หน้าหย่อนคล้อย เป็นปัญหาที่หลายคนเริ่มสังเกตเห็นเมื่ออายุมากขึ้น หรือมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องน้ำหนักและวิถีชีวิตประจำวัน เช่น กรอบหน้าที่เริ่มไม่ชัด ร่องแก้มลึกขึ้น หรือคางสองชั้นที่ปรากฏขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว อาการเหล่านี้เกิดจากการเสื่อมสภาพของชั้นผิวและโครงสร้างใต้ผิวหนัง ซึ่งส่งผลไม่เพียงแต่รูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังกระทบต่อความมั่นใจและทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า แม้ในวันที่เรารู้สึกสดชื่นก็ตาม บทความนี้ Vincent Clinic Aesthetic จะพามาทำความเข้าใจถึงสาเหตุของหน้าหย่อนคล้อย โครงสร้างผิวที่เสื่อมสภาพตามวัย รวมถึงแนวทางการยกกระชับและฟื้นฟูผิวค่ะ
Key Takeaways
- หน้าหย่อนคล้อย เกิดจากการเสื่อมของคอลลาเจน อีลาสติน และโครงสร้างใต้ผิว ร่วมกับแรงโน้มถ่วง แสงแดด อายุ พันธุกรรม และพฤติกรรมทำร้ายผิว
- สัญญาณเตือนของหน้าหย่อนคล้อยที่สังเกตได้คือ กรอบหน้าไม่ชัด ร่องแก้มลึก แก้มหย่อน คางสองชั้น และผิวขาดความยืดหยุ่น
- ชั้นผิวที่เกี่ยวข้องกับความหย่อนคล้อย ได้แก่ SMAS, Fat Pad, คอลลาเจน/อีลาสติน และเส้นเอ็นผิว
- ปัญหานี้ส่งผลต่อโครงหน้าโดยรวม ทำให้หน้าดูกลม ไม่มีมิติ และดูเหนื่อยล้าแม้พักผ่อนเพียงพอ
- วิธีแก้ไขหน้าหย่อนคล้อย แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ฉีดสารเติมเต็ม เช่น ฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ Sculptra Juvelook เทคโนโลยียกกระชับแบบไม่ผ่าตัด เช่น HIFU, Ulthera, Thermage, Morpheus8, Volnewmer และการผ่าตัดดึงหน้า สำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยขั้นรุนแรง
ผิวหน้าหย่อนคล้อย คืออะไร?
ผิวหน้าหย่อนคล้อย คือภาวะที่ผิวหนังเริ่มสูญเสียความกระชับและความยืดหยุ่น ทำให้ผิวหนังมีลักษณะหย่อนยานหรือคล้อยลง ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อคนเข้าสู่วัยกลางคนหรือสูงวัย ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการลดลงของสารสำคัญอย่างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยให้ผิวมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น เมื่อสารเหล่านี้ลดน้อยลง และยังเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างใต้ผิวหนัง เช่น กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อไขมันที่ลดลง ทำให้ผิวดูไม่เต่งตึงเหมือนเดิม ซึ่งการที่ผิวหน้าหย่อนคล้อยอาจทำให้หลายคนรู้สึกกังวลหรือไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง
สัญญาณที่บอกว่าเริ่มหน้าหย่อน
สามารถสังเกตได้จากการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังและรูปหน้าที่ไม่เหมือนเดิม หากรู้สึกว่าผิวเริ่มสูญเสียความกระชับ ไม่เต่งตึงเหมือนเดิม ผิวหนังเริ่มหย่อนยาน กรอบหน้าดูไม่ชัดเจนหรือเบลอลง เป็นสัญญาณแรกๆ ที่บ่งบอกว่าผิวหน้ากำลังเปลี่ยนไป นอกจากนี้ยังมีร่องแก้มที่ลึกขึ้น ร่องน้ำหมากชัดขึ้น และมุมปากที่เริ่มตก ทำให้รูปหน้าดูเปลี่ยนไป รวมถึงบางครั้งอาจพบคางสองชั้นแม้ไม่ได้ก้มหน้าซึ่งเป็นผลจากผิวหนังและเนื้อเยื่อตรงคางที่หย่อนยานมากขึ้น ปกติแล้วปัญหาหน้าหย่อนคล้อยจะค่อยๆ เกิดขึ้น ทำให้หลายคนไม่ทันสังเกตตัวเองในช่วงแรก แต่การรับรู้สัญญาณตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้สามารถดูแล และป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สาเหตุของผิวหน้าหย่อนคล้อย
