บทความ
กรอผิวหน้าคืออะไร ดีไหม ช่วยเรื่องอะไรบ้าง เป็นอันตรายต่อผิวไหม
แชร์ :

กรอผิวหน้าคืออะไร ดีไหม ช่วยเรื่องอะไรบ้าง เป็นอันตรายต่อผิวไหม

กรอผิวหน้าคืออะไร
อยากอ่านอะไร จิ้มที่หัวข้อได้เลย!

กรอผิวหน้า แค่ได้ยินชื่อหลายคนอาจรู้สึกลังเลหรือมีคำถามในใจทันทีว่าจำเป็นแค่ไหน ปลอดภัยหรือเปล่า แล้วจะทำให้ผิวบางลงจริงไหม ในขณะที่บางคนหันมาให้ความสนใจกับหัตถการนี้เพราะเริ่มรู้สึกว่า ผิวหน้าไม่เรียบเนียน สีผิวไม่สม่ำเสมอ แต่งหน้ายาก หรือดูหมองคล้ำกว่าที่เคย ทั้งที่บำรุงผิวอย่างต่อเนื่องแล้วก็ตาม ในบทความนี้ Vincent Clinic Aesthetic จะพาไปทำความเข้าใจกับการกรอผิวหน้า ทั้งเรื่องวิธีการ ประเภทที่ใช้กันในปัจจุบัน ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจ ไปจนถึงสิ่งที่ควรระวัง เพื่อให้คุณสามารถประเมินได้ด้วยตัวเองว่าวิธีนี้เหมาะกับผิวของคุณหรือไม่

Key Takeaways

  • กรอผิวหน้า (Microdermabrasion) คือการผลัดเซลล์ผิวชั้นบนสุดอย่างอ่อนโยน ด้วยเครื่องมือพิเศษ เช่น หัวเพชรหรือผลึกคริสตัล โดยไม่ใช้สารเคมี ไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น
  • กรอผิวหน้าเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ รูขุมขนกว้าง รอยสิว หรือหลุมสิวตื้น โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ต้องการหัตถการรุนแรงอย่างเลเซอร์
  • สามารถกรอผิวหน้าได้แม้มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย หากอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ และเลือกเทคนิคที่เหมาะสม
  • การกรอผิวช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ คอลลาเจน และอีลาสติน ส่งผลให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส และดูอ่อนเยาว์ขึ้น
  • หลังกรอผิวหน้าสามารถเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกในเรื่องความสะอาดและความนุ่มของผิว แต่ควรทำต่อเนื่อง 4–10 ครั้ง ทุก 2–4 สัปดาห์ เพื่อผลลัพธ์ชัดเจน เช่น ลดรอยสิวหรือฟื้นฟูหลุมสิว
  • กรอผิวหน้ามีความปลอดภัยสูงและไม่ทำให้ผิวบาง หากทำในปริมาณเหมาะสมและดูแลผิวอย่างถูกวิธีหลังทำ
  • ราคากรอผิวหน้าต่อครั้งประมาณ 1,000–5,000 บาท และมักคุ้มค่ากว่าเมื่อซื้อเป็นคอร์สต่อเนื่อง

การกรอผิวหน้าคืออะไร?

การกรอผิวหน้า (Microdermabrasion) คือ การช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นบนสุดที่เสื่อมสภาพออกอย่างอ่อนโยน โดยใช้เครื่องมือเฉพาะทาง เช่น หัวกรอแบบเพชร หรือผลึกอลูมิเนียมออกไซด์ละเอียดที่สามารถควบคุมระดับความลึกและแรงในการขัดผิวได้อย่างแม่นยำ ร่วมกับระบบสุญญากาศในการขจัดเซลล์ผิวเก่า พร้อมกระตุ้นให้ผิวสร้างเซลล์ใหม่ คอลลาเจน และอีลาสติน ส่งผลให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส รอยดำ และความหมองคล้ำลดลง

ใครที่เหมาะกับการกรอผิวหน้า?

