้อย เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นภายใน 3 – 7 วันแรกหลังฉีด เนื่องจากมีการใช้ยาชาร่วมกับการฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งจะค่อยๆ ยุบลงเอง
- รอยช้ำ เกิดจากรอยเข็มหรือเส้นเลือดฝอยที่ถูกกระทบระหว่างฉีด มักพบได้บ้างแต่จะจางลงภายในไม่กี่วัน
- ริมฝีปากดูไม่เท่ากันในช่วงแรก อาจเกิดจากการบวมไม่เท่ากันในแต่ละจุด ซึ่งไม่ใช่ความผิดพลาดของการฉีด จะค่อยๆ ปรับเข้าที่ภายใน 1 – 2 สัปดาห์
แต่บางครั้งอาจมีอาการผิดปกติหลังทำได้ ซึ่งเป็นอาการที่พบได้ยาก แต่ถ้าพบอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์ทันที เช่น
- ฟิลเลอร์เป็นก้อน ปัญหานี้มักพบในช่วงแรกหลังฉีด เนื่องจากเนื้อฟิลเลอร์ยังไม่กลืนกับผิว โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้ฟิลเลอร์เนื้อแน่นเกินไป หรือฉีดในชั้นผิวที่ไม่เหมาะสม โดยปกติจะค่อยๆ เนียนเข้าผิวภายใน 2 – 4 สัปดาห์ หากเกินกว่านั้นควรปรึกษาแพทย์
- อาการแพ้หรืออักเสบ หากหลังฉีดมีอาการบวมแดงรุนแรง เจ็บ ปวด ร้อน หรือมีตุ่มใสและหนอง ควรรีบพบแพทย์ เพราะอาจเกิดจากการติดเชื้อ หรือการแพ้ฟิลเลอร์
- ฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือด แม้จะพบได้น้อยมาก แต่ถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่อาจทำให้เกิดเนื้อตายในบริเวณนั้น ต้องได้รับการดูแลทันทีจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
หลังทำปากกระจับแบบไม่ผ่าตัดต้องดูแลตัวเองอย่างไร?
หลังจากฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับ หรือทำหัตถการเพื่อปรับรูปปากโดยไม่ผ่าตัด แม้จะเป็นวิธีที่ไม่ต้องพักฟื้นนาน แต่การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีก็มีผลอย่างมากต่อผลลัพธ์ที่ได้ โดยมีวิธีดูแลดังนี้
- งดทาลิปสติก ใน 24 – 48 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันการระคายเคืองหรือการติดเชื้อจากเครื่องสำอาง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสแรงๆ ไม่ควรนวด กด แกะ หรือบีบจุดที่ฉีด และห้ามปั้นทรงฟิลเลอร์เอง เพราะอาจทำให้เสียรูปทรงที่แพทย์ตั้งไว้
- งดอ้าปากกว้าง ในช่วง 2 สัปดาห์แรก เช่น การหาวแรง เคี้ยวของเหนียว หรือพูดเยอะ เพื่อป้องกันการเคลื่อนตัวของฟิลเลอร์
- หลีกเลี่ยงความร้อนสูง 14 วันแรก เช่น ซาวน่า ไดร์ร้อน อาหารร้อนจัด หรือการอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน เพราะความร้อนอาจทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็วกว่าปกติ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์อุ้มน้ำ และดูฟูเต็มขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติจึงควรดื่มน้ำเยอะๆ หลังฉีด
- งดออกกำลังกายหนัก ในช่วง 2 – 3 วันแรกหลังฉีด เพราะการไหลเวียนเลือดที่มากขึ้นอาจทำให้ปากบวมนานขึ้น
- งดแอลกอฮอล์ อาหารดอง อาหารรสจัด และวิตามินบางชนิด อย่างน้อย 5 – 7 วันหลังทำ เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดสูบฉีดมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้ช้ำง่ายหรือแผลหายช้า
สามารถอ่านวิธีดูแลหลังฉีดปากกระจับเพิ่มเติมได้ที่ : หลังฉีดปากกระจับดูแลอย่างไร ทำปากกระจับแบบไม่ผ่าตัดห้ามอะไรบ้าง
ปากกระจับแบบไม่ผ่าตัดราคาเท่าไร?
ราคาปากกระจับแบบไม่ผ่าตัดโดยการฉีดฟิลเลอร์อยู่ที่ประมาณ 7,000 – 15,000 บาทต่อ 1 cc ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ ปริมาณที่ต้องฉีด และความชำนาญของแพทย์ ซึ่งหากต้องการความละเอียดและปลอดภัย ควรเลือกทำกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน
ปากกระจับแบบไม่ผ่าตัดอยู่ได้นานแค่ไหน?
