Juvelook และ Sculptra เป็นหัตถการยอดนิยมในกลุ่มสารกระตุ้นคอลลาเจนที่หลายคนเลือกใช้เพื่อฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึกโดยไม่ต้องพึ่งฟิลเลอร์หรือการผ่าตัด แม้ทั้งสองจะอยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่กลับมีจุดเด่น ผลลัพธ์ และความเหมาะสมที่ต่างกันอย่างชัดเจน ในบทความนี้ Vincent Clinic Aesthetic จะพามาเปรียบเทียบระหว่างสองตัวนี้ว่าควรเลือกใช้อย่างไรให้เหมาะกับปัญหาผิวที่มีค่ะ
Key Takeaway
- ทั้ง Juvelook และ Sculptra ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนเหมือนกัน แต่มีจุดเด่นต่างกันชัดเจน Juvelook เหมาะกับการฟื้นฟูผิวตื้นอย่างรวดเร็ว ส่วน Sculptra เหมาะกับการฟื้นฟูผิวลึกและโครงสร้างใบหน้าในระยะยาว
- สามารถใช้ Juvelook และ Sculptra ร่วมกันได้ โดยเว้นระยะ 3 – 6 เดือน หรือฉีดในตำแหน่งที่ไม่ทับซ้อนกัน เพื่อผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและเสริมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
- ผู้ที่เคยฉีดฟิลเลอร์สามารถใช้ Juvelook หรือ Sculptra ได้ แต่ควรให้แพทย์ประเมินตำแหน่งและระยะเวลาหลังฉีดก่อน เพื่อป้องกันสารซ้อนทับกันและให้ผลลัพธ์ที่สวยเป็นธรรมชาติ
- การเลือกใช้ Juvelook หรือ Sculptra ควรขึ้นอยู่กับอายุ สภาพผิว และผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยควรปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์เพื่อวางแผนการรักษาให้เหมาะกับแต่ละบุคคลที่สุด
Juvelook และ Sculptra คืออะไร ถึงต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไป
Juvelook และ Sculptra คือ ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Collagen Biostimulator ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการฟื้นฟูผิวในระดับลึก โดยมีจุดเด่นเหนือกว่าสารเติมเต็มแบบเดิมอย่างฟิลเลอร์ทั่วไป ด้วยคุณสมบัติในการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นใหม่อย่างเป็นธรรมชาติ จึงช่วยให้ผิวกลับมาแน่น กระชับ อิ่มฟู และดูอ่อนเยาว์ได้ในระยะยาว ไม่ใช่แค่การเติมเต็มริ้วรอยชั่วคราว หรือการยกกระชับกล้ามเนื้อเหมือน Botox หรือฟิลเลอร์ แต่เป็นการฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายในอย่างแท้จริง
Juvelook มีส่วนประกอบหลักเป็น Poly D,L-Lactic Acid (PDLLA) กับ Hyaluronic Acid แบบ Non-Crosslinked ซึ่งนอกจากจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนแล้ว ยังเติมความชุ่มชื้นให้ผิวดูฉ่ำวาว รูขุมขนกระชับ ผิวหน้าเรียบเนียน และช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ ได้อย่างชัดเจน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวแบบเห็นผลไว พร้อมผิวดูโกลว์ใสสุขภาพดีตั้งแต่หลังฉีด
ส่วน Sculptra ซึ่งใช้ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) เป็นส่วนประกอบหลักนั้น โดดเด่นในเรื่องของการฟื้นฟูผิวชั้นลึก โดยสามารถ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ในผิวได้สูงถึง 66.5% ทำให้ริ้วรอยร่องลึกค่อย ๆ ตื้นขึ้น ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลงอย่างเป็นธรรมชาติและไม่เปลี่ยนโครงหน้า ผลลัพธ์จะค่อยๆ เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ
ความแตกต่างของ Juvelook กับ Sculptra