การกรอผิวหน้าเป็นวิธีดูแลผิวที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวให้ดูเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้น โดยไม่ต้องเจ็บตัวหรือใช้เวลาพักฟื้นนาน เทคนิคนี้จึงเป็นทางเลือกยอดนิยมของผู้ที่ต้องการผลัดเซลล์ผิวแบบอ่อนโยนและปลอดภัย เหมาะสำหรับหลายกลุ่มคน ไม่ว่าจะมีปัญหาเรื่องสีผิวไม่สม่ำเสมอ รูขุมขนกว้าง รอยดำจากสิว หรือแม้แต่หลุมสิวตื้นๆ ที่ยังไม่ต้องการการรักษาที่รุนแรงอย่างเลเซอร์หรือการฉีดฟิลเลอร์

ปัญหาผิวที่สามารถแก้ไขได้

ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าในระดับไม่รุนแรง เช่น ผิวหมองคล้ำ รอยดำรอยแดงที่เกิดจากสิว สีผิวไม่สม่ำเสมอ รูขุมขนกว้าง หรือผิวไม่เรียบเนียน สามารถเห็นผลลัพธ์ที่ดีจากการกรอผิว เพราะการขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพช่วยเผยผิวใหม่ที่ดูสดใสและเรียบเนียนกว่าเดิม

นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีหลุมสิวประเภท Rolling scar หรือ Box scar ที่ยังอยู่ในระดับตื้นถึงปานกลาง และต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูเรียบขึ้นโดยไม่ต้องเจอกับผลข้างเคียงหรือความเจ็บจากหัตถการที่ล้ำลึกกว่านี้

ประเภทผิวที่เหมาะสม

แม้จะเป็นเทคนิคที่สามารถใช้กับคนส่วนใหญ่ได้ แต่การกรอผิวหน้าเหมาะเป็นพิเศษกับผู้ที่มีผิวธรรมดาไปจนถึงผิวผสม หรือแม้แต่ผู้ที่มีผิวบางหรือผิวแพ้ง่าย เนื่องจากเป็นวิธีที่ไม่ก่อให้เกิดบาดแผล ไม่ลอกผิวจนบางลง และไม่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองอย่างรุนแรง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวหน้าอย่างต่อเนื่องโดยไม่กระทบกับกิจวัตรประจำวัน นอกจากนี้ยังสามารถทำได้ซ้ำในระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อผลัดเซลล์ผิวเป็นประจำโดยไม่ทำร้ายชั้นผิวหนัง

ข้อควรระวังสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย

แม้การกรอผิวหน้าจะถือเป็นวิธีที่อ่อนโยนและปลอดภัย แต่ผู้ที่มีผิวบอบบาง หรือ ผิวแพ้ง่าย ควรแจ้งให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทราบล่วงหน้า เพื่อให้สามารถปรับระดับความแรงของเครื่องมือให้เหมาะสมได้ และหลีกเลี่ยงการทำบริเวณที่มีสิวอักเสบหรือแผลเปิด เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบมากขึ้น

หลังทำควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแดดโดยตรง และใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้ดีและลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง

กรอผิวหน้าช่วยอะไร

ประโยชน์ของการกรอผิวหน้า

การกรอผิวหน้าเป็นหนึ่งในวิธีดูแลผิวที่ได้รับความนิยม เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่ดีในด้านการฟื้นฟูสภาพผิว โดยไม่ต้องผ่านการรักษาที่ลุกล้ำหรือทำให้เกิดบาดแผล การกรอผิวช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวชั้นบนสุดที่เสื่อมสภาพออกอย่างอ่อนโยน เพื่อเปิดโอกาสให้เซลล์ผิวใหม่ที่แข็งแรงขึ้นมาแทน ส่งผลให้ผิวดูเรียบเนียน เปล่งปลั่ง และดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

