พลาเซนต้าบางคนอาจจะเคยได้ยินผ่านๆ หรือไม่คุ้นหูมาก่อน แต่ถ้าบอกว่าคือรก รกแกะ รกม้า หลายๆ คนจะเริ่มรู้จักขึ้นมา ซึ่งพลาเซนต้า หรือรก เป็นหนึ่งในสารยอดฮิตที่นิยมนำมาทำหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นสกินแคร์ หรือยา ในบทความนี้ Vincent Clinic Aesthetic จะพาทุกคนมาเจาะลึกเกี่ยวกับพลาเซนต้าว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายจริงไหม ช่วยเรื่องอะไร และปลอดภัยต่อร่างกายหรือไม่ เพื่อให้คนที่กำลังสนใจพลาเซนต้าตัดสินใจได้ว่าควรใช้หรือไม่ค่ะ
Key Takeaways
- พลาเซนต้าคืออวัยวะที่ทำหน้าที่ลำเลียงอาหารให้ทารกในครรภ์ แต่ถูกนำมาสกัดใช้ในด้านความงามและเวชศาสตร์ชะลอวัย เพราะมีสารบำรุง เช่น กรดอะมิโน เปปไทด์ วิตามิน และโกรทแฟกเตอร์
- ช่วยฟื้นฟูผิว ลดริ้วรอย ลดฝ้า กระ จุดด่างดำ เสริมภูมิคุ้มกัน และปรับสมดุลฮอร์โมน กระตุ้นการงอกของเส้นผม ช่วยการไหลเวียนโลหิต บำรุงระบบภายใน
- พลาเซนต้ามีทั้งแบบฉีด กิน และทา ซึ่งให้ผลลัพธ์ต่างกันตามวิธีใช้ โดยแบบฉีดเห็นผลไวที่สุดแต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ส่วนแบบทาและแบบกินเน้นบำรุงระยะยาว
- พลาเซนต้าอาจได้จากมนุษย์ สัตว์ หรือพืช โดยพืชไม่ได้มีรกจริงแต่สกัดเลียนแบบคุณสมบัติ
- พลาเซนต้าปลอดภัยถ้าใช้กับแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้และเหมาะสมกับสภาพร่างกาย ไม่แนะนำสำหรับหญิงตั้งครรภ์ ผู้มีโรคภูมิคุ้มกัน หรือผู้แพ้สารชีวภาพ และไม่ควรเชื่อว่าพลาเซนต้าช่วยล้างพิษหรือทำให้ผิวขาวโดยตรง ทั้งหมดควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนใช้เสมอ
พลาเซนต้าคืออะไร? มาจากอะไร?
พลาเซนต้า (Placenta) หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่า ”รก” คือ อวัยวะสำคัญของทารกที่ทำหน้าที่ลำเลียงอาหาร ออกซิเจนไปให้ทารกในขณะที่คุณแม่กำลังตั้งครรภ์อยู่ ซึ่งรก หรือพลาเซนต้านั้นมีความพิเศษนอกจากช่วยดูแลทารกอยู่มาก เพราะพลาเซนต้าอุดมไปด้วยสารบำรุงหลากหลายชนิด เช่น กรดอะมิโน วิตามิน เอนไซม์ เปปไทด์ รวมถึงโกรทแฟกเตอร์ (Growth Factors) ซึ่งเป็นกลุ่มของโปรตีนที่มีบทบาทในการกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมสภาพ และส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยพลาเซนต้ามาได้จากหลายๆ แหล่งไม่ได้มาจากมนุษย์เท่านั้น มีทั้งจากสัตว์ และจากพืชค่ะ
พลาเซนต้าช่วยอะไรได้บ้าง?