ผิวหน้าหย่อนคล้อยไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่เกิดจากหลายปัจจัยที่สะสมทั้งภายใน และภายนอกของร่างกาย โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดผิวหน้าหย่อนคล้อยมีดังนี้
- อายุที่เพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญในการรักษาความกระชับและยืดหยุ่นของผิวน้อยลง ทำให้โครงสร้างผิวอ่อนแอ ผิวหนังจึงหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอยง่ายขึ้น
- พันธุกรรม ลักษณะทางพันธุกรรมมีผลต่อความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของผิว เช่น รูปหน้ากลม ใบหน้ากว้าง หรือคางสั้น อาจทำให้ผิวหย่อนคล้อยเร็วขึ้น เนื่องจากโครงสร้างใบหน้าและชั้นผิวบางคนมีแนวโน้มเสื่อมสภาพเร็วกว่าคนอื่น
- แรงโน้มถ่วงของโลก แรงดึงดูดของโลกทำให้ผิวหนังที่สูญเสียความแข็งแรงและยืดหยุ่นค่อยๆ ถูกดึงลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าที่ผิวบางและไม่มีโครงสร้างรองรับแข็งแรงพอ จึงเกิดการหย่อนคล้อยตามแรงโน้มถ่วงนี้
- แสงแดดและรังสี UV สามารถทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ทำให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้น เกิดริ้วรอย จุดด่างดำ และหย่อนคล้อยก่อนวัย นอกจากนี้แสงแดดยังสร้างอนุมูลอิสระซึ่งทำลายเซลล์ผิว
- การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว จะทำให้ไขมันใต้ผิวหนังที่ทำหน้าที่รองรับและพยุงผิวจะลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผิวสูญเสียโครงสร้างและเกิดการหย่อนคล้อยมากกว่าปกติ
- พฤติกรรมการใช้กล้ามเนื้อใบหน้า การขยับกล้ามเนื้อใบหน้าบ่อยๆ เช่น การกัดฟัน การหรี่ตา หรือการนอนตะแคงข้างเดียวเป็นประจำ ทำให้ผิวเกิดริ้วรอยและหย่อนคล้อยเฉพาะจุดเหล่านั้นได้ง่ายขึ้น เพราะกล้ามเนื้อและผิวถูกใช้งานหนักเกินไป
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต การสูบบุหรี่ทำให้สารนิโคตินและสารเคมีในบุหรี่ทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน นอกจากนี้การพักผ่อนไม่เพียงพอยังกระทบต่อการไหลเวียนของเลือด ส่งผลให้ผิวขาดสารอาหารและออกซิเจน ทำให้ผิวเสียความยืดหยุ่นเร็วขึ้น
- มลภาวะ สารพิษ ฝุ่น ควัน และมลภาวะในอากาศก่อให้เกิดอนุมูลอิสระในผิวหนัง ซึ่งทำลายเซลล์ผิวและเร่งการเสื่อมสภาพของผิว ส่งผลให้ผิวหมองคล้ำ แห้งกร้าน และหย่อนคล้อยเร็วขึ้น
- การไหลเวียนของเลือดที่ไม่ดี ระบบไหลเวียนเลือดที่ทำงานไม่เต็มที่ทำให้ผิวหนังได้รับสารอาหารและออกซิเจนน้อยลง ทำให้ผิวขาดความสดใส และสูญเสีย “แดงระเรื่อ” ที่เป็นสัญลักษณ์ของผิวสุขภาพดี รวมถึงลดความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองของผิว
- ดูแลผิวไม่เหมาะสม ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เช่น ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของเรตินอล หรือไม่ปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นได้ง่ายและเกิดหย่อนคล้อยเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
โครงสร้างผิวที่เสื่อมเมื่อผิวหน้าเริ่มหย่อน
เมื่อผิวหน้ามีอาการหย่อนคล้อย โครงสร้างภายในผิวหลายส่วนจะเกิดการเสื่อมสภาพและเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน ซึ่งการเข้าใจถึงส่วนที่ได้รับผลกระทบเหล่านี้ จะช่วยให้การดูแลและแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อยมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System)