    • ฟื้นฟูผิวให้กระจ่างใสและเนียนนุ่ม เซลล์ผิวเก่าที่สะสมบนผิวหน้าเป็นสาเหตุให้ผิวหมองคล้ำและดูไม่สดใส เมื่อนำออกไป ผิวจะดูสว่างขึ้น และผิวสัมผัสจะเนียนละเอียดมากขึ้น ผู้ที่มีรอยดำหรือรอยแดงจากสิวจะสังเกตเห็นว่ารอยเหล่านี้ค่อย ๆ จางลงเมื่อทำการกรอผิวอย่างต่อเนื่อง
    • กระชับรูขุมขนและลดความมันบนใบหน้า เมื่อเซลล์ผิวที่ตายแล้วถูกขจัดออก รูขุมขนที่เคยอุดตันจะสะอาดขึ้น ช่วยลดความมันสะสมบนใบหน้า โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหา สิวอุดตัน หรือผิวมันมากเกินไป จึงช่วยลดโอกาสการเกิดสิวใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเสริมความยืดหยุ่นของผิว การกรอผิวจะกระตุ้นผิวให้สร้างเซลล์ใหม่ รวมถึงกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญที่ทำให้ผิวมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น การฟื้นฟูในระดับนี้ช่วยลดเลือน ริ้วรอย เล็กๆ และชะลอสัญญาณแห่งวัย ทำให้ผิวหน้าดูตึงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
    • ช่วยรักษาหลุมสิวระดับตื้นถึงปานกลาง หลุมสิวประเภทตื้น เช่น Rolling scars หรือ Box scars ระดับไม่ลึกมาก การกรอผิวจะช่วยลดความลึกของ หลุมสิว ได้จากการผลัดเซลล์ผิวชั้นบน พร้อมกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูธรรมชาติของร่างกาย
    • ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ และลดรอยแผลเป็นจากสิว การกรอผิวสามารถช่วยลดความเข้มของรอยเหล่านี้ได้ นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในการลดเลือนหลุมสิวในระดับตื้นถึงปานกลาง ทำให้ผิวดูเรียบและผิวหน้าสม่ำเสมอมากขึ้น
    • ปรับให้ผิวพร้อมรับการบำรุง เมื่อผิวไม่มีเซลล์ที่ตายแล้วสะสมอยู่ การซึมซาบของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเซรั่ม หรือมอยส์เจอไรเซอร์ ผิวจะดูดซึมสารบำรุงได้ดีกว่าเดิม ส่งผลให้การดูแลผิวในขั้นตอนต่อไปได้ผลลัพธ์ชัดเจนยิ่งขึ้น

การกรอผิวอาจไม่ได้ให้ผลลัพธ์เปลี่ยนแปลงชัดเจนในครั้งแรก แต่เมื่อทำเป็นประจำจะช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีขึ้นในระยะยาว ลดปัญหาผิวที่เกิดจากการสะสมของมลภาวะ แสงแดด และการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ช่วยให้ผิวหน้าดูสดใส ชุ่มชื้น และอ่อนเยาว์อย่างต่อเนื่อง

เทคนิคการกรอผิวหน้าในปัจจุบัน

การกรอผิวหน้าในยุคปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่หลากหลายเพื่อให้เหมาะกับสภาพผิวและปัญหาผิวที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล โดยแต่ละแบบมีหลักการทำงาน ข้อดี และข้อควรพิจารณาที่แตกต่างกัน ดังนี้

กรอผิวด้วยผลึกคริสตัล (Crystal Microdermabrasion)

การกรอผิวด้วยผลึกคริสตัลเป็นวิธีที่ใช้ผงผลึกอะลูมิเนียมออกไซด์หรือสารผลึกขนาดเล็กพ่นลงบนผิวหน้าในระหว่างทำหัตถการ พร้อมกับใช้ระบบสุญญากาศดูดกลับผิวที่ถูกขัดออกและเศษผลึกกลับเข้าสู่เครื่อง เทคนิคนี้มีความสามารถในการขจัดเซลล์ผิวได้ล้ำลึก จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวมันหรือผิวธรรมดาที่ไม่ไวต่อการเสียดสีหรือฝุ่นผงมากนัก อย่างไรก็ตาม ละอองผลึกอาจฟุ้งกระจายระหว่างทำ จึงไม่เหมาะกับบริเวณรอบดวงตาหรือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

กรอผิวด้วยหัวเพชร (Diamond Microdermabrasion)

การกรอผิวด้วยหัวเพชรเป็นเทคนิคที่ใช้หัวกรอฝังผงเพชรละเอียดในการขัดผิวโดยตรงร่วมกับระบบสุญญากาศ เพื่อดูดเอาเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออก เทคนิคนี้ไม่มีการพ่นผงหรือฝุ่น จึงไม่เกิดการฟุ้งกระจาย และสามารถควบคุมระดับความแรงในการขัดได้แม่นยำมากกว่า Crystal Microdermabrasion วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้ง ผิวบอบบาง หรือผู้ที่ต้องการกรอผิวบริเวณที่ละเอียดอ่อน เช่น รอบดวงตาหรือริมฝีปาก แต่ก็ควรเลือกความละเอียดของหัวเพชรให้เหมาะกับผิวเพื่อป้องกันการระคายเคือง

