บทความ
เมโสสะกิดหน้าใสคืออะไร เจ็บไหม ทำกี่ครั้ง ต่างกับแบบฉีดอย่างไร
แชร์ :

เมโสสะกิดหน้าใสคืออะไร เจ็บไหม ทำกี่ครั้ง ต่างกับแบบฉีดอย่างไร

meso-microneedling
อยากอ่านอะไร จิ้มที่หัวข้อได้เลย!

เมโสสะกิดหน้าใส เป็นหนึ่งในหัตถการที่ได้รับความนิยมมากในกลุ่มคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าให้ดูกระจ่างใส สุขภาพดีอย่างเร่งด่วน เสมือนเป็นการ บูสต์ผิวใส ให้ผิวสดชื่นทันที แต่หลายคนยังลังเลว่า เมโสสะกิดหน้าใสคืออะไร เจ็บหรือไม่ ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล หรือแตกต่างจากการฉีดเมโส 16 จุดอย่างไร บทความนี้ Vincent Clinic Aesthetic จะพามารู้จักโปรแกรมเมโสหน้าใสแบบสะกิดค่ะ 

Key Takeaways

  • เมโสสะกิดหน้าใส เป็นหนึ่งในประเภทของ เมโสหน้าใส เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวเร่งด่วนทั่วใบหน้า ให้ผิวดูฉ่ำวาว ชุ่มชื้น และกระจ่างใสในเวลาอันสั้น เจ็บน้อย เห็นผลไว แต่ต้องระวังเรื่องการดูแลหลังทำ 
  • สารบำรุงในเมโส ประกอบด้วยวิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ และคอลลาเจนที่ช่วยฟื้นฟูผิวแบบเร่งด่วน เหมาะกับผิวที่หมองคล้ำ ขาดน้ำ หรือมีริ้วรอยเล็กๆ
  • การสะกิดเมโส จะช่วยให้ผิวกระจ่างใส สีผิวสม่ำเสมอ จุดด่างดำดูจางลง ผิวชุ่มชื้นขึ้น กระชับรูขุมขน ลดสิว ลดริ้วรอย และทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์
  • เมโสแบบสะกิดหน้าใส ฟื้นฟูผิวทั่วใบหน้า เจ็บน้อย เห็นผลเร็ว ส่วนแบบฉีด 16 จุด ออกฤทธิ์ลึกกว่า อยู่ได้นานกว่า และเจาะจงมากกว่าในแต่ละจุดสำคัญ 
  • ความเจ็บและผลข้างเคียงของเมโสสะกิดหน้าใส จะมีความเจ็บน้อยมาก ใช้เวลาไม่นาน อาจมีตุ่มแดงหรือบวมเล็กน้อยหลังทำ แต่หายได้ใน 1–3 วัน หากดูแลถูกวิธี
  • เมโสสะกิดหน้าใสเหมาะกับคนที่มีผิวหมองคล้ำ จุดด่างดำ ผิวขาดน้ำ มีริ้วรอยเล็กๆ หรือไม่มีเวลาดูแลผิวในชีวิตประจำวัน
  • ควรทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 3–5 ครั้ง แล้วจึงเว้นระยะทุก 2–4 สัปดาห์เพื่อคงผลลัพธ์
  • ผลลัพธ์ของเมโสสะกิดหน้าใส จะเริ่มเห็นผลภายใน 1 สัปดาห์ และชัดเจนขึ้นใน 2 สัปดาห์ ผลลัพธ์อยู่ได้ราว 1–2 เดือน
  • วิธีดูแลหลังทำ ทำได้โดยการงดแต่งหน้า หลีกเลี่ยงการขัดผิว อบซาวน่า และหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง รวมถึงงดแอลกอฮอล์และบุหรี่เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

เมโสสะกิดหน้าใส คืออะไร

เมโสสะกิดหน้าใส คือ หัตถการที่ช่วยบำรุง ฟื้นฟู และปลุกผิวให้กลับมาดูสดใส สุขภาพดี โดยตัวยาที่ฉีดเข้าสู่ผิวจะประกอบด้วยวิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ และคอลลาเจน ที่ออกแบบมาเพื่อซึมเข้าสู่ชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการฉีดเมโสด้วยวิธีการสะกิดจะใช้เข็มขนาดเล็กมากในการสะกิดผิวเป็นจุดเล็ก ๆ กระจายทั่วใบหน้า เพื่อให้ตัวยาบำรุงเข้าสู่ผิวโดยตรง ส่งสารบำรุงเข้าไปถึงผิวหนังชั้นกลางซึ่งเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือด มีโครงสร้างคอลลาเจนแน่นหนา และโครงสร้างสำคัญของผิว ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว

ฉีดเมโสสะกิดหน้าใส ช่วยอะไร

ฉีดเมโสสะกิดหน้าใส ช่วยอะไร

การฉีดเมโสสะกิดหน้าใสสามารถช่วยดูแลผิวได้อย่างครอบคลุมหลายด้าน โดยตัวยาที่ฉีดเข้าไปจะมีคุณสมบัติทั้งการฟื้นฟูและเสริมการทำงานของผิวตามธรรมชาติ เมโสสะกิดจึงบำรุง และฟื้นฟูผิวไปพร้อมๆ กัน โดยหลังฉีดเมโสสะกิดจะช่วยปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น เช่น

  • ผิวกระจ่างใสขึ้น สีผิวสม่ำเสมอ วิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระในเมโสช่วยปรับสภาพผิวให้กระจ่างใส ลดความหมองคล้ำสะสมจากแสงแดด มลภาวะ หรือความเครียดสะสม ผิวดูสว่างขึ้นแบบเป็นธรรมชาติ
  • ลดเลือนจุดด่างดำ ฝ้า กระ และเม็ดสีผิดปกติ สารบำรุงที่ฉีดจะเข้าไปลดการทำงานของเม็ดสีเมลานิน ช่วยให้รอยจากฝ้า กระ หรือรอยสิวดูจางลง สีผิวดูเรียบเนียนและสม่ำเสมอมากขึ้น
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ผิวที่เคยหย่อน หรือไม่เรียบตึงกลับมาดูแน่น เนียน และเด้งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากมีการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นหนังแท้
  • ลดความหมองคล้ำและความแห้งกร้าน สำหรับผิวที่อ่อนล้า พักผ่อนน้อย นอนดึก หรือโดนแสงแดดสะสม สารบำรุงจะเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวจากภายใน ทำให้ใบหน้าดูสดใสและมีชีวิตชีวาขึ้น
  • ลดสิว ผื่น ผิวอักเสบ สารต้านการอักเสบบางชนิดในเมโสสามารถช่วยลดการระคายเคือง และขับของเสียสะสมใต้ผิว ทำให้ผิวที่เป็นสิวอักเสบ หรือมีผื่นสงบลง และลดโอกาสการเกิดสิวซ้ำ
  • เติมน้ำให้ผิว ผิวฉ่ำวาวชุ่มชื้น สำหรับ ผิวขาดน้ำ หรือแต่งหน้าไม่ติด หลังฉีดผิวจะกลับมาชุ่มชื้นจากภายใน ผิวดูฉ่ำแบบสุขภาพดี
  • ช่วยกระชับรูขุมขน เมื่อผิวได้รับการฟื้นฟูและคอลลาเจนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รูขุมขนที่เคยกว้างจะค่อยๆ กระชับ ทำให้ผิวหน้าเรียบขึ้น และใบหน้ามันน้อยลง
  • ริ้วรอยเล็กๆ จางลง ผิวจะมีโครงสร้างที่แข็งแรงมากขึ้น ทำให้เส้นริ้วรอยเล็กๆ บางส่วนจางลง ดูอ่อนเยาว์ขึ้น

เมโสหน้าใสแบบสะกิด ต่างกับแบบฉีดอย่างไร

การ ฉีดเมโสหน้าใส เป็นหนึ่งในหัตถการที่ได้รับความนิยม สำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าให้กระจ่างใส ชุ่มชื้น และดูอ่อนเยาว์ โดยวิธีการฉีดเมโสนั้นสามารถแบ่งออกเป็น 2 เทคนิคหลักที่ได้รับความนิยม ได้แก่ เมโสสะกิดหน้าใส และ เมโสหน้าใสแบบฉีด 16 จุด โดยมีความแตกต่างกันดังนี้