พลาเซนต้ายังเป็นแหล่งของสารอาหารชีวภาพที่มีศักยภาพสูงในการบำรุง ฟื้นฟู และซ่อมแซมร่างกายได้อย่างครอบคลุม ทั้งสุขภาพผิวพรรณและการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย โดยสารสกัดจากพลาเซนต้าที่ผ่านกระบวนการแปรรูปอย่างเหมาะสมจะคงไว้ซึ่งคุณสมบัติที่สามารถช่วยปรับสภาพภายใน และภายนอกร่างกายได้ โดยประโยชน์ของพลาเซนต้ามีดังนี้
ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวและลดเลือนริ้วรอย
พลาเซนต้าสามารถกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ซึ่งช่วยให้ผิวผลัดเปลี่ยนเร็วขึ้น และมีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น ทำให้ริ้วรอยต่างๆ เช่น รอยตีนกา ร่องลึก ผิวที่ขาดความกระชับค่อยๆ ลดลง ส่งผลให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์ เต่งตึง และสุขภาพดีขึ้น
ช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใส ลดจุดด่างดำ
สารอาหารที่พบในพลาเซนต้า เช่น เปปไทด์และเอนไซม์บางชนิด ช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสซึ่งเกี่ยวข้องกับการผลิตเม็ดสีเมลานิน ทำให้รอยฝ้า กระ และจุดด่างดำดูจางลง สีผิวสม่ำเสมอขึ้น
ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และต้านการอักเสบ
พลาเซนต้ามีสารที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น Growth Factors และไซโตไคน์ ซึ่งช่วยกระตุ้นการตอบสนองของเซลล์เม็ดเลือดขาว จึงสามารถต้านการอักเสบ และสมานแผลได้ดี ทำให้ร่างกายสามารถฟื้นตัวจากบาดแผลหรืออาการอักเสบต่างๆ ได้เร็วขึ้น
ช่วยบำรุงระบบภายในและลดความเสื่อมของอวัยวะ
กรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุ สามารถพบได้ในพลาเซนต้าซึ่งช่วยส่งเสริมการทำงานของอวัยวะภายใน ทั้งตับ ไต และระบบประสาท ส่งผลให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น ช่วยขจัดของเสียออกจากเซลล์ ฟื้นฟูอวัยวะที่เสื่อมสภาพ
ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนตามธรรมชาติ
พลาเซนต้าสามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างฮอร์โมนตามธรรมชาติได้ดีขึ้น เช่น ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญ และสมรรถภาพร่างกาย ซึ่งช่วยลดอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ความเครียดสะสม และภาวะฮอร์โมนแปรปรวนในวัยทองได้
ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม และบำรุงหนังศีรษะ
พลาเซนต้าช่วยกระตุ้นการไหลเวียนได้ดีจึงนำไปทำเป็นเซรั่มปลูกผม หรือแชมพูบำรุงผมเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดบริเวณหนังศีรษะ ช่วยกระตุ้นให้รากผมแข็งแรง ชะลอการหลุดร่วง และเร่งการงอกใหม่ของเส้นผม
พลาเซนต้ามีกี่รูปแบบ? ต่างกันยังไง?
ในปัจจุบันพลาเซนต้าได้มีการพัฒนาให้อยู่ในหลายรูปแบบ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละกลุ่มได้มากที่สุด ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีประสิทธิภาพ และความเร็วของผลลัพธ์ที่ต่างกันออกไป โดยพลาเซนต้าแต่ละแบบมีดังนี้
พลาเซนต้าแบบฉีด
พลาเซนต้าในรูปแบบฉีดจะเห็นผลลัพธ์เร็วที่สุด เนื่องจากตัวยาถูกส่งตรงเข้าสู่กระแสเลือดหรือชั้นผิวอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยในระบบทางเดินอาหาร มีทั้งรูปแบบฉีดเข้าชั้นผิว ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ หรือฉีดเข้าสู่หลอดเลือดโดยตรง ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ เช่น ฟื้นฟูผิว ชะลอวัย หรือเสริมภูมิคุ้มกัน หลังฉีดผิวจะดูเปล่งปลั่งขึ้น ริ้วรอยลดลงอย่างชัดเจน แต่ต้องทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ และควรเลือกสถานที่ที่ได้มาตรฐานเท่านั้น เนื่องจากฉีดไม่ถูกจุด เกิดอาการแพ้หรือผลข้างเคียงได้
พลาเซนต้าแบบทา
มักจะมาในรูปของครีม เซรั่ม หรือเจลบำรุงผิว โดยเน้นการดูแลเฉพาะจุด เช่น ผิวหน้า ลำคอ หรือรอบดวงตา สารสกัดพลาเซนต้าที่ใช้จะถูกออกแบบให้มีโมเลกุลขนาดเล็ก เพื่อให้ซึมลงสู่ผิวได้ดีขึ้น และทำงานในระดับเซลล์ผิวภายนอก ซึ่งพลาเซนต้าแบบนี้มีความปลอดภัยสูง เหมาะกับการดูแลผิวเป็นประจำต่อเนื่องทุกวัน เช่น ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ลดรอยดำ ริ้วรอย และเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว แต่ผลลัพธ์อาจต้องใช้เวลามากกว่าแบบฉีด
พลาเซนต้าแบบกิน
เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกายจากภายใน ช่วยทั้งเรื่องผิวพรรณและระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบฮอร์โมน ภูมิคุ้มกัน หรือภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง โดยพลาเซนต้าจะผ่านการทำให้แห้งและควบคุมคุณภาพเพื่อให้สามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย แต่การดูดซึมผ่านระบบทางเดินอาหารจะเห็นผลช้ากว่าแบบฉีดหรือแบบทา รวมถึงต้องใช้เวลา และความต่อเนื่องในการรับประทานจึงจะเห็นผลอย่างชัดเจน
พลาเซนต้าที่นิยมใช้มาจากอะไรบ้าง?