กรอผิวด้วยน้ำและสุญญากาศ (Hydrodermabrasion)

Hydrodermabrasion เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ผสานการทำงานระหว่างระบบสุญญากาศกับการใช้น้ำหรือเซรั่มบำรุงผิวเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว โดยไม่ใช้ผงผลึกหรือหัวขัดแบบแข็ง จึงเป็นวิธีที่อ่อนโยนต่อผิวมากกว่าวิธีอื่น การทำงานของระบบนี้ยังช่วยให้ผิวสะอาดล้ำลึกและพร้อมดูดซึมสารบำรุงได้ดียิ่งขึ้น เทคนิคนี้เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายมาก หรือผู้ที่เริ่มต้นดูแลผิวและต้องการหลีกเลี่ยงการระคายเคือง

ขั้นตอนการกรอผิวหน้าเป็นอย่างไร?

การกรอผิวหน้าเป็นหัตถการที่ต้องใช้ความละเอียดและความชำนาญในการดูแลผิวชั้นบนให้เกิดการผลัดเซลล์อย่างปลอดภัย โดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจะเลือกใช้เทคนิคและความแรงของเครื่องมือให้เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้แบ่งออกได้เป็น 3 ช่วง ได้แก่ การเตรียมตัวก่อนทำ ระหว่างการกรอผิว และการดูแลหลังทำเพื่อให้ผิวฟื้นตัวได้ดีที่สุด

การเตรียมตัวก่อนทำ

  • ควรงดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารผลัดเซลล์ผิวหรือกรด เช่น AHA, BHA หรือเรตินอล อย่างน้อย 2-3 วัน เพื่อป้องกันผิวบางและลดความเสี่ยงต่อการระคายเคือง
  • หลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์ ทรีตเมนต์แรง หรือขัดหน้ามาก่อนกรอผิว
  • หากแพ้ยา หรือใช้ยาเฉพาะทาง เช่น ยารักษาสิว หรือโรคผิวหนัง ควรบอกแพทย์ เพื่อประเมินว่าผิวเหมาะกับการกรอหรือไม่

ขั้นตอนระหว่างทำ

  • แพทย์จะเลือกหัวกรอที่เหมาะสมกับสภาพผิว เช่น หัวเพชรสำหรับผิวแพ้ง่าย หรือหัวคริสตัลสำหรับ ผิวมัน และหนา
  • จะมีการล้างทำความสะอาดผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยน เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
  • บางครั้งอาจใช้การอบไอน้ำเพื่อเปิดรูขุมขน ช่วยให้การกรอผิวมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • หากผู้รับบริการรู้สึกกังวลเรื่องความเจ็บ สามารถแจ้งแพทย์เพื่อพิจารณาทายาชาก่อนเริ่มการกรอ
  • แพทย์จะใช้เครื่องมือกรอผิวร่วมกับระบบสุญญากาศ โดยหัวกรอจะขัดผิวเบา ๆ และดูดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพพร้อมกับสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขน
  • ระดับแรงดูดและความละเอียดของหัวกรอจะถูกปรับตามสภาพผิวและปัญหาของแต่ละบุคคล เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสม่ำเสมอและปลอดภัย
  • การกรอผิวแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 15–30 นาที แล้วแต่บริเวณที่ทำและปริมาณของเซลล์ผิวที่ต้องการผลัดออก
  • หลังกรอเสร็จแพทย์จะเช็ดหน้าด้วยน้ำเกลือหรือน้ำสะอาดปลอดเชื้อ แล้วทามอยส์เจอไรเซอร์เพื่อคืนความชุ่มชื้นให้กับผิว

วิธีดูแลหลังกรอผิวหน้า

การดูแลหลังทำเพื่อให้ผิวฟื้นตัวเร็ว

  • หลีกเลี่ยงการออกแดดทันทีหลังทำ และทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน
  • หลีกเลี่ยงการล้างหน้าด้วยน้ำร้อน รวมถึงการใช้สครับหรือผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวอย่างน้อย 5-7 วัน
  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ โดยเลือกสูตรที่เหมาะสำหรับผิวบอบบางหลังหัตถการ
  • ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้นจากภายใน
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ
  • หลีกเลี่ยงการเกาหรือขัดถูหน้าแรง ๆ และงดทำเลเซอร์หรือทรีตเมนต์ผิวที่แรงอีกอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์

กรอผิวหน้าอันตรายไหม? มีผลข้างเคียงหรือไม่?