ชั้นนี้เป็นชั้นเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่รองรับกล้ามเนื้อและผิวหนัง เมื่อชั้น SMAS เสื่อมสภาพหรือหย่อนยาน จะส่งผลให้ผิวขาดการพยุงและหย่อนคล้อยลงตามแรงโน้มถ่วง รวมถึงส่งผลให้กรอบหน้าและรูปหน้าดูเปลี่ยนไป
ไขมันเฉพาะจุด (Fat Pad)
ไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังในตำแหน่งต่างๆ ทำหน้าที่ช่วยพยุงโครงสร้างผิวให้ดูเต็มและเต่งตึง เมื่อไขมันเหล่านี้ลดลงหรือเคลื่อนตัวผิดตำแหน่ง ผิวจะยุบตัวและหย่อนคล้อย เกิดเป็นร่องลึกและความไม่เรียบของผิวหน้า
คอลลาเจนและอีลาสติน
สารโปรตีนสำคัญในชั้นผิวที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและกระชับ เมื่อคอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพหรือผลิตน้อยลง ผิวจะสูญเสียความยืดหยุ่นและความแข็งแรง จึงเกิดความหย่อนคล้อย ริ้วรอย และผิวขาดความเต่งตึง
เส้นเอ็นผิว (Retaining Ligament)
เส้นเอ็นผิวเป็นโครงสร้างที่ยึดผิวหนังและชั้นไขมันไว้กับกระดูก เมื่อเส้นเอ็นเหล่านี้เสื่อมและหย่อนยาน จะทำให้ผิวหนังหลุดจากตำแหน่งเดิม ทำให้ผิวหย่อนคล้อยลงและกรอบหน้าดูไม่ชัดเจน
ผิวหน้าหย่อนคล้อย ส่งผลอย่างไรกับใบหน้า?
ผิวหน้าหย่อนคล้อยไม่เพียงแต่ทำให้เราดูแก่ขึ้น แต่ยังส่งผลต่อรูปร่างและลักษณะโดยรวมของใบหน้าอย่างชัดเจน เมื่อผิวขาดการพยุงจากโครงสร้างภายใน ใบหน้าจะเปลี่ยนไปในหลายด้านหนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือกรอบหน้าที่เคยเรียวและมีรูปทรงวีเชฟ (V-shape) จะเริ่มคลายตัวและกว้างขึ้นจนกลายเป็นรูปตัวยู (U-shape) ซึ่งทำให้ใบหน้าดูใหญ่และไม่มีมิติ
นอกจากนี้ผิวหย่อนคล้อยยังทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าและ หน้าโทรมหมองคล้ำ เพราะผิวหนังที่หย่อนยานส่งผลให้แสงสะท้อนบนใบหน้าเปลี่ยนไป รวมถึงบริเวณร่องแก้มที่ลึกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้หน้าดูแก่กว่าวัยจริงมากกว่าที่เป็น
ยกกระชับหน้าแบบไม่ผ่าตัด ทำได้จริงไหม?
การยกกระชับหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัดถือเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ดูเรียวกระชับขึ้นโดยไม่อยากเผชิญกับความเจ็บปวดหรือระยะเวลาพักฟื้นหลังผ่าตัด เทคโนโลยีสมัยใหม่พัฒนาไปไกลจนสามารถเข้าถึงชั้นผิวลึกอย่างชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นที่สำคัญในการรองรับโครงสร้างใบหน้า พร้อมทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูไขมันในจุดที่หย่อนคล้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลายวิธี เช่น การใช้คลื่นอัลตราซาวนด์พลังงานสูง (HIFU, Ulthera) หรือคลื่นวิทยุ (Thermage, Volnewmer) สามารถทำให้ผิวหดตัวและตึงกระชับขึ้นจริง ไม่ใช่แค่การยกผิวในชั้นตื้นๆ เท่านั้น นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนใหม่ซึ่งมีผลระยะยาวในการคงความยืดหยุ่นและความกระชับของผิว
แม้ว่าผลลัพธ์อาจไม่ชัดเจนและรวดเร็วเท่าการผ่าตัดดึงหน้า แต่ข้อดีคือความปลอดภัยสูง ไม่มีแผล และไม่ต้องพักฟื้นนาน ทำให้เหมาะกับคนที่ต้องการปรับรูปหน้าอย่างเป็นธรรมชาติและค่อยเป็นค่อยไป การยกกระชับหน้าแบบไม่ผ่าตัดจึงเป็นทางเลือกที่ทำได้จริงและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่อย่างมาก
วิธีแก้ผิวหน้าหย่อนคล้อย มีกี่แบบ?