แม้ว่า Juvelook และ Sculptra จะจัดอยู่ในกลุ่มของ Collagen Biostimulator ที่มีเป้าหมายเดียวกัน คือการกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนใหม่เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน แต่ทั้งสองก็มีความแตกต่างกันในหลายแง่มุม ทั้งส่วนประกอบ หลักการทำงาน ระยะเวลาการเห็นผล ไปจนถึงบริเวณที่เหมาะกับการฉีด
Juvelook
Juvelook เป็นนวัตกรรมจากประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งโดดเด่นในเรื่องการผสานระหว่าง PDLLA (Poly D,L-Lactic Acid) และ Hyaluronic Acid (HA) แบบ Non-Crosslinked ไว้ในขวดเดียว จุดเด่นคือการทำงานแบบสองขั้นตอน โดย PDLLA จะช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ส่วน HA จะให้ความชุ่มชื้นและช่วยเติมเต็มริ้วรอยเล็ก ๆ ได้ทันทีหลังฉีด ผิวจะดูฉ่ำวาว มีประกายแบบ glass skin ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่หลายคนต้องการ
หลังฉีด Juvelook ผิวจะดูอิ่มน้ำและเรียบเนียนขึ้นทันที ริ้วรอยเล็ก ๆ จางลง รูขุมขนดูกระชับ และเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1-3 เดือน คอลลาเจนที่ถูกกระตุ้นจะเริ่มสร้างตัว ส่งผลให้ผิวแน่น ฟู และเต่งตึงขึ้น ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ประมาณ 12-16 เดือน และสามารถยาวนานถึง 2 ปีในบางราย
บริเวณที่นิยมฉีด Juvelook ได้แก่ ใต้ตา หน้าผาก แก้ม คอ หลังมือ หรือแม้แต่บริเวณที่มี รอยแตกลายหรือหลุมสิว ซึ่งเป็นจุดที่ต้องการทั้งความชุ่มชื้นและการฟื้นฟูผิวที่บอบบาง โดยไม่เสี่ยงต่อการเกิดก้อนหรือพังผืด เนื่องจากเนื้อสารมีความบางเบา กระจายตัวได้ดี
โดย Juvelook เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยตื้น ผิวแห้ง ผิวขาดน้ำ รูขุมขนกว้าง หรือมีหลุมสิวและรอยแผลเป็นจากสิว อีกทั้งยังสามารถช่วยเรื่องผิวหมองคล้ำให้กระจ่างใสขึ้นได้อีกด้วย
Sculptra
Sculptra เป็นนวัตกรรมจากประเทศสหรัฐอเมริกา ใช้สาร PLLA (Poly-L-Lactic Acid) เป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งถือเป็น Biostimulator ชนิดแรกของโลกที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในด้านการกระตุ้นคอลลาเจนอย่างลึกซึ้ง
จุดเด่นของ Sculptra คือการออกฤทธิ์ในระดับโครงสร้างผิว โดยจะกระตุ้นให้ร่างกายผลิต คอลลาเจนผ่านกระบวนการอักเสบระดับเซลล์ (Subclinical Inflammation) ที่ควบคุมได้ เมื่อเซลล์ไฟโบรบลาสต์ถูกกระตุ้น ก็จะเริ่มสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ ส่งผลให้ผิวแน่นขึ้น ยืดหยุ่นดีขึ้น และริ้วรอยลึกค่อย ๆ ตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ผลลัพธ์จากการฉีด Sculptra จะไม่ได้เห็นชัดเจนทันทีเหมือน Juvelook แต่จะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยมักเริ่มเห็นผลในช่วง 2-3 สัปดาห์ และชัดเจนเต็มที่ประมาณ 3 เดือนหลังฉีด ซึ่งผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานถึง 2 ปี
จุดที่นิยมฉีด Sculptra ได้แก่ ขมับ แก้ม กรอบหน้า และบริเวณที่มีวอลลุ่มลดลงจากอายุที่มากขึ้น ไม่เหมาะกับการฉีดในจุดที่มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อมาก เช่น หน้าผาก หรือบริเวณใต้ตา เพราะมีโอกาสเกิดก้อนหรือการเคลื่อนตัวของเนื้อสารได้
