สิวเทียมเป็นปัญหาผิวที่หลายคนพบเจอแต่ไม่รู้ตัว เพราะแม้จะดูเหมือนสิว แต่รักษาอย่างไรก็ไม่หาย กดหรือบีบไม่ออก ทำให้หลายคนสับสน และรักษาผิดวิธีอยู่บ่อยครั้งเพราะไม่ใช่สิวจริง ในบทความนี้ Vincent Clinic จะพามารู้จักสิวเทียมให้ลึกขึ้น ทั้งลักษณะเฉพาะ สาเหตุที่แท้จริง และวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละประเภทค่ะ
สิวเทียมคืออะไร
สิวเทียมแม้จะเรียกว่าสิว แต่จริงๆ แล้ว สิวเทียมนั้นไม่ใช่สิวไม่ได้เกิดจากการอุดตันของไขมันหรือแบคทีเรียในรูขุมขนเหมือนสิวทั่วไป แต่เป็นปัญหาผิวที่มีลักษณะคล้ายสิว จนทำให้หลายคนสับสน โดยลักษณะของสิวเทียมมักปรากฏเป็น ตุ่มเล็ก ๆ แห้ง ๆ สีเนื้อหรือแดงอ่อน มีผิวสัมผัสสากเล็กน้อย มักไม่มีหัว และไม่สามารถบีบหรือกดออกได้ บางครั้งอาจรู้สึกคัน หรือระคายเคืองร่วมด้วย สามารถพบบ่อยในบริเวณหน้าผาก ขมับ ข้างจมูกค่ะ
สิวเทียมมีกี่ประเภท
เมื่อผิวมีตุ่มเล็ก ๆ คล้ายสิว แต่บีบไม่ออก ไม่อักเสบ และมักไม่หายด้วยยารักษาสิวทั่วไป อาจไม่ใช่สิวแท้ แต่เป็น “สิวเทียม” ซึ่งมักเกิดจากการระคายเคือง อาการแพ้ หรือปัจจัยภายนอกที่กระตุ้นให้ผิวอ่อนแอ สิวเทียมมีหลายประเภท หลายแบบดังนี้
- สิวผด ลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ คล้ายผื่น มักขึ้นรวมกันเป็นกลุ่ม โดยเฉพาะในบริเวณหน้าผากหรือขมับ ผิวสัมผัสจะรู้สึกสาก ไม่เรียบเนียน เห่อมากขึ้นเมื่ออากาศร้อนหรือหลังออกกำลังกาย สาเหตุหลักมาจากการระคายเคือง ความร้อน หรือเหงื่อสะสม
- สิวข้าวสาร เป็นซีสต์ไขมันขนาดเล็กใต้ผิวหนัง ลักษณะกลม แข็ง สีขาวหรือสีเดียวกับผิว มักพบรอบดวงตาหรือโหนกแก้ม ไม่เจ็บ ไม่คัน แต่เห็นได้ชัด และบีบไม่ออก จึงมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิวหัวปิด ทั้งที่จริงต้องใช้วิธีดูแลเฉพาะทาง
- สิวหิน เป็นก้อนเนื้อเล็ก ๆ ที่เกิดจากความผิดปกติของท่อเหงื่อ ผิวสัมผัสคล้ายสิวข้าวสาร แต่มีสีขาวขุ่นหรือเหลืองอ่อน ต่างจากสิวข้าวสารตรงที่ไม่มีอาการคัน และไม่ใช่การอุดตันของไขมัน
- สิวเสี้ยน ลักษณะเป็นจุดสีดำเล็ก ๆ บริเวณจมูกหรือคาง เกิดจากการที่เส้นขนหลายเส้นอุดตันในรูขุมขนร่วมกับไขมันและเซลล์ผิวเก่า มักสับสนกับสิวหัวดำ แต่มีที่มาจากโครงสร้างของขน ไม่ใช่การอุดตันของไขมันเพียงอย่างเดียว
- สิวจากอาการแพ้ เกิดจากการที่ผิวไวต่อส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือเครื่องสำอาง ทำให้เกิดผื่นหรือสิวขึ้นแบบฉับพลัน ลักษณะเป็นตุ่มแดงเล็ก ๆ หรือผื่นกระจายทั่วใบหน้า ผิวจะอ่อนแอและระคายเคืองง่ายในช่วงที่มีอาการ
- สิวจากสเตียรอยด์ เกิดจากการใช้ครีมหรือยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ต่อเนื่องนานเกินไป ทำให้ผิวบาง รูขุมขนอักเสบ และมีสิวขึ้นหลากหลายแบบ ทั้งสิวอักเสบและไม่อักเสบ อาจลุกลามได้มากและรักษายากหากไม่หยุดใช้ทันที
สิวเทียมเกิดจากอะไร
สิวเทียมมักจะเกิดจากปัจจัยภายนอกที่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองหรืออ่อนแอ จนกระตุ้นให้ผิวเกิดปฏิกิริยาคล้ายสิวขึ้นมาได้ โดยสาเหตุของสิวเทียมมีหลายอย่างดังนี้
