ริ้วรอยใต้ตา เป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่หลายคนต้องเผชิญ เพราะผิวบริเวณนี้บางกว่าผิวหน้าอื่นหลายเท่า จึงไวต่อทั้งแสงแดด แรงสัมผัส ความเครียด ไปจนถึงพฤติกรรมเล็กๆ น้อย ๆ ก็ทำให้เกิดริ้วรอยใต้ตาได้และถ้าหากปล่อยริ้วรอยใต้ตาไว้จนลึกขึ้นจะแก้ไขได้ยาก ทำให้หลายๆ คนอยากรู้ว่าควรรักษาริ้วรอยใต้ตาอย่างไร ในบทความนี้ Vincent Clinic Aesthetic จะพามารู้จักเกี่ยวกับ ริ้วรอย บริเวณใต้ตาทั้งสาเหตุ วิธีแก้ไข รวมไปถึงวิธีป้องกัน ชะลอการเกิดริ้วรอยใต้ตา
Key Takeaways
- ผิวใต้ตาเป็นบริเวณที่บางและบอบบางที่สุดของใบหน้า ทำให้ไวต่อริ้วรอยมากกว่าส่วนอื่น ทั้งจากอายุ แสงแดด พฤติกรรมการใช้ชีวิต
- อายุที่เพิ่มขึ้นทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินลดลง ส่งผลให้ผิวใต้ตาเริ่มแห้ง หย่อนคล้อย และเกิดรอยพับถาวรได้ง่าย
- ริ้วรอยใต้ตามีหลายประเภท เช่น ริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า ผิวแห้ง หรือมีถุงใต้ตาร่วม ซึ่งแต่ละแบบต้องใช้วิธีดูแลและรักษาที่แตกต่างกัน
- ริ้วรอยใต้ตาต่างจากถุงใต้ตาอย่างชัดเจน ริ้วรอยจะเป็นเส้นบาง ๆ มักเพิ่มขึ้นเวลาแสดงสีหน้า ส่วนถุงใต้ตาคือก้อนบวมนูนออกมาแม้ไม่ยิ้มก็เห็นชัด
- โบท็อกซ์เหมาะกับริ้วรอยจากการขยับกล้ามเนื้อ เช่น รอยย่นตอนยิ้มหรือหัวเราะ เห็นผลเร็ว แต่ควรฉีดโดยแพทย์เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง
- ฟิลเลอร์หรือฉีดไขมันเหมาะกับร่องลึกหรือเบ้าตาลึก ช่วยเติมเต็มให้ใต้ตาดูเรียบเนียนขึ้นทันที ผลลัพธ์อยู่ได้นาน
- การป้องกันที่ดีควรเริ่มตั้งแต่ยังไม่มีริ้วรอย โดยใช้ครีมบำรุงรอบดวงตา ทาครีมกันแดดทุกวัน ดื่มน้ำให้เพียงพอ พักผ่อนให้ครบ และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมรุนแรงกับผิว
- การเลือกทำหัตถการต้องทำกับแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น เพราะผิวใต้ตาไวต่อความผิดพลาด การรักษากับผู้ไม่มีใบอนุญาตหรือใช้ผลิตภัณฑ์ไม่มีคุณภาพ อาจเสี่ยงเกิดปัญหารุนแรง
ริ้วรอยใต้ตา คืออะไร?