Sculptra เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูใบหน้าในระยะยาว มีปัญหา ผิวหย่อนคล้อย โครงสร้างใบหน้าสูญเสียความแน่น มีริ้วรอยลึก และต้องการผลลัพธ์ที่มั่นคงโดยไม่ต้องเติมสารบ่อยครั้ง
ตารางเปรียบเทียบ Juvelook กับ Sculptra
รายละเอียด | Juvelook | Sculptra |
---|---|---|
สารประกอบหลัก | PDLLA (Poly D,L-Lactic Acid), Non-Crosslinked Hyaluronic Acid | PLLA (Poly-L-Lactic Acid) |
กลไกการทำงาน | ให้ความชุ่มชื้นทันที พร้อมกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว | กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนลึกผ่านการอักเสบระดับเซลล์ |
ชั้นผิวที่ฉีด | ชั้นผิวตื้นถึงกลาง | ชั้นผิวลึก |
บริเวณที่ฉีดได้ | ใต้ตา, แก้ม, หน้าผาก, คอ, หลังมือ, รอยแตกลาย, หลุมสิว | ขมับ, แก้มกลาง, กรอบหน้า (หลีกเลี่ยงบริเวณที่ขยับบ่อย) |
ผลลัพธ์ที่เห็นหลังฉีด | ผิวโกลว์ ฉ่ำวาวทันที ริ้วรอยเล็กตื้นขึ้น รูขุมขนกระชับ | วอลลุ่มผิวเพิ่มขึ้น ผิวยกกระชับ ริ้วรอย ลึกค่อยๆ จางลง |
ระยะเวลาเริ่มเห็นผล | เห็นผลทันทีหลังฉีด และชัดเจนใน 2–3 เดือน | เริ่มเห็นผลใน 2–3 สัปดาห์ ชัดเจนภายใน 3 เดือน |
ระยะเวลาคงผลลัพธ์ | ประมาณ 12–16 เดือน | นานถึง 2 ปี |
ความถี่ในการฉีด | อย่างน้อย 3 ครั้ง ห่างกันทุก 4 สัปดาห์ | ควรทำ 2–3 ครั้ง ห่างกันทุก 4 – 6 สัปดาห์ |
ลักษณะเนื้อสาร | บางเบา กระจายตัวดี ไม่จับเป็นก้อน | มีความเข้มข้นสูงกว่า ต้องใช้เทคนิคเฉพาะ |
ข้อดีเด่น | เห็นผลไว ผิวหน้าชุ่มชื้น ปลอดภัยสูง | ฟื้นฟูลึก ยกกระชับระยะยาว หน้าอิ่มฟูธรรมชาติ |
ราคาโดยประมาณ | 15,000 – 25,000 บาท/ขวด | 20,000 – 40,000 บาท/ขวด |
เหมาะกับใคร | ผู้ที่มีริ้วรอยเล็ก หลุมสิว ผิวแห้ง ผิวหมอง ต้องการผลลัพธ์เร็ว | ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอยลึก ผิวบางลง ต้องการฟื้นฟูในระยะยาว |
Juvelook เหมาะกับใคร?
-
- ผู้ที่มีผิวบางหรือแพ้ง่าย กังวลเรื่องอาการระคายเคืองจากการฉีดสารเติมเต็มทั่วไป เพราะ Juvelook ใช้เนื้อสารที่อ่อนโยน ไม่จับตัวเป็นก้อน และกระจายตัวได้ดี
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวโดยไม่ต้องการเปลี่ยนรูปหน้า อยากบำรุง และซ่อมแซมผิวจากภายใน โดยไม่เพิ่มวอลลุ่มเหมือนกับ ฟิลเลอร์
- ผู้เริ่มต้นดูแลผิวแบบลึกในช่วงอายุ 25 ปีขึ้นไป ต้องการชะลอริ้วรอย และฟื้นฟูคอลลาเจนตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
- ผู้ที่มีผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น หรือมีอาการลอกเป็นขุย ต้องการเติมน้ำให้ผิวได้ทันทีหลังฉีด ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ และสุขภาพดีขึ้นทันตา
- ผู้ที่มีใบหน้าหมองคล้ำหรือโทรมจากพักผ่อนน้อยหรือผิวอ่อนล้า ฟื้นคืนผิวที่ดูเหนื่อยล้าให้กลับมาสว่างใส สดชื่น และดูโกลว์ขึ้น
- ผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง หรือผิวหน้าไม่เรียบเนียน อยากกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้รูขุมขนกระชับขึ้น ผิวดูเนียนละเอียดขึ้น
- ผู้ที่มีริ้วรอยตื้น มีริ้วรอยใต้ตา หน้าผาก หรือรอบปาก อยากให้ริ้วรอยตื้นๆ ดูเรียบเนียนโดยไม่ต้องใช้ โบท็อก
- ผู้ที่มีรอยสิว รอยแผลเป็น หรือหลุมสิว ต้องการฟื้นฟูผิวให้กลับมาเรียบเนียน ลดเลือนรอยแผลเป็นจาก สิว อย่างเป็นธรรมชาติ
Sculptra เหมาะกับใคร?