ปัจจุบันมีวิธีแก้ไขผิวหน้าหย่อนคล้อยหลากหลายแบบ ซึ่งถึงแม้แต่ละวิธีจะช่วยยกกระชับผิวหน้าที่หย่อนคล้อยได้ แต่ก็มีความแตกต่างไม่เหมือนกันดังนี้
เติมฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็มชนิด ไฮยาลูโรนิกแอซิด (HA) ที่ฉีดเข้าไปในชั้นผิวเพื่อเติมเต็มร่องลึก หรือเพิ่มวอลลุ่มในบริเวณที่ผิวหย่อนคล้อย เช่น แก้ม ขมับ หรือคาง เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้า เติมเต็มส่วนที่ขาดมิติ หรือแก้ไขรูปหน้าที่ไม่สมดุล หลังฉีดเห็นผลทันที ทำให้ใบหน้าดูเต็มและกระชับขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นานตั้งแต่ 6 เดือนจนถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ ข้อดีคือทำเร็วและเห็นผลทันที แต่ต้องเติมซ้ำเรื่อย ๆ
เจาะลึก : ฟิลเลอร์ คืออะไร ฉีดแล้วช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง ฉีดกี่ครั้งเห็นผล?
ฉีดโบท็อกซ์
โบท็อกซ์เป็นสารที่ฉีดเข้าไปเพื่อคลายกล้ามเนื้อบางจุด เช่น บริเวณกรามหรือกรอบหน้า ช่วยให้ผิวบริเวณนั้นดูตึงขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีกล้ามเนื้อกรามใหญ่หรือกรอบหน้าหย่อนเล็กน้อย ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นภายใน 5-14 วัน และอยู่ได้นานประมาณ 3-8 เดือน ข้อดีคือทำง่าย เจ็บน้อย แต่ต้องฉีดซ้ำเป็นประจำเพื่อรักษาผลลัพธ์
เจาะลึก : โบท็อก คืออะไร อันตรายไหม ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง ฉีดยี่ห้อไหนดี?
ร้อยไหม
การร้อยไหมเป็นการสอดไหมละลายที่มีเงี่ยงเข้าไปในชั้นผิว เพื่อยกกระชับและยึดผิวหนังให้ตึงขึ้น เหมาะสำหรับคนที่ผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมาก หลังทำจะเห็นการยกกระชับทันทีและผลลัพธ์จะคงตัวภายใน 2 สัปดาห์ โดยผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-24 เดือน นอกจากนี้ไหมยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวด้วย ข้อจำกัดคืออาจมีอาการบวมแดงหลังทำ และต้องเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์เพื่อผลลัพธ์ที่ปลอดภัย
เจาะลึก : ร้อยไหม ดึงหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด อันตรายไหม ใช้กี่เส้นถึงเห็นผล?
HIFU
HIFU เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวนด์พลังงานสูงยิงลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเนื้อเยื่อที่แพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า คลื่นนี้จะทำให้เกิดการหดตัวของผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ เหมาะกับผู้ที่ผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นชัดเจนภายใน 1-3 เดือนและอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน โดยไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องพักฟื้น
เจาะลึก : HIFU ช่วยอะไร ควรใช้กี่ช็อตในการยกกระชับ HIFU ราคาเท่าไร
Ulthera
Ulthera เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิวที่ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ยิงพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS เช่นเดียวกับ HIFU แต่มีจอแสดงผลให้แพทย์เห็นชั้นผิวขณะทำ ทำให้ยิงพลังงานได้แม่นยำและปลอดภัยมากขึ้น เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นภายใน 2-3 เดือนหลังทำและอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี ไม่มีแผลและไม่ต้องพักฟื้น
เจาะลึก : Ulthera คืออะไร ทำตำแหน่งไหน ช่วยเรื่องอะไร ทำกี่ครั้งเห็นผล?