ริ้วรอยใต้ตา คือ เส้นบางๆ หรือรอยพับเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นบริเวณใต้ดวงตา ซึ่งใต้ตาเป็นจุดที่ผิวมีความบอบบางมากกว่าส่วนอื่นของใบหน้าจึงสามารถเกิดริ้วรอยใต้ตาขึ้นได้จากหลายปัจจัยทั้งปัจจัยตามธรรมชาติของร่างกาย และพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยริ้วรอยใต้ตาสามารถจำแนกได้เป็นหลายลักษณะตามต้นเหตุและรูปแบบการเกิด ได้แก่
- ริ้วรอยใต้ตาจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เป็นรอยที่เกิดขึ้นชั่วคราวขณะมีการแสดงสีหน้า และสามารถกลายเป็นริ้วรอยใต้ตาถาวรได้
- ริ้วรอยใต้ตาจากความแห้งกร้านของผิว เกิดจากผิวที่สูญเสียความชุ่มชื้นหรือมีอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้รอยพับเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นแม้ไม่ได้แสดงสีหน้า
- ริ้วรอยใต้ตาร่วมกับความหมองคล้ำหรือถุงใต้ตา เกิดจากการสะสมของไขมัน หรือระบบไหลเวียนไม่ดี ทำให้ใต้ตาดูบวมคล้ำและส่งผลให้ริ้วรอยใต้ตาดูชัดเจนขึ้น
สาเหตุที่ทำให้เกิดริ้วรอยใต้ตา
ริ้วรอยใต้ตาเกิดได้จากหลายปัจจัยทั้งภายในร่างกาย และจากสิ่งแวดล้อมภายนอก โดยเฉพาะพฤติกรรมที่ทำร้ายผิวโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเมื่อผิวบริเวณใต้ตาเป็นบริเวณที่บางและบอบบางเป็นพิเศษจึงยิ่งทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย และเร็วกว่าส่วนอื่นของใบหน้า โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดริ้วรอยใต้ตามีดังนี้
-
- การเสื่อมของผิวตามวัย เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินน้อยลง ซึ่งช่วยให้ผิวยืดหยุ่นและตึงกระชับ เมื่อคอลลาเจน อีลาสตินลดลงจะทำให้ ผิวเริ่มหย่อนคล้อย ไม่กระชับ และเกิดรอยพับถาวรตามมาโดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตา
- พักผ่อนไม่เพียงพอ จะทำให้ร่างกายฟื้นฟูผิวได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้ผิวใต้ตาอ่อนแอ บวมคล้ำ และเกิดริ้วรอยใต้ตาได้
- รังสียูวีจากแสงแดด ทะลุลึกเข้าสู่ชั้นผิวหนังและทำลายโครงสร้างผิว และคอลลาเจนใต้ผิวหนัง การไม่ป้องกันแสงแดดอย่างเหมาะสมสามารถเร่งให้ผิวเสื่อมสภาพและเกิดริ้วรอยได้เร็วขึ้น
- มลภาวะในอากาศ ฝุ่นควัน และสารพิษต่างๆ เป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายสร้างอนุมูลอิสระมากขึ้น ซึ่งอนุมูลอิสระเหล่านี้จะเข้าไปทำลายเซลล์ผิวและเร่งให้ผิวเกิดริ้วรอยเร็วยิ่งขึ้น หากไม่มีการป้องกันหรือดูแลที่เพียงพอ
- การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ จะลดความสามารถของร่างกายในการซ่อมแซมเซลล์ผิว ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี ส่งผลให้ผิวใต้ตาดูหมองคล้ำและอ่อนแอ
- ขาดการดูแลผิว หากไม่บำรุงหรือเติมความชุ่มชื้นให้ผิวบริเวณรอบดวงตาอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น ผิวแห้งจะยิ่งเน้นให้ริ้วรอยดูชัดเจนขึ้น
- การขยี้ตาแรง หรือเช็ดรอบดวงตาแรงๆ ทำให้เกิดการระคายเคือง เสียความยืดหยุ่น และเกิดรอยย่นเล็ก ๆ ได้ง่าย โหากทำเป็นประจำทุกวันจะยิ่งเร่งให้เกิดริ้วรอยใต้ตาเร็วกว่าปกติ
หลายคนแม้จะยังอายุน้อย แต่ก็เริ่มมีริ้วรอยใต้ตาได้จากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก เช่น ผิวใต้ตาที่บางมาก พฤติกรรมทำร้ายผิวโดยไม่รู้ตัว หรือสภาพแวดล้อมที่เร่งให้ผิวเสื่อมเร็วขึ้น จึงทำให้ปัญหา ริ้วรอยใต้ตาในวัยหนุ่มสาว กลายเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน การดูแลและแก้ไขอย่างถูกวิธีตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อชะลอและลดเลือนริ้วรอยในระยะยาว
ริ้วรอยใต้ตาต่างจากถุงใต้ตายังไง?