- ผู้ที่ต้องการยกกระชับและเติมวอลลุ่มทั่วใบหน้า มีปัญหาผิวบริเวณแก้มตอบลง ขมับยุบ หรือ กรอบหน้าไม่ชัด
- ผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป เป็นช่วงที่การผลิตคอลลาเจนเริ่มลดลงตามธรรมชาติ และเริ่มมีปัญหาผิวที่แสดงถึงวัยที่มากขึ้น
- ผู้ที่มีผิวขาดความยืดหยุ่น ผิวที่ดูไม่กระชับ ย้วย หรือไม่เฟิร์มเหมือนเดิมจะฟื้นฟูได้จากการฉีด Sculptra
- ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยร่องลึก มี ร่องแก้ม ริ้วรอยรอบปาก หรือริ้วรอยที่เห็นได้ชัดจากอายุที่เพิ่มขึ้น
- ผู้ที่ไม่ได้ดูแลผิวมาเป็นเวลานาน ละเลยการบำรุง หรือไม่มีเวลาดูแลผิวในช่วงหลายปี และต้องการการฟื้นฟูผิวล้ำลึก
- ผู้ที่มีโครงสร้างผิวไม่แข็งแรง ผิวบาง หรือผิวหลวม ต้องการการฟื้นฟูผิวลงลึกจากระดับเซลล์ ปรับให้โครงสร้างผิวแข็งแรงขึ้น
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาวและไม่มีเวลาฉีดบ่อยๆ ไม่สะดวกไปทำหัตถการบ่อย เพราะ Sculptra สามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานถึง 2 ปี หลังจากคอร์สการฉีดเสร็จสมบูรณ์
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์อย่างต่อเนื่อง อยากลดเลือนริ้วรอย เพิ่มความเต่งตึงของใบหน้าแบบค่อยเป็นค่อยไป และดูเป็นธรรมชาติ
ข้อดี–ข้อเสียของ Juvelook และ Sculptra
หลายคนอาจลังเลว่าควรเลือกตัวไหนจึงจะเหมาะกับผิวของตนเองที่สุด การรู้ข้อดีและข้อจำกัดของแต่ละตัวจะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และตรงกับความต้องการมากโดยข้อเสียของ Juvelook และ Sculptra มีดังนี้
ข้อดี ข้อเสียของ Juvelook
ข้อดีของ Juvelook
- ผสมสารสำคัญสองชนิดในหนึ่งเดียว คือ PDLLA สำหรับกระตุ้นคอลลาเจน และ HA เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น ดูอิ่มน้ำ
- ช่วยฟื้นฟูผิวได้แบบรอบด้าน ทั้งลดริ้วรอย กระชับรูขุมขน และปรับผิวให้เนียนละเอียด
- สามารถฉีดเฉพาะจุดหรือฉีดทั่วหน้าได้ โดยเนื้อสารไม่จับตัวเป็นก้อน กระจายตัวได้ดี
- เห็นผลเรื่องผิวฉ่ำวาว ผิวชุ่มชื้นได้ทันทีหลังฉีด โดยไม่จำเป็นต้องพักฟื้น
- เมื่อฉีดอย่างต่อเนื่องครบ 3 ครั้ง ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 18 เดือน
- มีความปลอดภัยสูง ผ่านการรับรองจากทั้งเกาหลี และยุโรป โอกาสเกิดผลข้างเคียงต่ำมาก
ข้อเสียของ Juvelook
- เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน ต้องวางแผนฉีดอย่างต่อเนื่อง 3 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 1 เดือน
- ราคาสูงกว่าสกินบูสเตอร์ทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อเลือกฉีดทั่วหน้าจะต้องใช้ปริมาณเยอะ
- ต้องให้แพทย์ที่มีประสบการณ์เป็นผู้ฉีดเท่านั้น เพื่อความแม่นยำและผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอ
ข้อดี–ข้อเสียของ Sculptra