การกรอผิวหน้าช่วยให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส และนุ่มขึ้นตั้งแต่ครั้งแรก เพราะสามารถขจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพและสิ่งสกปรกออกได้ทันที พร้อมช่วยให้ผิวดูดซึมสกินแคร์ได้ดีขึ้น แต่หากต้องการ ลดรอยสิว จุดด่างดำ หรือฟื้นฟูหลุมสิว ต้องทำต่อเนื่องหลายครั้งจึงจะเห็นผลชัดเจน

แนะนำให้ทำทุกๆ 2 – 4 สัปดาห์ โดยขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิว หากแค่ต้องการให้ผิวกระจ่างใส เดือนละครั้งก็เพียงพอ แต่ถ้าเน้นลดรอยหรือฟื้นฟูหลุมสิว ควรทำ 8–10 ครั้ง และหลังจากนั้นสามารถเว้นระยะเป็นทุก 1–2 เดือนเพื่อคงผลลัพธ์

ในช่วง 1–3 ครั้งแรก ผิวจะดูสดใสขึ้นเล็กน้อย พอทำต่อเนื่อง 3–7 ครั้ง สีผิวจะสม่ำเสมอ รูขุมขนกระชับ รอยสิวจางลง และเมื่อครบ 8–10 ครั้ง ผิวจะดูเรียบเนียน รอยสิวลดลงชัดเจน และหลุมสิวตื้นขึ้น แต่ถ้าเป็นหลุมสิวลึก อาจต้องใช้วิธีอื่นร่วมด้วย เช่น เลเซอร์

เปรียบเทียบการกรอผิวหน้ากับการผลัดเซลล์ผิวแบบอื่น

แม้ว่าการกรอผิวหน้าจะเป็นวิธีที่ไม่รุกล้ำผิวลึกและให้ผลลัพธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็มีความแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการผลัดเซลล์ผิวแบบอื่น เช่น การใช้กรดผลไม้ การเลเซอร์ หรือการทำทรีตเมนต์ประเภทต่าง ๆ ซึ่งแต่ละวิธีมีจุดเด่น ข้อควรระวังที่แตกต่างกันออกไป และเหมาะกับสภาพผิวที่ไม่เหมือนกัน ดังนี้

เทียบกับการใช้กรดผลไม้ (AHA, Chemical Peel)

การผลัดเซลล์ผิวด้วยกรดผลไม้ เช่น AHA หรือ BHA เป็นการใช้สารเคมีเพื่อเร่งการลอกเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดออก กระบวนการนี้อาจให้ผลเร็วกว่าในแง่ความกระจ่างใส แต่มีความเสี่ยงเรื่องการระคายเคืองมากกว่า โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือผิวแห้ง

ในขณะที่การกรอผิวหน้าเป็นวิธีที่ใช้แรงกลอย่างอ่อนโยน ไม่เกี่ยวข้องกับสารเคมี การขจัดเซลล์ผิวเป็นไปอย่างแม่นยำและสามารถควบคุมระดับความลึกได้ดี จึงมีความปลอดภัยมากกว่าในระยะยาว และเหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถใช้กรดหรือสารผลัดผิวได้ แต่ผลลัพธ์จาก Chemical Peel มักชัดเจนกว่าในระยะสั้น ขณะที่การกรอผิวต้องทำซ้ำหลายครั้งจึงจะเห็นผลในระดับเทียบเท่า

เทียบกับการเลเซอร์ผลัดผิว

เลเซอร์ที่ใช้เพื่อผลัดเซลล์ผิว เช่น Fractional Laser หรือ Erbium Laser เป็นหัตถการที่สามารถลอกผิวเก่าออกได้ในระดับลึก และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวได้ดีจึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวชัดเจน เช่น หลุมสิวลึก จุดด่างดำ ฝังแน่น หรือริ้วรอยที่เห็นได้ชัด