ริ้วรอยใต้ตาและถุงใต้ตาจะเกิดขึ้นในบริเวณเดียวกัน แต่มีลักษณะและสาเหตุที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยริ้วรอยใต้ตาจะเป็นเส้นบางๆ หรือรอยย่นเล็กๆ ที่ใต้ตา แต่ถุงใต้ตานั้นจะเห็นเป็นอาการบวม นูน หรือปูดออกมาบริเวณใต้ดวงตา โดยถ้าใครดูไม่ออกว่าเป็นริ้วรอยใต้ตา หรือถุงใต้ตากันแน่ สามารถเช็กได้ด้วยการส่องกระจก ถ้าใต้ตามีเส้นบางๆ หรือเส้นใต้ตาเพิ่มเยอะขึ้นเมื่อยิ้ม แปลว่าเป็นริ้วรอยใต้ตา แต่ถ้าเห็นเป็นก้อนนูนๆ ใต้ตา และมีอาการบวมในช่วงเช้า หรือเย็น สามารถเห็นได้แม้จะไม่ได้แสดงสีหน้าจะเป็นถุงใต้ตา
วิธีลดริ้วรอยใต้ตาด้วยตัวเอง
ริ้วรอยใต้ตาสามารถรักษาได้ด้วยตัวเอง แต่จะใช้เวลาค่อนข้างนาน และต้องทำประจำต่อเนื่องเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน เหมาะสำหรับคนที่ต้องการแก้ไขเองโดยมีวิธีลดริ้วรอยใต้ตาด้วยตัวเอง ดังนี้
- บำรุงผิวรอบดวงตา เลือกครีม หรือเซรั่มที่ออกแบบมาสำหรับผิวบอบบางใต้ตา มีส่วนผสมที่ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เช่น ไฮยาลูรอนิก แอซิด เปปไทด์ หรือสารออกฤทธิ์เข้มข้น เช่น ไทอามิดอล เรตินอล หรือวิตามินซี จะช่วยฟื้นฟูผิวรอบดวงตาได้ลึกถึงชั้นผิว ช่วยลดริ้วรอยใต้ตาให้น้อยลง
- มาส์กใต้ตา ใช้แผ่นมาส์ก หรือมาส์กจากธรรมชาติเช่น แตงกวา ใบบัวบก หรือไข่ขาว สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการบวม และฟื้นฟูผิวที่เหนื่อยล้า
- นวดผิวรอบดวงตาเบาๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียน โดยใช้นิ้วนวดวนเบา ๆ จากหัวตาไปหางตาวันละ 1–2 ครั้ง จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ลดอาการบวม
- ผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ชนิดอ่อน เช่น Glycolic Acid หรือการสครับเบา ๆ ด้วยสครับที่ไม่บาดผิวสัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและกระตุ้นให้เกิดเซลล์ผิวใหม่ที่เรียบเนียนมากขึ้น
วิธีทางคลินิกที่ช่วยแก้ไขริ้วรอยใต้ตา
ถ้าต้องการลดริ้วรอยใต้ตาเร่งด่วนวิธีการทางการแพทย์จะเห็นผลได้รวดเร็วที่สุด ซึ่งในปัจจุบันมีหลายวิธีรักษาที่สามารถลดริ้วใต้ตาได้ โดยแต่ละวิธีจะแตกต่างกันไปมีดังนี้
ฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มริ้วรอยใต้ตา
ฟิลเลอร์ สารเติมเต็มที่สามารถฉีดเข้าไปในบริเวณใต้ตาที่มีร่องลึก เบ้าตาลึก หรือผิวบริเวณนั้นยุบตัว หลังจากฉีดริ้วรอยใต้ตาจะเรียบเนียนขึ้น และผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ และรุ่นฟิลเลอร์ที่เลือกใช้
การฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
โบท็อกซ์ เหมาะสำหรับลดริ้วรอยที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เช่น รอยย่นใต้ตาที่เกิดขึ้นเมื่อยิ้มหรือหัวเราะ โบท็อกซ์จะเข้าไปหยุดการทำงานของกล้ามเนื้อทำให้ผิวใต้ตาดูเรียบเนียนขึ้น แต่ถ้าฉีดมากเกินไปอาจส่งผลให้ตาดูแข็งหรือขยับไม่เป็นธรรมชาติได้ โดยผลลัพธ์หลังฉีดอยู่ได้นานประมาณ 4 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อโบท็อกซ์ที่เลือกใช้