เมโสสะกิดหน้าใส 

ใช้เข็มขนาดเล็กสะกิดผิวหน้าเป็นจุดเล็ก ๆ ทั่วบริเวณใบหน้า ตัวยาบำรุงจะถูกปล่อยผ่านรอยสะกิดเข้าสู่ผิวชั้นตื้น ในขณะเดียวกันการสะกิดยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวได้ด้วย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวแบบเร่งด่วน เจ็บน้อย และต้องการผลลัพธ์ทั่วทั้งใบหน้าอย่างสม่ำเสมอ แต่เทคนิคนี้เสี่ยงต่อการอักเสบ หรือเกิดการติดเชื้อบริเวณที่สะกิดได้ง่าย 

เมโสหน้าใสแบบฉีด 16 จุด 

ใช้เข็มฉีดตัวยาเข้าไปในจุดเฉพาะตามแนวการไหลเวียนของต่อมน้ำเหลืองบนใบหน้าจำนวน 16 จุด เพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพในจุดสำคัญที่ส่งผลต่อผิวโดยรวม ตัวยาจะกระจายได้ลึกกว่า ออกฤทธิ์ได้นานกว่า และลดโอกาสการช้ำหรืออักเสบจากเข็มได้มากกว่าแบบสะกิด ผลลัพธ์ที่ได้จึงชัดเจนและอยู่ได้นานกว่า 

ตารางเปรียบเทียบ เมโสสะกิดหน้าใส VS เมโสหน้าใสแบบฉีด 16 จุด

สำหรับใครที่กำลังลังเลระหว่าง เมโสสะกิดหน้าใส กับ เมโสหน้าใสแบบฉีด 16 จุด ว่าแบบไหนเหมาะกับผิวของตัวเองมากกว่า ตารางเปรียบเทียบด้านล่างนี้จะช่วยให้คุณเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ทั้งในด้านเทคนิค ผลลัพธ์ และความเหมาะสมกับสภาพผิวแต่ละแบบค่ะ

รายการเปรียบเทียบ เมโสสะกิดหน้าใส เมโสหน้าใสแบบฉีด 16 จุด
เทคนิคการทำ ใช้เข็มเล็กสะกิดผิวหน้าให้เป็นจุดเล็ก ๆ ทั่วใบหน้า ฉีดเมโสลงจุดเฉพาะตามแนวต่อมน้ำเหลือง 16 จุดบนใบหน้า
ความลึกของตัวยา เข้าสู่ชั้นผิวตื้น กระจายทั่วผิว เข้าลึกกว่าแบบสะกิด ตรงจุดสำคัญและมีประสิทธิภาพสูง
พื้นที่การออกฤทธิ์ กระจายทั่วใบหน้าแบบสม่ำเสมอ เน้นเฉพาะจุดสำคัญเพื่อผลลัพธ์ลึกและชัดเจน
ผลลัพธ์ที่ได้ ผิวฉ่ำวาว ฟื้นฟูเร็ว เหมาะกับผิวอ่อนล้า หมองคล้ำ ผิวดูใส แข็งแรงจากภายใน อยู่ได้นาน เห็นผลชัดเจน
ความเจ็บขณะทำ เจ็บเล็กน้อย (คล้ายเข็มแตะผิวซ้ำ ๆ) เจ็บเล็กน้อยเฉพาะจุด แต่ทนได้
โอกาสเกิดรอยช้ำ/อักเสบ อาจเกิดรอยแดงหรืออักเสบได้ง่ายกว่าหากไม่ดูแลดี โอกาสช้ำน้อยกว่าเพราะฉีดจุดสำคัญเท่านั้น
ระยะเวลาที่เห็นผล 3–7 วันหลังทำ (ชุ่มชื้น กระจ่างใสขึ้นเร็ว) เห็นผลชัดใน 5–10 วัน ผลอยู่ได้นานกว่า
ความถี่ในการทำ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ต่อเนื่อง 3–5 ครั้ง ทุก 2–4 สัปดาห์ ตามคำแนะนำแพทย์
เหมาะกับใคร ผู้ที่ต้องการผิวใสแบบเร่งด่วน เน้นทั่วหน้า ผู้ที่ต้องการดูแลผิวอย่างล้ำลึกและอยู่ผลนาน
ข้อควรระวัง ต้องระวังการติดเชื้อจากรอยสะกิด ต้องทำโดยแพทย์เพื่อฉีดตรงจุดสำคัญอย่างปลอดภัย