เมื่อเทียบกับการกรอผิวหน้าซึ่งทำงานเฉพาะที่ชั้นหนังกำพร้า การเลเซอร์จะให้ผลเร็วและลึกกว่า แต่ก็มีข้อจำกัดในแง่ของระยะพักฟื้น เพราะมักทำให้ผิวแดง ลอก หรือไวต่อแสงมากในช่วงหลายวันหลังทำ การกรอผิวจึงเหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการใช้วิธีล้ำลึก ไม่อยากหยุดงาน หรือหลีกเลี่ยงการออกแดดในระยะยาว อีกทั้งยังปลอดภัยต่อผิวบอบบาง และทำซ้ำได้บ่อยโดยไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงสูง

เทียบกับเมโสหน้าใส และ Treatment อื่นๆ

เมโสหน้าใส หรือทรีตเมนต์อื่น ๆ เป็นวิธีที่เน้นการผลักสารบำรุงเข้าสู่ผิวโดยตรง เพื่อให้ผิวได้รับสารอาหารหรือวิตามินที่จำเป็นอย่างล้ำลึก แต่ไม่สามารถขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วออกไปได้โดยตรง

ถ้าอยากผลัดเซลล์ผิวเพื่อให้ผิวใหม่ที่สดใสขึ้นการกรอผิวจึงให้ผลลัพธ์ที่ตรงจุดกว่า ส่วนเมโสหน้าใสจะเสริมในด้านความชุ่มชื้น ความอิ่มน้ำ หรือแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำจากภายใน บางครั้งแพทย์อาจแนะนำให้ทำการกรอผิวร่วมกับเมโสหน้าใสเพื่อให้ผิวที่เปิดรับการบำรุงสามารถดูดซึมสารต่างๆ ได้ดีขึ้น 

กรณีตัวอย่างที่เห็นผลชัดเจนจากการกรอผิวหน้า

การกรอผิวหน้าจะสามารถทำได้กับผิวแทบทุกประเภท และมักให้ผลดีในระดับหนึ่งกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้เนียนเรียบและกระจ่างใส แต่ในผู้ที่มีปัญหาผิว มีรอยสิว ผิวแห้งกร้าน การกรอผิวจะให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเมื่อทำต่อเนื่อง เช่น

รอยสิวและรอยดำ

ในผู้ที่มีปัญหารอยแดงหรือรอยดำจากสิว โดยเฉพาะรอยที่เกิดจากสิวอุดตัน หรือ สิวอักเสบ ที่ทิ้งร่องรอยไว้ การกรอผิวหน้าสามารถช่วยให้รอยเหล่านั้นจางลงได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะมีการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่หมองคล้ำออกอย่างอ่อนโยน พร้อมกระตุ้นให้ผิวสร้างเซลล์ใหม่ที่มีสีสม่ำเสมอมากขึ้น เมื่อทำต่อเนื่องหลายครั้ง ผิวบริเวณที่เคยมีรอยสิวจะค่อยๆ ดูเรียบเนียนขึ้น จุดด่างดำจะจางลง และใบหน้าโดยรวมจะดูสว่างใสขึ้น

ผิวหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส

ผู้ที่มีปัญหา ผิวคล้ำจากแสงแดด มลภาวะ หรือการสะสมของเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพมานาน มักเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนหลังจากการกรอผิวหน้าเพียงไม่กี่ครั้ง เนื่องจากผิวชั้นบนสุดหมองคล้ำ และเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกถูกขจัดออกไป ทำให้ผิวใหม่ที่ดูสดใสเข้ามาแทนที่ จะเห็นผลชัดในผู้ที่ไม่เคยผลัดเซลล์ผิวมาก่อน การทำเพียง 1–2 ครั้งก็สามารถรู้สึกได้ถึงความกระจ่างใสและความเปลี่ยนแปลงที่สังเกตได้ชัดเจนทันที