พลาเซนต้าได้กลายมาเป็นวัตถุดิบที่ได้รับความนิยมสูงจากคุณสมบัติในการฟื้นฟูเซลล์ กระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ และชะลอวัย จึงให้มีการหาพลาเซนต้าจากแหล่งอื่นๆ มาทดแทน โดยพลาเซนต้าจากแหล่งต่างๆ ที่นิยมนำมาใช้มีดังนี้
- พลาเซนต้ามนุษย์ ได้จากการบริจาครกหลังการคลอด โดยผ่านกระบวนการคัดกรองและสกัดอย่างปลอดภัย เพื่อให้ได้สารสกัดที่อุดมด้วยเซลล์ต้นกำเนิดและสารกระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์
- พลาเซนต้าจากสัตว์ ได้มากจาก รกแกะ รกม้า และรกวัว ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเวชศาสตร์ชะลอวัย เพราะสารประกอบที่มีอยู่ภายในมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับของมนุษย์
- พลาเซนต้าจากพืช เป็นสารสกัดจากส่วนของพืชที่ทำหน้าที่คล้ายรก เช่น ปลายยอดหรือเนื้อเยื่อเจริญ ซึ่งมีคุณค่าทางชีวภาพสูงและนิยมนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวแพ้ง่าย
ฉีดพลาเซนต้าดีไหม? อันตรายหรือเปล่า?
การฉีดพลาเซนต้าช่วยฟื้นฟูสภาพผิว เพิ่มความยืดหยุ่น ลดเลือนริ้วรอย และเสริมการทำงานของร่างกายได้ แต่ถ้าไม่ได้ฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ รวมถึงสถานที่ที่ไม่ได้การรับรองอาจเกิดอันตราย เพราะพลาเซนต้าเป็นสารที่มีความซับซ้อนอาจกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ได้ ดังนั้นการฉีดพลาเซนต้าต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีหลายๆ คนที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับพลาเซนต้าว่าสามารถล้างพิษ หรือดีท็อกซ์ร่างกายได้ แต่จริงๆ แล้วในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานวิจัยออกมาว่าสามารถกำจัดสารพิษในร่างกายได้จริงค่ะ
พลาเซนต้าช่วยผิวขาวจริงไหม? หรือแค่โฆษณา?
พลาเซนต้ามีสารสำคัญ เช่น เปปไทด์ กรดอะมิโน เอนไซม์ และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิว ลดการอักเสบ และซ่อมแซมผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดดหรือมลภาวะ เมื่อเซลล์ผิวได้รับการฟื้นฟู ผิวจะดูสดใสขึ้น สีผิวที่หมองคล้ำจากการอักเสบหรือความแห้งกร้านจะค่อย ๆ จางลง ส่งผลให้ผิวโดยรวมดูสว่างขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ แต่พลาเซนต้าไม่ใช่สารที่ทำให้ผิวขาวโดยตรง และไม่มีคุณสมบัติในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน แต่บางครั้งหลังใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีพลาเซนต้าอาจทำให้ผิวขาวขึ้นได้จากการที่ผิวได้รับการฟื้นฟูในระดับเซลล์ ทำให้โทนผิวโดยรวมดูสม่ำเสมอ เรียบเนียน และเปล่งปลั่งมากขึ้นค่ะ
ใครบ้างที่ควรใช้หรือไม่ควรใช้พลาเซนต้า?