โปรแกรมเมโสสะกิดหน้าใสเจ็บไหม

การทำเมโสหน้าใสแบบสะกิดไม่ได้เจ็บอย่างที่หลายคนกลัว เพราะเข็มที่ใช้มีขนาดเล็กมาก และมีการประคบเย็นก่อนเริ่มหัตถการเพื่อช่วยลดความรู้สึกระคายเคืองขณะสะกิดผิว ความลึกที่เข็มลงไปนั้นอยู่แค่ระดับผิวตื้น ประมาณ 5–10 มิลลิเมตร ซึ่งเพียงพอสำหรับให้ตัวยาซึมเข้าสู่ชั้นผิวโดยไม่ลึกถึงระดับที่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดรุนแรง จะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น คล้ายเข็มแตะผิวซ้ำๆ แต่ยังอยู่ในระดับที่สามารถทนได้ และใช้เวลาทำไม่นาน 

เมื่อทำเสร็จแล้วผิวหน้าจะมีตุ่มแดงเล็ก ๆ หรือรอยเข็มบางจุดเกิดขึ้นได้เป็นปกติ อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ หายไปภายใน 1 – 3 วัน แต่หากเป็นผู้ที่มี ผิวบอบบาง อาจมีอาการบวมแดงหรือช้ำเล็กน้อย แต่ถ้ารู้สึกแสบร้อนผิว มีอาการบวมแดงมาก อาการบวมแดงไม่ลดลงเป็นอาการที่ผิดปกติควรรีบพบแพทย์ด่วน

เมโสหน้าใสแบบสะกิด เหมาะกับใคร

โปรแกรมเมโสสะกิดหน้าใสเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าอย่างล้ำลึก เห็นผลไว ไม่ต้องรอนาน และไม่อยากเสียเวลากับการทาครีมทุกวัน โดยคนที่เหมาะกับการฉีดเมโสหน้าใสแบบสะกิดมีดังนี้

  • ผู้ที่มีผิวหน้าโทรมหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ และดูไม่สดใส ต้องการปรับสีผิวให้ดูเนียนขึ้น ลดรอยหมองคล้ำสะสมจากแสงแดดหรือมลภาวะ
  • ผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยสิว ลดการผลิตเม็ดสีผิดปกติ และฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียนขึ้น
  • ผู้ที่ผิวแห้ง ขาดน้ำ แต่งหน้าไม่ติด ต้องการเติมความชุ่มชื้นให้ผิวจากภายใน ทำให้หน้าดูอิ่มฟูและสดใสขึ้นทันที
  • ผู้ที่มีริ้วรอยเล็กๆ หรือเริ่มมีสัญญาณความร่วงโรย ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ผิว ทำให้ผิวตึงและเนียนละเอียดขึ้น
  • ผู้ที่ไม่ชอบการทาครีมหรือไม่มีเวลาดูแลผิว อยากได้วิธีที่รวดเร็ว บำรุงผิวแบบเข้มข้นในเวลาไม่กี่นาที และเห็นผลลัพธ์ไว

เมโสหน้าใสแบบสะกิดควรทำกี่ครั้ง

แนะนำให้ทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ต่อเนื่องกันประมาณ 3–5 ครั้ง หลังจากนั้นเมื่อผิวเริ่มฟื้นตัว และดูสุขภาพดีขึ้นแล้ว สามารถฉีดทุก 2 – 4 สัปดาห์ เพื่อคงผลลัพธ์สภาพผิวที่ดีเอาไว้ และปกป้องผิวให้แข็งแรง ชุ่มชื้น และกระจ่างใส

ฉีดโปรแกรมเมโสสะกิดหน้าใสกี่วันเห็นผล

การฉีดเมโสสะกิดหน้าใสจะเริ่มเห็นผลภายใน 1 สัปดาห์ โดยผิวจะดูชุ่มชื้นขึ้น กระจ่างใส และเนียนละเอียดมากขึ้น จากนั้นผลลัพธ์จะค่อย ๆ ชัดเจนเต็มที่ใน 2 สัปดาห์ และผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 1–2 เดือนค่ะ