ฉีด Skin Booster ลดริ้วรอยใต้ตา
Skin Booster สามารถช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ปรับสภาพผิว ลดริ้วรอยใต้ตาได้ เช่น Rejuran, Exosome หรือ Sculptra จะค่อยๆ ฟื้นฟูผิวบริเวณใต้ตา คืนความชุ่มชื้นอย่างอ่อนโยน เหมาะสำหรับการบำรุงใต้ตาระยะยาว และเสริมให้ผิวแข็งแรงจากภายใน
เลเซอร์ริ้วรอยใต้ตา
การใช้เลเซอร์ที่เป็นพลังงานแสงหรือคลื่นความร้อนช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว และสามารถลดเลือนริ้วรอยเส้นเล็กๆ ได้ แต่ต้องทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพราะอาจเกิดผิวไหม้ได้ถ้ามีการปรับพลังงานไม่ถูกต้อง
ยกกระชับผิวริ้วรอยใต้ตา
เทคโนโลยีคลื่นเสียงความถี่สูง เช่น Ulthera หรือ HIFU ช่วยยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด ผ่านการส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นผิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้ผิวตึงขึ้น ริ้วรอยใต้ตาลดลง และช่วยถุงใต้ตาให้ดูน้อยลง
อ่านเพิ่มเติม : Ulthera รอบดวงตา ยกกระชับลดริ้วรอยรอบดวงตาให้จางลง คืนความสดใส
ฉีดไขมันใต้ตา
การฉีดไขมันจะดูดมาจากต้นขา หรือหน้าท้องที่มีปริมาณไขมันเยอะไปเติมใต้ตาเป็นวิธีที่คล้ายกับการฉีดฟิลเลอร์ แต่มีความปลอดภัยมากกว่าเพราะเป็นไขมันจากตัวเอง ซึ่งผิวใต้ตาจะดูเต่งตึง ริ้วรอยหายทันทีหลังทำ และผลลัพธ์อยู่ได้นาน แต่ไขมันอาจสลายไปเนื่องจากร่างกายนำไขมันใช้ ทำให้ต้องมาฉีดซ้ำ
การผ่าตัดศัลยกรรมใต้ตา
ถ้ามีผิวใต้ตาหย่อนคล้อยมากเกิดรอยพับลึกเป็นริ้วรอยใต้ตา การผ่าตัดศัลยกรรมจะช่วยแก้ไขได้ตรงจุด โดยแพทย์จะตัดผิวหนังส่วนเกินออกและเย็บปรับรูปร่างให้กระชับขึ้น เห็นผลชัดเจนและอยู่ได้นาน แต่ต้องพักฟื้นค่อนข้างนาน และควรทำกับศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญเท่านั้นเพื่อความปลอดภัย
ใต้ตาแบบไหนควรฉีดฟิลเลอร์ หรือควรรักษาวิธีอื่น?
เพื่อให้การรักษาเห็นผล และเหมาะสมที่สุด ก่อนรักษาปัญหาใต้ตาควรจะรู้ว่ามีปัญหาแบบไหนเพื่อที่จะได้เลือกวิธีแก้ไข หัตถการที่ใช้ได้เหมาะสมที่สุด โดยปัญหาใต้ตาแต่ละแบบเหมาะกับการรักษาดังนี้
ใต้ตามีร่องลึก เบ้าตาลึก
เหมาะกับการรักษาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หรือฉีดไขมันใต้ตา เพราะปัญหานี้มักเกิดจากการสูญเสียคอลลาเจน หรือไขมันบริเวณใต้ตาทำให้เกิดร่องและเงาคล้ำที่เห็นได้ชัด การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มร่องลึกทำให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น
ใต้ตาแห้งมีริ้วรอยตื้นๆ
เหมาะกับการรักษาด้วย Skin Booster เลเซอร์ หรือ ฟิลเลอร์ที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว การใช้สารบำรุงเข้มข้นเช่น Rejuran หรือกรดไฮยาลูโรนิกจะช่วยเติมความชุ่มชื้น ฟื้นฟูเซลล์ผิว และกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ทำให้ผิวดูเนียนขึ้น
ใต้ตามีริ้วรอยตอนยิ้ม หรือแสดงสีหน้า