แม้พลาเซนต้าจะเป็นสารสกัดที่เต็มไปด้วยคุณค่าทางชีวภาพ ทั้งในด้านการฟื้นฟูผิวพรรณ บำรุงร่างกาย และชะลอวัย แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย การเลือกใช้พลาเซนต้าจึงต้องพิจารณาจากสภาพร่างกายและข้อจำกัดเฉพาะบุคคล โดยจะขอแบ่งเป็นคนที่เหมาะกับการใช้พลาเซนต้า และไม่เหมาะกับการใช้ดังนี้
คนที่เหมาะกับพลาเซนต้า
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพจากภายใน รวมถึงผู้ที่มีปัญหาด้านผิวพรรณหรือภาวะเสื่อมของร่างกายที่มาพร้อมอายุที่เพิ่มขึ้น เช่น
- ผู้ที่มีผิวแห้งหมองคล้ำ หรือมีริ้วรอย พลาเซนต้าช่วยให้ผิวกลับมาชุ่มชื้น ลดเลือนความหยาบกร้าน และเสริมกระบวนการผลัดเซลล์ให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น
- ผู้ที่เข้าสู่วัย 40 ปีขึ้นไป ที่ต้องการดูแลสมดุลของฮอร์โมนตั้งแต่ระยะเริ่มต้น แม้ยังไม่มีอาการวัยทองชัดเจน ก็สามารถใช้เพื่อชะลอกระบวนการเสื่อมของระบบต่าง ๆ ได้
- ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนหรือวัยทอง ฮอร์โมนและอารมณ์ไม่คงที่ ผิวแห้ง ผมร่วง หรือหลับไม่สนิท พลาเซนต้าจะช่วยปรับสมดุลและฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
- ผู้ที่มีปัญหาเรื่องระบบไหลเวียนเลือด สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ปวดหัวไมเกรน เวียนศีรษะ หรือเป็นเบาหวาน พลาเซนต้ามีส่วนช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและออกซิเจนไปยังเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย ช่วยให้ระบบต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น
- ผู้ที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือเจ็บป่วยง่าย ด้วยคุณสมบัติในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน พลาเซนต้าช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานที่ดีขึ้น ลดโอกาสการเจ็บป่วยซ้ำซาก และเพิ่มความแข็งแรงในระยะยาว
- ผู้ที่ต้องการดูแลผิวพรรณอย่างลึกซึ้ง เหมาะกับผู้ที่ต้องการให้ผิวกระจ่างใส ลดรอยสิว ฝ้า กระ และจุดด่างดำ พร้อมช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน และมีความยืดหยุ่นอย่างเป็นธรรมชาติ
คนที่ไม่เหมาะกับพลาเซนต้า
แม้พลาเซนต้าจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อจำกัดในการใช้ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีภาวะสุขภาพอ่อนไหว หรืออยู่ในช่วงที่ร่างกายเปลี่ยนแปลงสูง เช่น
- หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ยังไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ที่ชัดเจนว่าการใช้พลาเซนต้าในช่วงตั้งครรภ์หรือให้นมมีผลกระทบต่อทารกหรือไม่จึงควรหลีกเลี่ยงไปก่อน
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือมีโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดปฏิกิริยาต่อระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการแพ้หรือแทรกซ้อนรุนแรงได้
- ผู้ที่มีประวัติแพ้สารสกัดจากเนื้อเยื่อหรือผลิตภัณฑ์ชีวภาพ เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายเกิดอาการแพ้หรือภาวะอักเสบได้
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรังหรือใช้ยาประจำ โดยเฉพาะโรคตับ ไต หัวใจ หรือผู้ที่ใช้ยาควบคุมฮอร์โมน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้พลาเซนต้าในรูปแบบใดก็ตาม เพราะอาจมีผลต่อการดูดซึมหรือการออกฤทธิ์ของยา
วิธีเลือกพลาเซนต้าที่ปลอดภัย
เพื่อความปลอดภัยก่อนที่จะเลือก หรือตัดสินใจใช้พลาเซนต้าควรเลือกให้ดี และพิจารณาให้รอบก่อน โดยมีวิธีเลือกดังนี้