Morpheus8
Morpheus8 คือการผสมผสานเทคโนโลยีคลื่นวิทยุ (Radiofrequency) ร่วมกับไมโครนีดลิ่ง ใช้เข็มเล็ก ๆ เจาะผิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน พร้อมช่วยสลายไขมันสะสม เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยและไขมันส่วนเกินร่วมด้วย ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ดีขึ้นใน 2-3 เดือนหลังทำ โดยไม่ต้องพักฟื้นนาน และช่วยปรับผิวให้เรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เจาะลึก : Morpheus8 ยกกระชับผิวด้วยเข็มทอง อันตรายไหม ทำจุดไหนได้บ้าง?
Thermage
Thermage คือเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุแบบ Monopolar RF ส่งผ่านความร้อนลงสู่ชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ลดไขมันสะสม และฟื้นฟูสภาพผิว เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง และมีไขมันสะสมบริเวณแก้มหรือใต้คาง หลังทำจะรู้สึกว่าผิว หน้าตึงกระชับ ขึ้นภายใน 2-3 เดือน ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 1 ปีโดยไม่ต้องพักฟื้นหรือผ่าตัด
เจาะลึก : Thermage FLX คืออะไร ก่อนทำต้องรู้อะไรบ้าง ทำกี่ครั้งถึงเห็นผล?
Volnewmer
Volnewmer เป็นเครื่องมือยกกระชับที่ใช้คลื่นวิทยุ Monopolar RF เช่นกัน แต่จะปล่อยพลังงานได้ลึกถึงชั้นหนังแท้ เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน พร้อมระบบความเย็นและระบบสั่นเพื่อลดความเจ็บปวด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าและส่วนอื่นของร่างกาย เช่น ลดเหนียง หรือยกกระชับต้นแขน ผลลัพธ์จะเห็นชัดเจนเมื่อครบ 3 เดือน และอยู่ได้นาน 6-8 เดือนโดยไม่ต้องพักฟื้น
เจาะลึก : Volnewmer ยกกระชับ ปรับหน้าเรียว สลายไขมัน เพิ่มวอลลุ่มผิวเด้ง
Sculptra
Sculptra เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนชนิดหนึ่งที่มีส่วนประกอบหลักเป็น PLLA (Poly-L-lactic acid) เมื่อฉีดเข้าไปในผิว จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนขึ้นเองอย่างต่อเนื่อง ช่วยเติมเต็มริ้วรอยและยกกระชับผิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับปรุงผิวอย่างยั่งยืน ผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 2-3 เดือนหลังฉีด และอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี โดยปกติจะต้องฉีดหลายครั้งจึงจะเห็นผลเต็มที่
เจาะลึก : Sculptra ยกกระชับและฟื้นฟูผิว กี่ครั้งเห็นผล ดีกว่าวิธีอื่นไหม?
Juvelook
Juvelook คือสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ผสมผสานระหว่าง PLLA และกรดไฮยาลูโรนิก (HA) ซึ่งช่วยทั้งกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวในเวลาเดียวกัน เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอย เติมเต็มร่องลึก และปรับผิวให้เรียบเนียน ผลลัพธ์จะเห็นได้หลังฉีดและอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี
เจาะลึก : Sculptra ยกกระชับและฟื้นฟูผิว กี่ครั้งเห็นผล ดีกว่าวิธีอื่นไหม?
ผ่าตัดดึงหน้า
เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยอย่างรุนแรงและหลายจุด โดยแพทย์จะผ่าตัดดึงผิวหนังและกล้ามเนื้อให้ตึง พร้อมตัดผิวหนังส่วนเกินออก วิธีนี้ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและถาวร แต่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน และมีความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือเกิดแผลหลังผ่าตัด เหมาะกับคนที่ต้องการแก้ปัญหาหย่อนคล้อยอย่างเต็มรูปแบบ
โดยแต่ละวิธีมีข้อดี-ข้อจำกัดต่างกัน การเลือกวิธีที่เหมาะสมต้องประเมินระดับความหย่อนคล้อยร่วมกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ และใช้วิธีที่เหมาะสมกับใบหน้า เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
เทคโนโลยีที่ใช้แก้หน้าหย่อนแต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร?