ปากกระจับแบบไม่ผ่าตัดที่ทำโดยการฉีดฟิลเลอร์ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก เช่น ชนิดและคุณสมบัติของฟิลเลอร์ที่ใช้ เทคนิคการฉีดของแพทย์ และพฤติกรรมการดูแลหลังทำ หากใช้ฟิลเลอร์คุณภาพสูงและดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น
ข้อดี และข้อจำกัดของการทำปากกระจับแบบไม่ผ่าตัด
การทำปากกระจับโดยไม่ต้องผ่าตัด เช่น การฉีดฟิลเลอร์ ถือเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่อยากปรับรูปปากให้ดูหวาน อ่อนโยน โดยไม่ต้องเจ็บตัวจากการผ่าตัดหรือมีแผลถาวร อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ก็มีทั้งจุดเด่น และข้อจำกัดที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ
ข้อดีของการทำปากกระจับแบบไม่ผ่าตัด
- ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันต่อได้ทันทีหลังทำ ไม่ต้องหยุดงาน ไม่มีบาดแผล ไม่มีรอยเย็บ
- ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ หากฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ จะสามารถออกแบบทรงปากที่เข้ากับรูปหน้าได้อย่างสวยกลมกลืน
- เห็นผลทันทีหลังทำ หลังฉีดปากจะเห็นรูปทรงทันที แต่อาจจะยังมีอาการบวมอยู่จะค่อยๆ เข้าที่ใน 1 – 2 สัปดาห์
- สามารถปรับแก้หรือเติมเพิ่มเติมได้ในอนาคต หากยังไม่พอใจในผลลัพธ์ สามารถปรับทรงใหม่ หรือเติมเพิ่มได้
- ฟิลเลอร์สามารถสลายเองได้ หากไม่ชอบทรงปากที่ได้ หรืออยากกลับสู่รูปปากเดิม ฟิลเลอร์จะค่อยๆ สลายไปเองภายใน 6 – 12 เดือน
ข้อจำกัดของการทำปากกระจับแบบไม่ผ่าตัด
- ผลลัพธ์ไม่ถาวร ต้องคอยเติมฟิลเลอร์ปากซ้ำ หากต้องการคงรูปทรงปากเดิมไว้ในระยะยาว
- จำกัดตามโครงสร้างปากเดิม ผู้ที่มีริมฝีปากหนามาก หรือโครงปากไม่ได้รูปอาจไม่สามารถเปลี่ยนทรงให้เป็นกระจับชัดได้
- ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเนื้อปากส่วนเกินได้ ถ้าต้องการลดเนื้อปากหรือลดขนาดโดยรวม ยังจำเป็นต้องใช้การผ่าตัดเท่านั้น
- ขึ้นอยู่กับเทคนิคของแพทย์ หากทำกับผู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ อาจทำให้ปากดูไม่สมดุล หรือเกิดเป็นก้อนได้
- ค่าใช้จ่ายต่อครั้งอาจสูงกว่าที่คิด โดยเฉพาะหากต้องเติมบ่อย หรือใช้ฟิลเลอร์คุณภาพสูงหลาย CC
ปากกระจับแบบไม่ผ่าตัด VS ผ่าตัด แตกต่างกันอย่างไร?
รายการ | แบบไม่ผ่าตัด (ฟิลเลอร์) | แบบผ่าตัดศัลยกรรม |
---|---|---|
ขั้นตอน | ฉีดฟิลเลอร์เติมทรงปาก | ตัดแต่งเนื้อริมฝีปากโดยตรง |
เห็นผลเมื่อไร | ทันทีหลังทำ ทรงเข้าที่ใน 1 – 2 สัปดาห์ | หลังแผลหาย ประมาณ 1 เดือน |
ผลลัพธ์อยู่ได้นาน | 6 – 12 เดือน | ถาวร |
แผลและการพักฟื้น | ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น | มีแผลเย็บ ต้องดูแลหลังผ่าตัด |
การแก้ไขปรับรูปทรงภายหลัง | เติมหรือปรับใหม่ได้ง่าย | แก้ยาก ต้องผ่าตัดซ้ำ |
ค่าใช้จ่าย | เริ่มต้นประมาณ 7,000 – 15,000 บาท | เริ่มต้นประมาณ 20,000 – 30,000+ บาท |
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปากกระจับแบบไม่ผ่าตัด (FAQ)
Q: ปากกระจับแบบไม่ผ่าตัดจะอยู่ได้นานแค่ไหน?
A: ปากกระจับแบบไม่ผ่าตัดอยู่ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดฟิลเลอร์ที่ใช้ และการดูแลตัวเองหลังทำ
Q: ต้องใช้ฟิลเลอร์กี่ CC ในการทำให้ปากเป็นกระจับ?