เหมาะกับการรักษาด้วยการฉีดโบท็อกซ์ เพราะริ้วรอยที่เห็นชัดเจนเวลาแสดงสีหน้าเกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อรอบตาซึ่งโบท็อกซ์สามารถช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว หลังจากฉีดเมื่อแสดงสีหน้าจะไม่เกิดริ้วรอยรอบๆ ดวงตาอีก
ใต้ตาบวม ถุงไขมันปูด
เหมาะกับการรักษาด้วยการผ่าตัดถุงใต้ตา หากมีปัญหาใต้ตานูนขึ้นชัดเจนตลอดเวลาอาจเกิดจากไขมันสะสมที่ดันผิวออกมา ซึ่งวิธีรักษาที่ได้ผลที่สุดคือการผ่าตัดเอาไขมันส่วนเกินออก หรือจัดเรียงไขมันใหม่ให้ผิวใต้ตาดูเรียบเนียน
ใต้ตาหย่อนคล้อย
เหมาะกับการรักษาด้วยเครื่องยกกระชับ เพราะผิวใต้ตาเริ่มหย่อนหรือมีริ้วรอยเล็กๆ จากความเสื่อมของคอลลาเจนแต่ยังไม่ถึงขั้นต้องฉีดสารหรือผ่าตัด พลังงานจากเครื่องยกกระชับจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวทำให้ผิวแน่นขึ้น กระชับขึ้น และริ้วรอยเล็กจางลง
ป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยใต้ตาตั้งแต่เนิ่น ๆ
ผิวรอบดวงตาเป็นจุดที่บางและบอบบางที่สุดบนใบหน้า ทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าส่วนอื่น ๆ การเริ่มดูแลตั้งแต่อายุยังน้อยจะช่วยยืดอายุผิวและลดความเสี่ยงของริ้วรอยที่เกิดจากวัย การป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด จึงมีวิธีป้องกันริ้วรอยใต้ตาดังนี้
- หลีกเลี่ยงการขยี้ตาหรือสัมผัสผิวรอบดวงตาแรงเกินไป แรงกดจากการขยี้ตา เช็ดเครื่องสำอาง หรือเกาหนังตาสามารถทำให้เส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวขาดได้ง่าย เมื่อทำซ้ำบ่อย ๆ จะทำให้เกิดรอยย่นถาวรและเร่งให้ผิวเสื่อมเร็วกว่าปกติ
- ดูแลผิวรอบดวงตาด้วยผลิตภัณฑ์บำรุง ใช้ครีมบำรุงหรือเซรั่มเฉพาะสำหรับรอบดวงตาที่มีส่วนผสมให้ความชุ่มชื้นและต้านอนุมูลอิสระ เช่น ไฮยาลูโรนิก แอซิด เปปไทด์ หรือวิตามินซี จะช่วยชะลอริ้วรอยและเสริมความแข็งแรงให้กับผิวบอบบางบริเวณนี้
- ทาครีมกันแดดรอบดวงตาทุกวัน รังสียูวีสามารถทะลุกระจกหรือสะท้อนจากพื้นผิวต่าง ๆ ได้ การปกป้องผิวรอบดวงตาด้วยครีมกันแดดสูตรอ่อนโยนจะช่วยลดการทำลายคอลลาเจนจากแสงแดด และลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัย โดยเฉพาะในวันที่มีแดดจัดหรืออยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน
- สวมแว่นกันแดดเมื่อออกนอกบ้าน นอกจากช่วยกรองรังสียูวีแล้ว แว่นกันแดดยังช่วยลดการหรี่ตาเมื่อเผชิญแสงจ้า ซึ่งเป็นหนึ่งในพฤติกรรมที่ทำให้เกิดรอยย่นบริเวณหางตาและใต้ตาได้บ่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ ผิวที่ขาดน้ำจะแสดงออกมาอย่างชัดเจนบริเวณรอบดวงตา เช่น ความหมองคล้ำและริ้วรอยเล็ก ๆ การดื่มน้ำให้เพียงพอ 1.5–2 ลิตรต่อวัน จะช่วยให้ผิวใต้ตาดูอิ่มฟู ยืดหยุ่น และต้านทานริ้วรอยได้ดีขึ้น
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ สารพิษจากบุหรี่ไม่เพียงแต่ทำลายปอด แต่ยังทำให้ผิวแก่ก่อนวัย เนื่องจากทำลายเส้นเลือดฝอยที่หล่อเลี้ยงผิว และเพิ่มการสร้างอนุมูลอิสระซึ่งไปทำลายคอลลาเจน ส่งผลให้ผิวรอบดวงตาดูหมองคล้ำ แห้ง และมีริ้วรอยลึกเร็วขึ้น