เทคโนโลยีต่างๆ ที่ใช้แก้ปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยมีหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบมีวิธีการทำงานและจุดเด่นที่แตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะกับสภาพผิวและระดับความหย่อนคล้อยของแต่ละคน ดังนี้
เทคโนโลยี | กลไกหลัก | จุดเด่น | เหมาะกับ |
Ulthera | คลื่นอัลตราซาวนด์ยิงถึงชั้น SMAS | ยกกระชับชัดเจนที่สุด | ผิวหย่อนคล้อยชัดเจน ไม่ต้องผ่าตัด |
HIFU | คลื่นอัลตราซาวนด์พลังงานสูง | เจ็บน้อยกว่า Ulthera | ผิวเริ่มหย่อนเล็กน้อย |
Thermage | พลังงานคลื่นวิทยุ (RF) ผิวตื้น | กระตุ้นคอลลาเจน ผิวเรียบเนียน | ผิวหย่อนคล้อยไม่มาก |
Morpheus8 | ไมโครนีดลิ่ง + คลื่นวิทยุ RF | ยกกระชับและผลัดเซลล์ผิว | ผิวหนา มีไขมันสะสม |
Volnewmer | คลื่นวิทยุ Monopolar RF | กระตุ้นคอลลาเจนลึก พร้อมระบบความเย็นและสั่น ลดความเจ็บ | ฟื้นฟูผิวหน้าและร่างกาย ลดเหนียงหรือไขมันสะสม |
ฟิลเลอร์ช่วยยกหน้าได้ไหม?
ฟิลเลอร์ ไม่ใช่วิธียกผิวหน้าโดยตรง แต่ช่วยเติมเต็มและเสริมโครงสร้างใบหน้าที่หย่อนคล้อยได้ดี โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดจากโครงหน้าทรุด เช่น คางสั้น คิ้วตก หรือโหนกแก้มแบน ฟิลเลอร์ช่วยพยุงเส้นเอ็น เติมไขมัน และเสริมกระดูกที่ยุบตัว ทำให้ใบหน้าดูกระชับและยกขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยการ ฉีดฟิลเลอร์ยกหน้า จะฉีดในจุดที่ยกกระชับหน้าได้ เช่น ขมับ โหนกแก้ม แก้มส้ม แก้มตอบ กรอบหน้า คาง ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก และใต้ตา
เลือกวิธีไหนให้เหมาะกับระดับความหย่อนคล้อย
การเลือกวิธีแก้ปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยให้เหมาะสมกับแต่ละคนต้องอาศัยการประเมินระดับความหย่อนคล้อยอย่างละเอียด เพราะไม่ใช่ทุกวิธีจะเหมาะกับทุกสภาพผิวหรือปัญหา โดยผิวแต่ละแบบจะเหมาะกับวิธีรักษาดังนี้
- ผิวเริ่มหย่อนเล็กน้อย เหมาะกับการใช้ HIFU หรือ Thermage เครื่องยกกระชับที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและทำให้ผิวตึงขึ้น
- ผิวหย่อนปานกลาง เหมาะกับ Ulthera หรือ Morpheus8 เครื่องยกกระชับที่ยิงพลังงานได้ลึกและช่วยฟื้นฟูผิวพร้อมยกกระชับ
- ผิวหย่อนมาก เหมาะกับการร้อยไหมร่วมกับเติมฟิลเลอร์ เพื่อยกผิวและเติมเต็มโครงสร้างผิวที่ยุบตัว
- ผิวหย่อนคล้อยอย่างรุนแรง เหมาะกับศัลยกรรมดึงหน้า โดยแพทย์จะประเมินและแนะนำวิธีที่เหมาะสม
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับผิวหน้าหย่อนคล้อย
หลายคนที่เริ่มประสบกับปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย อาจยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสาเหตุ วิธีดูแล และแนวทางการรักษาที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอายุที่เริ่มหย่อน ริ้วรอยที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรม หรือแม้แต่ความแตกต่างของเทคโนโลยียกกระชับต่าง ๆ ในหัวข้อนี้ เราได้รวบรวมคำถามยอดนิยม พร้อมคำตอบไว้ให้แบบกระชับ เข้าใจง่าย เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจดูแลผิวได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น
Q : ผิวหน้าหย่อนคล้อยเกิดจากอะไร?
A : ผิวหน้าหย่อนคล้อยเกิดจากการเสื่อมของคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนัง รวมถึงแรงโน้มถ่วง การสูญเสียไขมันใต้ผิว การโดนแสงแดดมากเกินไป หรือมีพฤติกรรมที่ทำร้ายผิว
Q : อายุเท่าไหร่ถึงจะเริ่มหน้าหย่อน?