ผิวหยาบกร้าน ขาดการผลัดเซลล์

ผู้ที่มีผิวหน้าไม่เรียบ ผิวสัมผัสหยาบกร้าน หรือมีปัญหาสะสมจากการดูแลผิวไม่สม่ำเสมอ การกรอผิวหน้าจะช่วยกระตุ้นให้วงจรการผลัดเซลล์กลับมาทำงานได้ตามธรรมชาติอีกครั้ง ผิวที่เคยหนา แข็ง และไม่เรียบจะค่อยๆ เนียนนุ่มขึ้น รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ และยิ่งเห็นผลชัดเจนมากขึ้นเมื่อทำอย่างสม่ำเสมอ ผิวจะไม่เพียงแค่ดูดีขึ้นภายนอก แต่ยังฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายในให้มีความแข็งแรงและยืดหยุ่นมากขึ้น

ราคาและความคุ้มค่าในการกรอผิวหน้า

การกรอผิวหน้าเป็นหัตถการที่เข้าถึงได้ง่ายและมีราคาหลากหลาย โดยขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้ คุณภาพของเครื่องมือ และประสบการณ์ของผู้ให้บริการ การพิจารณาความคุ้มค่าไม่ควรดูแค่ราคาถูกหรือแพง แต่ควรดูภาพรวมของผลลัพธ์และความปลอดภัยร่วมด้วย

ราคากรอผิวหน้าต่อครั้งอยู่ที่ประมาณ 1,000–5,000 บาท หากใช้ระบบหัวเพชรหรือเทคโนโลยีสุญญากาศขั้นสูงราคาจะสูงกว่าทั่วไป แต่ให้ผลที่แม่นยำและปลอดภัยมากกว่า และในปัจจุบันหลายคลินิกมีแพ็กเกจแบบคอร์ส 5–10 ครั้ง ซึ่งเฉลี่ยต่อครั้งแล้วมักคุ้มค่ากว่า และเหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวอย่างต่อเนื่อง เช่น ลดรอยสิวหรือหลุมสิวตื้น

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับการกรอผิวหน้า

Q: กรอผิวหน้าใช้เวลาทำนานแค่ไหน?
A: ใช้เวลาทำประมาณ 15–30 นาทีต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่ที่ทำและระดับปัญหาผิวของแต่ละบุคคล 

Q: ต้องทำบ่อยแค่ไหนถึงจะเห็นผล?
A: ควรทำ 2–4 สัปดาห์ต่อครั้ง และทำต่อเนื่องอย่างน้อย 4–8 ครั้ง จึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นตามสภาพผิวและปัญหาที่ต้องการแก้ไข

Q: หลังทำกรอผิวหน้าแต่งหน้าได้เลยไหม?
A: สามารถแต่งหน้าได้ภายใน 24 ชั่วโมง หากไม่มีอาการระคายเคือง แต่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว

Q: คนผิวแพ้ง่ายทำกรอผิวหน้าได้หรือไม่?
A: สามารถทำกรอผิวหน้าได้ แต่ควรเลือกเทคนิคที่อ่อนโยนและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง

Q: การกรอผิวหน้าทำให้หน้าบางจริงหรือไม่?
A: ไม่จริง การกรอผิวไม่ทำให้หน้าบางหากทำอย่างถูกวิธี และไม่ทำบ่อยเกินไป โดยเลือกเทคนิคที่เหมาะกับสภาพผิว

Q: ต้องหลีกเลี่ยงอะไรหลังการกรอผิวหน้า?
A: ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดแรง การสครับผิว น้ำร้อน และผลิตภัณฑ์ที่มีสารระคายเคืองอย่างน้อย 3–5 วัน

Q: กรอผิวหน้าช่วยเรื่องฝ้า กระ ได้หรือไม่?
A: ช่วยให้ฝ้าและกระดูจางลงได้ในระดับตื้น แต่ไม่สามารถรักษาได้ทั้งหมด

สรุป 

การกรอผิวหน้า เป็นการผลัดเซลล์ผิวเก่าชั้นบนออกอย่างอ่อนโยนด้วยเครื่องมือเฉพาะทาง ซึ่งเมื่อเซลล์ผิวเก่าหลุดออกไปจะแก้ไขผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ รอยสิว หรือหลุมสิวให้ดีขึ้น ปัญหาผิวจะลดลง แต่ควรทำต่อเนื่องถึงจะเห็นผลได้อย่างชัดเจน ใครที่มีปัญหาผิวหลายๆ อย่างอยากปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ Vincent Clinic Aesthetic ที่มีแพทย์คอยให้คำปรึกษาอย่างละเอียดค่ะ

Scroll to Top