A: การฉีดฟิลเลอร์เพื่อทำปากกระจับใช้ประมาณ 0.5 – 1 CC แต่บางเคสอาจต้องใช้มากกว่านั้นขึ้นอยู่กับรูปปากเดิมและผลลัพธ์ที่ต้องการ
Q: ทำไมบางคนฉีดฟิลเลอร์แล้วไม่เห็นผลเหมือนเป็นกระจับ?
A: บางคนฉีดฟิลเลอร์แล้วไม่เห็นทรงกระจับชัดเจน เพราะโครงสร้างปากเดิมไม่เอื้อ เช่น เนื้อปากหนา หรือกล้ามเนื้อรอบปากไม่สมดุล
Q: ต้องใช้ฟิลเลอร์แบบไหนถึงจะเหมาะกับการทำปากกระจับ?
A: ควรเลือกฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม ยืดหยุ่น ปั้นทรงได้ดี และกลืนกับผิวอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อให้ได้รูปปากกระจับที่สวยและไม่เป็นก้อน
Q: ปากกระจับแบบไม่ผ่าตัดมีอาการบวม หรือช้ำมากไหม?
A: ปากกระจับแบบไม่ผ่าตัดอาจมีอาการบวมและช้ำเล็กน้อยในช่วง 2 – 5 วันแรก แต่จะค่อยๆ ดีขึ้นและหายเป็นปกติ
Q: การฉีดฟิลเลอร์ปากทำให้ปากดูหนาหรือแข็งไหม?
A: หากเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสมและฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ปากจะไม่ดูหนาหรือแข็ง แต่จะดูอวบอิ่มและเป็นธรรมชาติ
Q: คนที่เคยฉีดฟิลเลอร์ปากมาแล้ว ยังสามารถแก้ทรงให้เป็นกระจับได้ไหม?
A: สามารถแก้ทรงให้เป็นปากกระจับได้ หากฟิลเลอร์เดิมยังอยู่ในสภาพดี หรือสามารถฉีดสลายบางส่วนก่อนปรับทรงใหม่
Q: ถ้าฉีดปากกระจับแล้วไม่พอใจทรงปากจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม?
A: หากฉีดแล้วไม่พอใจ สามารถหยุดฉีดให้ฟิลเลอร์สลายเองตามธรรมชาติ จากนั้นเมื่อฟิลเลอร์สลายทรงปากจะกลับมาแบบเดิม หรือฉีดสลายฟิลเลอร์ช่วยเร่งได้
เลือกคลินิกทำปากกระจับอย่างไรให้ปลอดภัย?
ก่อนที่จะทำปากกระจับแบบไม่ผ่าตัดควรเลือกคลินิกที่ปลอดภัย มีมาตรฐาน และแพทย์ที่เชี่ยวชาญ เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวยอย่างเป็นธรรมชาติและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
- เลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์เฉพาะทาง เพื่อให้ผลลัพธ์สวยเป็นธรรมชาติ และลดความเสี่ยง แพทย์ควรมีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์ และปรับรูปปากโดยเฉพาะ
- ตรวจสอบใบอนุญาตของคลินิก ต้องเป็นสถานพยาบาลที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข
- ใช้ฟิลเลอร์ของแท้จากแหล่งที่เชื่อถือได้ มีเลขทะเบียน อย.ไทย มีการนำเข้าอย่างถูกต้อง ตรวจสอบกล่องก่อนฉีดได้
- ดูรีวิวจากผู้ใช้จริง ควรมีภาพก่อน – หลังจากผู้ใช้บริการจริงที่ไม่มีการตกแต่งภาพ และอ่านรีวิวจากผู้เข้ารับบริการก่อนตัดสินใจ
- มีการให้คำปรึกษาและประเมินโดยแพทย์ก่อนฉีด แพทย์ต้องให้คำแนะนำ และประเมินทรงปาก เพื่อออกแบบรูปปากให้เหมาะกับแต่ละบุคคลอย่างปลอดภัย
สรุป
ปากกระจับแบบไม่ผ่าตัดเป็นการปรับรูปปากให้ดูโค้งสวย อ่อนหวาน โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้น วิธีที่นิยมที่สุดคือการฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งช่วยขึ้นทรงปากทันทีและอยู่ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดฟิลเลอร์และการดูแลหลังทำ แต่ผลลัพธ์ไม่ถาวร และบางคนอาจไม่เห็นกระจับชัดเจนหากโครงสร้างปากเดิมไม่เหมาะ หากใครที่อยากทำปากกระจับ แต่ไม่อยากผ่าตัดสามารถเข้ามาปรึกษากับแพทย์ที่มีประสบการณ์ คอยให้คำแนะนำ ประเมินโครงหน้าอย่างละเอียดได้ที่ Vincent Clinic Aesthetic ค่ะ