A : ผิวหน้าจะเริ่มหย่อนคล้อยเมื่ออายุประมาณ 25-30 ปีขึ้นไป เพราะคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวลดลงเรื่อยๆ แต่จะเห็นชัดเจนมากขึ้นช่วงอายุ 35-40 ปี
Q : สัญญาณว่าหน้ากำลังเริ่มหย่อนมีอะไรบ้าง?
A : สัญญาณผิวหน้าหย่อนคล้อยคือ ริ้วรอยเล็กๆ แก้มหย่อน เส้นกรอบหน้าจางลง เหนียงเริ่มขึ้น ร่องแก้มลึก และผิวขาดความยืดหยุ่น
Q : ผอมแล้วหน้าหย่อน เกิดจากอะไร?
A : เกิดจากการที่ไขมันใต้ผิวหน้าลดลงอย่างรวดเร็วทำให้ผิวหนังไม่มีชั้นไขมันรองรับ ทำให้หย่อนคล้อยตามแรงโน้มถ่วง
Q : ผิวหน้าหย่อนคล้อยสามารถแก้ได้ไหมโดยไม่ผ่าตัด?
A : ผิวหน้าหย่อนคล้อยสามารถแก้ไขให้กระชับขึ้นได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การใช้เครื่องยกกระชับผิว หรือฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มผิว
Q : เริ่มดูแลผิวหน้าหย่อนได้ตอนไหนถึงจะดีที่สุด?
A : ควรเริ่มดูแลผิวหน้าตั้งแต่อายุประมาณ 25 ปี เพราะช่วงนี้คอลลาเจนเริ่มลดลงอย่างช้า ๆ การดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยชะลอการหย่อนคล้อยและรักษาความกระชับของผิวให้นานขึ้นครับ
Q : ผิวหย่อนกับผิวบางเหมือนกันไหม?
A : ผิวหย่อนคล้อยคือการที่ผิวขาดความกระชับและยืดหยุ่น ส่วนผิวบางหมายถึงผิวที่มีความหนาของชั้นผิวน้อยลง ทำให้แพ้ง่าย และเกิดริ้วรอยได้เร็วขึ้น
Q : ต้องทำเลเซอร์ยกหน้าหรือฟิลเลอร์เท่านั้นไหม?
A : ไม่ การดูแลผิวอย่างถูกวิธีตั้งแต่พื้นฐาน เช่น การทาครีมบำรุงที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ใช้กันแดดอย่างสม่ำเสมอ ปรับพฤติกรรมสุขภาพก็ช่วยได้เหมือนกัน เพียงแต่ใช้เวลานานกว่า
Q : ถ้าไม่ดูแล จะหย่อนเร็วขึ้นจริงไหม?
A : จริง หากไม่ดูแลผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ ไม่ปกป้องผิวจากแสงแดด ขาดการบำรุงผิว จะทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมเร็วขึ้น ส่งผลให้ผิวหย่อนคล้อยและแก่ก่อนวัยได้เร็วกว่าปกติ
Q : การนอนน้อย หรือแสงแดด ทำให้หน้าหย่อนได้ไหม?
A : การนอนน้อยทำให้ผิวขาดการฟื้นฟู ส่งผลให้คอลลาเจนลดลงและผิวเสื่อมเร็วขึ้น ส่วนแสงแดดโดยเฉพาะรังสี UV จะทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว ทำให้ผิวหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ง่ายขึ้น
สรุป
หน้าหย่อนคล้อยเกิดจากการเสื่อมของคอลลาเจน อีลาสติน และโครงสร้างใต้ผิว รวมถึงแรงโน้มถ่วง แสงแดด และพฤติกรรมต่างๆ โดยสามารถสังเกตสัญญาณของความหย่อนคล้อยได้ คือ มีแก้มหย่อน ร่องแก้มลึก ปัญหานี้สามารถฟื้นฟูได้ด้วยหลายวิธี ทั้งการใช้เครื่องยกกระชับ การฉีดสารเติมเต็ม หรือการผ่าตัด ซึ่งทีมแพทย์เฉพาะทางของ Vincent Clinic Aesthetic พร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำแนวทางที่เหมาะสม เพื่อฟื้นคืนความกระชับและความมั่นใจให้กับใบหน้าของคุณ