- ตรวจสอบแหล่งที่มาของพลาเซนต้า เลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุชัดว่าได้พลาเซนต้าจากแหล่งใด เช่น รกแกะจากนิวซีแลนด์ หรือรกม้าจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีมาตรฐานด้านการเลี้ยงสัตว์และควบคุมการผลิตอย่างเข้มงวด หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ไม่บอกที่มาหรือใช้แหล่งวัตถุดิบที่ไม่แน่นอน
- เลือกผู้ผลิตหรือแบรนด์ที่เชื่อถือได้ ควรเลือกจากผู้ผลิตที่มีมาตรฐานรองรับ เช่น ได้รับการรับรองจาก อย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) มี GMP (Good Manufacturing Practice) หรือ ISO ที่แสดงถึงความปลอดภัยในการผลิต
- อ่านฉลากและข้อมูลผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด ดูว่าส่วนประกอบมีอะไรบ้าง ปริมาณสารสำคัญเป็นเท่าใด มีวันผลิต วันหมดอายุ และวิธีใช้ที่ชัดเจนหรือไม่ เพื่อป้องกันการใช้ผิดวิธีหรือได้รับสารในปริมาณที่ไม่เหมาะสม
- เลือกใช้ตามความเหมาะสมกับร่างกายและสภาพผิว หากมีผิวแพ้ง่ายหรือเป็นผื่นง่าย ควรเลือกพลาเซนต้าแบบทาที่ไม่มีน้ำหอมหรือสารระคายเคือง สำหรับผู้ที่ต้องการบำรุงจากภายใน อาจเลือกแบบแคปซูลหรืออาหารเสริม ส่วนผู้ที่พิจารณาใช้แบบฉีดควรผ่านการประเมินจากแพทย์ก่อนทุกครั้ง
- แบบฉีดควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ การฉีดพลาเซนต้ามีความเสี่ยงสูงกว่ารูปแบบอื่น ควรทำเฉพาะในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ดำเนินการ ไม่ควรซื้อมาใช้เองหรือใช้บริการในที่ที่ไม่ได้รับอนุญาต
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับพลาเซนต้า
หากคุณยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับพลาเซนต้า เช่น ใช้แบบไหนดี? กินได้นานไหม? หรือเหมาะกับใคร? ส่วนนี้รวบรวมคำตอบไว้ให้แล้ว
Q: พลาเซนต้าคือรกจริง ๆ ใช่ไหม?
A: ใช่ พลาเซนต้าคือชื่อทางการแพทย์ของ “รก” ซึ่งเป็นอวัยวะที่เชื่อมต่อระหว่างแม่กับทารกในครรภ์
Q: พลาเซนต้าช่วยให้ผิวขาวได้จริงไหม?
A: สามารถช่วยได้ในทางอ้อม แต่ไม่ได้ทำให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้นโดยตรง
Q: พลาเซนต้ากินแล้วอันตรายไหม?
A: ไม่อันตราย ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านอย. แต่ถ้าตั้งครรภ์ มีอาการแพ้ง่าย หรือผู้ที่มีปัญหาระบบภูมิคุ้มกันควรเลี่ยงการกินพลาเซนต้า
Q: พลาเซนต้าแบบฉีดดีกว่าแบบกินจริงไหม?
A: แบบฉีดเห็นผลเร็วกว่าเพราะเข้าสู่ร่างกายโดยตรง แต่ก็อาจก็ให้เกิดอาการแพ้ และอันตรานมากกว่าควรปรึกษาแพทยืก่อนตัดสินใจฉีด
Q: พลาเซนต้าจากพืชถือว่าเป็นพลาเซนต้าจริงหรือไม่?
A: พลาเซนต้าแปลว่ารก แต่พืชไม่มีรกดังนั้นจึงไม่ใช้พลาเซนต้า แต่เป็สารสกัดจากพืชที่มีคุณสมบัติคล้ายพลาเซนต้า
Q: พลาเซนต้าจากรกแกะหรือรกม้า แบบไหนดีกว่า?
A: รกม้าจะกระตุ้นเซลล์ได้ดีกว่าแต่มีราคาสูง หากยาก ส่วนรกแกะมีการใช้มาอย่างยาวนาน ปลอดภัยสูง
Q: ใครที่ควรหลีกเลี่ยงการใช้พลาเซนต้า?
A: ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ ให้นมบุตร มีโรคภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ หรือผู้ที่แพ้สารโปรตีน
Q: การใช้พลาเซนต้าทำให้เกิดฮอร์โมนผิดปกติหรือไม่?
A: พลาเซนต้าที่เป็นของแท้ ถูกสกัดมาอย่างถูกต้องจะไม่ทำให้ฮอร์โมนผิดปกติ และยังช่วยปรับฮอร์โมนด้วย
สรุป
พลาเซนต้าเป็นสารสกัดที่มีคุณค่าทางชีวภาพสูงจึงถูกนำมาใช้ในวงการความงามและเวชศาสตร์ฟื้นฟูมายาวนาน ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ บำรุงผิวพรรณ และฟื้นฟูระบบภายในของร่างกาย ทั้งยังมีหลายรูปแบบให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นแบบกิน ทา หรือฉีด
แต่พลาเซนต้าไม่เหมาะกับทุกคน การใช้จึงต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และการเลือกอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องฉีดเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของร่างกายค่ะ