- ลดการดื่มแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายขาดน้ำ และลดประสิทธิภาพของการฟื้นฟูผิวในขณะนอนหลับ ส่งผลให้ผิวใต้ตาดูโทรมและเกิดริ้วรอยง่ายขึ้น หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรดื่มน้ำเปล่าตามมาก ๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำ
- ลดน้ำตาลในอาหารและเครื่องดื่ม น้ำตาลส่วนเกินในร่างกายจะทำให้เกิดกระบวนการไกลเคชั่น (glycation) ซึ่งเป็นการจับตัวของน้ำตาลกับโปรตีนในผิว ส่งผลให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพ ผิวจึงเสียความยืดหยุ่นและเกิดริ้วรอยได้เร็ว
- พักผ่อนให้เพียงพอและนอนให้ตรงเวลา นอนน้อยหรือเข้านอนผิดเวลาเป็นประจำ จะทำให้กระบวนการฟื้นฟูผิวเสียสมดุล ใต้ตาจะเริ่มมีสีคล้ำ ผิวบางลง และเกิดรอยพับถาวรได้ การเข้านอนก่อนเที่ยงคืน และนอนให้ครบ 7–8 ชั่วโมงต่อคืนจึงเป็นพื้นฐานสำคัญของการป้องกันริ้วรอย
ข้อควรรู้ก่อนรักษาริ้วรอยใต้ตา
ผิวบริเวณใต้ตานั้นเป็นส่วนที่บางและบอบบางที่สุดของใบหน้า การรักษาริ้วรอยในจุดนี้แม้จะมีหลายวิธีให้เลือก และดูเหมือนจะทำได้ง่าย แต่ความจริงแล้วจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังสูงเป็นพิเศษ ทั้งในด้านการเลือกผลิตภัณฑ์ วิธีการรักษา รวมถึงผู้ให้บริการ เพราะหากเลือกผิดพลาด อาจไม่เพียงไม่เห็นผล แต่ยังเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงหรือปัญหาผิวระยะยาวได้ เพื่อให้การดูแลผิวใต้ตาเป็นไปอย่างปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด นี่คือสิ่งสำคัญที่ควรรู้ก่อนเริ่มรักษา
- ห้ามฉีดฟิลเลอร์ หรือโบท็อกซ์กับบุคคลที่ไม่ใช่หมอ การฉีดสารเข้าสู่ผิวโดยไม่มีความรู้เฉพาะด้านอาจทำให้เกิดปัญหาร้ายแรง เช่น ฟิลเลอร์ไหลผิดตำแหน่ง เส้นเลือดอุดตัน หรือดวงตาได้รับผลกระทบ จึงควรทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ในคลินิกที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาสำหรับใต้ตา ไม่ควรนำครีมหรือเซรั่มสำหรับใบหน้าทั่วไปมาใช้กับใต้ตาโดยตรง เพราะผิวบริเวณนี้ไวต่อการระคายเคือง ควรเลือกสูตรที่ผ่านการทดสอบสำหรับผิวรอบดวงตา ปราศจากน้ำหอมและแอลกอฮอล์
- ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังหรือแพทย์ด้านความงามก่อนรักษา ลักษณะของริ้วรอยใต้ตาแต่ละแบบต้องใช้แนวทางการรักษาที่ต่างกัน เช่น ร่องลึกอาจเหมาะกับฟิลเลอร์ แต่หากเป็นริ้วรอยจากการยิ้มจะเหมาะกับโบท็อกซ์
- หลีกเลี่ยงการใช้สารผลัดเซลล์หรือเรตินอลเข้มข้นบริเวณใต้ตา แม้สารเหล่านี้จะช่วยผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นคอลลาเจน แต่การใช้ในบริเวณที่บางเกินไป เช่น ใต้ตา อาจทำให้ผิวแห้ง ลอก หรือเกิดการระคายเคืองได้ ควรเลือกสูตรอ่อนโยนและปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
- อย่าหลงเชื่อโปรโมชั่นราคาถูกโดยไม่ตรวจสอบ หากใช้ผลิตภัณฑ์ไม่มีคุณภาพ หรือทำกับบุคคลที่ไม่มีความเชี่ยวชาญมีความเสี่ยงสูง และอันตราย ควรเลือกคลินิกที่มีใบอนุญาตถูกต้อง รีวิวดี และมีมาตรฐานในการดูแลหลังการรักษา
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับริ้วรอยใต้ตา
Q: ใต้ตาย่นตอนยิ้ม ถือว่าเป็นริ้วรอยไหม?