- ความร้อน แสงแดด และมลภาวะ การอยู่กลางแจ้งหรือสัมผัสความร้อนเป็นเวลานาน กระตุ้นให้ต่อมเหงื่อทำงานมากขึ้น ผิวชื้นตลอดเวลา เป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับเชื้อราหรือยีสต์ที่อาศัยอยู่บนผิวเจริญเติบโต เมื่อมีมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดผดผื่นหรือสิวเทียมขึ้นมา นอกจากนี้ ฝุ่น ควัน และสารพิษในอากาศก็เป็นตัวกระตุ้นให้ผิวอักเสบได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
- เหงื่อสะสมระหว่างวัน เหงื่อที่ออกมากและไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะบริเวณที่อับชื้น เช่น ใต้หน้ากากอนามัย ริมผม หรือบริเวณหลังคอ จะกลายเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียและสิ่งสกปรกที่ก่อให้เกิดตุ่มสิวเทียมในที่สุด
- เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว การใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมอุดตันง่าย หรือไม่เหมาะกับสภาพผิว อาจทำให้เกิดการระคายเคืองโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งการล้างหน้าไม่สะอาดหรือแปรงแต่งหน้าที่ไม่ถูกทำความสะอาดเป็นประจำ ก็เพิ่มโอกาสให้ผิวเกิดผื่น หรือตุ่มสิวเทียมได้
- การแพ้สารต่าง ๆ บางคนอาจแพ้สารบางชนิดที่อยู่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ยาสระผม หรือครีมล้างหน้า เช่น สารก่อฟอง น้ำหอม หรือแอลกอฮอล์ เมื่อผิวสัมผัสกับสารเหล่านี้บ่อยครั้ง จะเกิดการระคายเคืองสะสม จนทำให้ผิวอ่อนแอและเกิดผดผื่นลักษณะคล้ายสิวขึ้นมาได้ง่าย
- การโกนหรือถอนขน การกำจัดขนด้วยวิธีโกนหรือถอน อาจทำให้ขนบางส่วนทิ่มย้อนเข้าไปในผิว หรือเกิดแผลเล็ก ๆ ที่รูขุมขน ซึ่งเป็นจุดเริ่มของการระคายเคือง หากมีเซลล์ผิวตายหรือสิ่งสกปรกสะสมบริเวณนั้น ก็อาจทำให้เกิดตุ่มคล้ายสิวขึ้นมาในภายหลัง
เป็นสิวเทียมอันตรายไหม
สิวเทียมไม่อันตรายต่อร่างกาย แต่ถ้าดูแลผิดวิธีอาจก่อให้เกิดปัญหาผิวตามมาได้ในระยะยาว เพราะหลายคนมักเข้าใจผิดว่าสิวเทียมคือสิวอุดตัน จึงพยายามกดออกเหมือนสิวหัวดำหรือสิวหัวขาว แต่สิวเทียมไม่สามารถบีบออกได้ง่ายๆ จึงอาจทำให้เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังบาดเจ็บ เกิดรอยดำ อักเสบ หรือเป็นหลุมสิวได้
แต่ถ้าเป็นสิวเทียมที่เกิดจากการแพ้สารเคมี เช่น น้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือสารในเครื่องสำอาง หากยังคงใช้ผลิตภัณฑ์นั้นซ้ำ ๆ อาจทำให้ผิวเกิดภาวะอักเสบเรื้อรัง ผิวบางลงง่าย และไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น ซึ่งในระยะยาวอาจนำไปสู่ภาวะผิวแพ้ง่ายหรือเป็นผื่นเรื้อรังได้
สิวเทียมหายเองได้ไหม
สิวเทียมบางแบบ เช่น สิวผดสามารถหายเองได้ประมาณ 1 – 2 วัน แต่สิวเทียมอย่างสิวหิน สิวข้าวสารต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะหายไปเอง ถึงแม้สิวเทียมจะหายเองได้แต่ไม่ใช่จะหายเองได้ทุกประเภทถ้าเป็นสิวเทียมที่เกิดจากอาการแพ้อาจสามารถหายเองได้ถ้าเป็นอาการแพ้ที่ไม่แรง แต่ถ้ามีอาการแพ้รุนแรงจะไม่สามารถหายเองได้แม้จะหยุดใช้ผลิตภัณฑ์นั้นไปแล้วควรพบแพทย์ผิวหนัง หรือหาวิธีรักษาสิวเพื่อให้ผิวกลับมาแข็งแรงค่ะ
สิวเทียมรักษาอย่างไร
การรักษาสิวเทียมไม่สามารถใช้วิธีเดียวกันทั้งหมดได้ เพราะแต่ละประเภทมีลักษณะและสาเหตุที่ต่างกัน ดังนั้นควรเลือกวิธีรักษาสิวเทียมให้เหมาะสมกับประเภทสิวเทียมที่เป็น โดยมีวิธีรักษาสิวเทียมดังนี้