วิธีดูแลหลังทำเมโสสะกิดหน้าใส

วิธีดูแลหลังทำเมโสสะกิดหน้าใส

เพื่อให้หลังฉีดผลลัพธ์ออกมาตรงตามความต้องการ ไม่มีผลข้างเคียง และผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น ควรดูแลผิวหลังทำให้ถูกวิธี โดยมีวิธีดูแลหลังฉีดโปรแกรมเมโสสะกิดหน้าใส ดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวทันทีหลังทำ ไม่ควรจับ กด หรือถูใบหน้าแรง ๆ ในช่วง 3 – 4 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกเข้าสู่ผิวและลดโอกาสการติดเชื้อ
  • งดแต่งหน้า และทาครีม หลังทำควรงดใช้เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวประมาณ 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะในจุดที่มีรอยเข็ม เพื่อให้ผิวฟื้นตัวอย่างเต็มที่
  • ประคบเย็นหากมีอาการบวมแดง หากรู้สึกผิวระคายเคือง บวม หรือแดง สามารถประคบเย็นในช่วง 48 ชั่วโมงแรก และเปลี่ยนเป็นประคบอุ่นในวันที่ 2 – 3 หากแพทย์แนะนำ
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ผิวที่เพิ่งผ่านการสะกิดจะไวต่อแสง แนะนำให้อยู่ในที่ร่ม และหากจำเป็นต้องออกแดดควรทาครีมกันแดดที่มี SPF สูงทุกครั้ง
  • งดกิจกรรมที่ทำให้ผิวอักเสบ หลีกเลี่ยงการสครับผิว อบไอน้ำ ซาวน่า หรือใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวในช่วง 3 วันแรก เพื่อไม่ให้ผิวระคายเคืองเพิ่ม
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ พฤติกรรมเหล่านี้อาจขัดขวางกระบวนการซ่อมแซมและลดประสิทธิภาพของสารบำรุงที่ฉีดเข้าไป ควรงดประมาณ 1 สัปดาห์

 Q&A คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเมโสสะกิดหน้าใส

หลายคนที่กำลังสนใจการทำเมโสสะกิดหน้าใส อาจยังมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และการดูแลหลังทำ ไม่ว่าจะเป็นคำถามว่าเมโสสะกิดช่วยอะไรได้บ้าง เหมาะกับใคร ทำแล้วเจ็บไหม หรือหากมีปัญหาสิวสามารถทำได้หรือเปล่า Vincent Clinic Aesthetic ได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อย พร้อมคำตอบแบบเข้าใจง่าย เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น

Q : เมโสสะกิดหน้าใสสามารถปรับสูตรตัวยาให้ตรงกับปัญหาผิวเฉพาะบุคคลได้ไหม?

A : ได้ค่ะ ปัจจุบันมีการปรับสูตรเมโสให้ตรงกับ Skin Concern เฉพาะบุคคล เช่น สูตรสำหรับผิวแพ้ง่าย, สูตรลดฝ้าลึก, สูตรผิวขาดน้ำ หรือแม้แต่สูตร Anti-Aging ที่เน้นเติมคอลลาเจนและอีลาสติน ดังนั้นหากเข้ารับบริการกับคลินิกที่มีแพทย์ดูแล จะสามารถวิเคราะห์ผิวและเลือกสูตรที่เหมาะสมกับคุณได้เฉพาะเจาะจง

Q : หากเคยทำเมโสแบบฉีดมาแล้ว ยังสามารถทำเมโสสะกิดหน้าใสซ้ำได้หรือไม่?

A : ได้ค่ะ และในบางกรณีแพทย์อาจแนะนำให้สลับกันระหว่าง เมโสฉีดแบบลึก และ เมโสสะกิดแบบทั่วหน้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบำรุงในแต่ละระดับชั้นผิว เช่น เมโสฉีดเพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูลึก และเมโสสะกิดเพื่อรีเฟรชผิวให้สดใสทั่วทั้งหน้า เป็นเทคนิคที่เรียกว่า Layered Mesotherapy

Q : เมโสสะกิดสามารถทำร่วมกับเลเซอร์หรือหัตถการอื่นได้หรือไม่?

A : สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ เช่น เลเซอร์ลดฝ้า , IPL หรือ Skin Booster โดยต้องอยู่ภายใต้การประเมินของแพทย์เพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคืองผิวมากเกินไป โดยทั่วไปแพทย์อาจแนะนำให้เว้นระยะ 5–7 วันระหว่างหัตถการ หรือใช้วิธี “บูสต์ผิว” ด้วยเมโสหลังจากทำเลเซอร์เพื่อเร่งการฟื้นฟูผิว

Q : เมโสสะกิดหน้าใสให้ผลลัพธ์ระยะยาวได้หรือไม่?

A : เมโสสะกิดเป็นการเติมสารบำรุงเข้าสู่ผิวโดยตรง ซึ่งไม่ใช่การเปลี่ยนโครงสร้างถาวรของผิว ดังนั้นผลลัพธ์จะอยู่ในลักษณะ สะสม คือ หากทำต่อเนื่องจะช่วยเสริมสุขภาพผิวให้ดีขึ้นในระยะยาว โดยเฉพาะเรื่องความชุ่มชื้น ความแข็งแรงของผิว และการลดการเกิดสิวหรือรอยหมองคล้ำ แต่ควรมีการทำซ้ำอย่างสม่ำเสมอในรอบเดือนหรือสองเดือน

Q : ผู้ที่มีสิวอักเสบเรื้อรังหรือกำลังรักษาสิวอยู่ สามารถทำเมโสสะกิดหน้าใสได้หรือไม่?

A : ขึ้นอยู่กับ ระดับของสิวและการรักษาในขณะนั้น หากมีสิวอักเสบรุนแรงหรือมีการใช้ยาทาผิวที่ทำให้ผิวบาง แพทย์อาจชะลอการทำเมโสสะกิดไว้ก่อน เพราะการสะกิดผิวอาจเพิ่มความเสี่ยงในการระคายเคืองหรือติดเชื้อได้ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนเริ่มหัตถการทุกครั้ง

Q : หลังทำเมโสสะกิด สามารถแต่งหน้าด้วยเครื่องสำอาง รองพื้นหรือกันแดดชนิดทา ได้ในวันรุ่งขึ้นไหม?

A : ควรงดแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมงเต็ม หลังทำ แต่หากจำเป็นจริง ๆ สามารถใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF สูงชนิด กันแดดสูตรเวชสำอาง (non-comedogenic) และ ไม่ผสมแอลกอฮอล์หรือซิลิโคน ได้ในวันที่สอง ส่วนรองพื้นหรือเมคอัพอื่นๆ ควรรอจนกว่ารอยสะกิดจะหายหมดเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรืออุดตัน

Q : มีโอกาสที่เมโสสะกิดจะทำให้ผิวบางในระยะยาวหรือไม่?

A : ไม่ค่ะ เพราะเมโสสะกิดไม่ได้ใช้สารผลัดเซลล์ผิวหรือสารที่ทำให้ผิวลอกเหมือนครีมแรง ๆ และไม่ได้ลึกถึงชั้นผิวแท้ในระดับที่ทำลายผิว เพียงแต่ควรหลีกเลี่ยงการทำถี่เกินไปโดยไม่มีความจำเป็น (เช่น มากกว่าสัปดาห์ละ 1–2 ครั้งต่อเนื่องหลายเดือน) เพราะอาจรบกวนการฟื้นตัวของผิว

สรุป

เมโสสะกิดหน้าใสเป็นหัตถการที่เน้นการฟื้นฟูผิว โดยใช้เข็มขนาดเล็กสะกิดผิวหน้าเป็นจุดเล็กๆ ทั่วใบหน้านำสารบำรุงเข้าชั้นผิวโดยตรง ซึ่งจะช่วยปรับผิวให้กระจ่างใส ลดฝ้า กระ จุดด่างดำ เติมน้ำให้ผิว ลดริ้วรอย และกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิว ได้ในเวลาอันรวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวแบบเร่งด่วน หากต้องการบำรุงผิวหน้าปรับสภาพผิวเร่งด่วน สามารถเข้ามาปรึกษากับ Vincent Clinic Aesthetic ซึ่งจะมีแพทย์ที่มีประสบการณ์ให้คำแนะนำอย่างละเอียดค่ะ

Scroll to Top