A: เป็นริ้วรอย ซึ่งเป็นริ้วรอยในระยะเริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อแสดงสีหน้า สามารถพัฒนาไปเป็นริ้วรอยถาวรได้
Q: ถ้าอายุยังไม่ถึง 30 ปี แต่มีริ้วรอยใต้ตา ถือว่าผิดปกติไหม?
A: ไม่ผิดปกติ เพราะใต้ตามีความบอบบางจึงเป็นจุดที่เกิดริ้วรอยได้อย่างกว่าบริเวณอื่นๆ
Q: ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแก้ริ้วรอยได้ถาวรไหม?
A: ไม่ถาวร ฟิลเลอร์จะช่วยแก้ไขริ้วรอยชั่วคราวเมื่อครบกำหนดระยะเวลาจะค่อยๆ สลายไปเอง จากนั้นใต้ตาจะกลับมาสภาพเดิม ต้องฉีดซ้ำเพื่อแก้ไขปัญหา
Q: ควรเริ่มใช้ครีมลดริ้วรอยใต้ตาตั้งแต่อายุเท่าไร?
A: เมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยอายุ 20 สามารถเริ่มดูแลผิวใต้ตาได้เลย เพราะคอลลาเจนในผิวจะค่อยๆ ลดลง
Q: ฉีดโบท็อกใต้ตาแล้วจะดูแข็ง ยิ้มไม่เป็นธรรมชาติไหม?
A: เกิดขึ้นได้หากใช้ปริมาณโบท็อกซ์มากเกินไป ดังนั้นจึงควรฉีดกับแพทย์ที่เชี่ยวชาญประเมินปริมาณโบท็อกซ์ได้
Q: ผิวใต้ตาบางมาก ควรหลีกเลี่ยงหัตถการแบบไหน?
A: อาจไม่เหมาะกับการทำเลเซอร์ ควรเน้นเป็นหัตถการที่ช่วยบำรุงผิวเช่น ฉีด Skin Booster แทน
Q: ริ้วรอยใต้ตาแบบไหนที่ควรผ่าตัดมากกว่าฉีด?
A: มีปัญหาริ้วรอยใต้ตาหย่อนคล้อยมา และมีถุงใต้ตาร่วมด้วย
Q: ริ้วรอยใต้ตาแก้ไม่หายขาดจริงไหม?
A: ริ้วรอยไม่สามารถป้องกันได้อย่างถาวร จะทำได้เพียงแค่ชะลอริ้วรอย และแก้ไขรักษาอยู่เรื่อยๆ
สรุป
ริ้วรอยใต้ตาสามารถรักษาได้ แต่ควรเลือกวิธีรักษาให้เหมาะกับริ้วรอยใต้ตาให้ถูกต้อง หากมีริ้วรอยใต้ตาลึกจะเหมาะกับการเติมฟิลเลอร์ หรือมีริ้วรอยใต้ตาเมื่อยิ้มควรฉีดโบท็อกซ์ หากรู้ว่าริ้วรอยใต้ตาเป็นแบบไหน เกิดจากสาเหตุอะไรก็จะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด หากใครที่มีริ้วรอยใต้ตาต้องการแก้ไข สามารถเข้ามาปรึกษากับ Vincent Clinic Aesthetic โดยแพทย์ที่มีประสบการณ์คอยให้คำแนะนำค่ะ