- การล้างหน้าอย่างถูกวิธี ผู้ที่แต่งหน้า หรือใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ ควรใช้คลีนซิ่งแบบออยล์หรือบาล์มล้างเครื่องสำอางก่อน แล้วตามด้วยโฟมล้างหน้าสูตรอ่อนโยน การล้างหน้าให้สะอาดสามารถลดการเกิดสิวผด สิวข้าวสาร และสิวเสี้ยนได้ เพราะช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนและการสะสมของสิ่งสกปรกได้ดี
- การใช้ยาเฉพาะทาง ยารักษาสิวเทียมควรเลือกให้ตรงกับสาเหตุของแต่ละประเภท เช่น ยาทาคีโตโคนาโซลเหมาะกับสิวผด ส่วนสิวข้าวสารหรือสิวหินอาจต้องใช้ยาทากลุ่มเรตินอยด์ หรือยารับประทานอย่าง Tranilast ในกรณีที่ฝังลึก ยาเหล่านี้จะช่วยละลายหัวสิว ลดการสะสมของเคราติน และควบคุมการอักเสบใต้ผิว แต่ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เพราะยาบางตัวระคายเคืองสูง
- การผลัดเซลล์ผิว การผลัดเซลล์ผิวด้วยสาร AHA, BHA หรือ Salicylic Acid ช่วยให้เซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพหลุดลอกออกง่ายขึ้น ลดการอุดตัน และทำให้สิวเทียมที่เป็นตุ่มแข็ง เช่น สิวข้าวสาร หรือสิวเสี้ยน หลุดออกจากรูขุมขนได้ไวขึ้น แต่ไม่ควรทำบ่อยเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวบางลงและระคายเคืองมากกว่าเดิม
- การกดสิวและเปิดหัวสิว การกดสิวเหมาะกับสิวข้าวสาร และสิวหินที่ฝังลึกใต้ผิว โดยต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อหรือรอยแผลเป็น โดยเฉพาะสิวหินที่มีลักษณะแข็ง กดเองอาจทำให้ผิวอักเสบมากขึ้น และกลายเป็นปัญหาเรื้อรังในระยะยาว
- การใช้เลเซอร์และจี้ไฟฟ้า การรักษาด้วยเลเซอร์ เช่น CO2 Laser หรือการจี้ไฟฟ้าด้วยพลังงานความร้อน เป็นทางเลือกที่แม่นยำและปลอดภัยในการเปิดหัวสิวและสลายสิวที่ฝังลึก โดยเฉพาะสิวข้าวสารและสิวหิน ซึ่งไม่สามารถกดออกได้ง่าย ๆ วิธีนี้จะช่วยให้สิวหลุดออกโดยไม่ต้องบีบแรง และลดโอกาสเกิดแผลเป็นหลังการรักษา
- การใช้ความเย็นจี้สิว เทคโนโลยี Cryotherapy คือการรักษาสิวโดยใช้ความเย็นจัด โดยสามารถรักษาสิวข้าวสาร และสิวหินได้ดี จะทำให้ตุ่มสิวแข็งตัวแล้วสะกิดหลุดออก แต่เนื่องจากอาจทำให้ผิวบริเวณนั้นไวต่อแสงหรือมีรอยแดง จึงควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
- การฉายแสงและทรีตเมนต์ลดการอักเสบ การฉายแสงสีฟ้าหรือแสงสีแดงเหมาะกับสิวผดและสิวจากการแพ้ เช่น สิวที่เกิดจากการใช้ครีมที่มีสารระคายเคืองหรือสเตียรอยด์ โดยแสงจะช่วยลดเชื้อแบคทีเรียใต้ผิวหนังและลดการอักเสบโดยไม่ทำให้ผิวบางลง เหมาะกับผิวที่บอบบางหรืออยู่ในช่วงฟื้นฟู
- การปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน การลดการจับหน้า หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนสามารถช่วยลดโอกาสเกิดสิวเทียมได้ในระยะยาว โดยเฉพาะในผู้ที่มีสิวผดจากความร้อน หรือสิวแพ้ครีม การปรับพฤติกรรมเล็ก ๆ เช่น การล้างมือบ่อยขึ้น หลีกเลี่ยงการใช้แปรงแต่งหน้าที่ไม่สะอาด หรือเปลี่ยนปลอกหมอนเป็นประจำ ก็ช่วยให้สิวเทียมหายเร็วขึ้นและไม่กลับมาอีก
สรุป
สิวเทียมเป็นอาการจากผิวหนังที่มีลักษณะคล้ายสิวจึงมักเรียกกันว่าสิว โดยเกิดจากหลายๆ สาเหตุทั้งมลภาวะ และอาการแพ้จึงทำให้เกิดขึ้นมา ซึ่งสิวเทียมมีวิธีรักษาแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทสิวเทียมที่เป็น หากมีปัญหาสิว ไม่รู้ว่าเป็นสิวอะไร ต้องรักษาแก้ไขอย่างไรสามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ Vincent Clinic Skin ก่อนได้ค่ะ