Sculptra คือผลิตภัณฑ์จากสหรัฐอเมริกาที่ใช้ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) เป็นสารหลักในการกระตุ้นผิวให้สร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่จากภายใน เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับโครงสร้างผิว ฟื้นฟูริ้วรอยลึก และยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย
ข้อดีของ Sculptra
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะกับผิวที่เริ่มเสื่อมสภาพจากอายุ
- ฟื้นฟูวอลลุ่มและความแน่นของใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ ใบหน้าดูเด็กลงโดยไม่บวม ไม่เปลี่ยนรูปหน้า
- ลดเลือนริ้วรอยลึก เช่น ร่องแก้ม ขมับตอบ หรือกรอบหน้าที่ไม่ชัด
- ไม่ต้องพักฟื้นหลังฉีด สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
- ผลลัพธ์ค่อยเป็นค่อยไป แต่สามารถคงอยู่ได้นานถึง 2 ปี
ข้อเสียของ Sculptra
- ผลลัพธ์จะไม่เห็นในทันที ต้องใช้เวลา 2–3 สัปดาห์ขึ้นไปในการเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง
- ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ผู้ฉีดสูง หากเทคนิคไม่แม่นยำ ผลลัพธ์ที่ได้ด้านการกระตุ้นคอลลาเจนผิวแต่ละบริเวณจะไม่สมดุล
- ต้องคอยนวดหลังฉีดติดต่อกัน 5 วัน เพื่อให้ยากระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ และกระตุ้นคอลลาเจนได้ดี
- หากใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการรับรอง อาจเสี่ยงต่อผลข้างเคียงหรือปัญหาในระยะยาว
ข้อจำกัด และผลข้างเคียงของ Juvelook และ Sculptra
แม้ Juvelook และ Sculptra จะเป็นหัตถการที่ปลอดภัยและได้รับการรับรองจากหน่วยงานระดับสากล แต่ก็มีข้อจำกัดและผลข้างเคียงที่ควรทราบ โดยทั่วไปทั้งสองตัวไม่เหมาะกับผู้ที่ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร ผู้ที่มีโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือมีอาการอักเสบ ติดเชื้อที่ผิวหนังในบริเวณที่จะฉีด รวมถึงผู้ที่มีประวัติแพ้ส่วนประกอบของตัวยา
Juvelook เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวโดยไม่เน้นการเพิ่มวอลลุ่ม มักมีอาการบวมหรือแดงเพียงเล็กน้อยหลังฉีด อาจมีตุ่มนูนหรือรอยเข็มที่หายได้เองภายในไม่กี่วัน ไม่จำเป็นต้องนวด และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที ความเจ็บอยู่ในระดับน้อยเนื่องจากมีการทายาชาและฉีดในชั้นผิวตื้น
Sculptra เหมาะกับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิว และฟื้นฟูผิวลึก ผลลัพธ์ไม่เห็นทันที ต้องใช้เวลาประมาณ 1–3 เดือนจึงจะเห็นผลชัดเจน หลังฉีดอาจมีอาการบวม ตึง หรือพบก้อนเล็ก ๆ ใต้ผิวหนังได้ในบางราย ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยการนวดตามคำแนะนำของแพทย์ และควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อน
ควรเลือก Juvelook หรือ Sculptra?
แม้ Juvelook และ Sculptra จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเหมือนกัน แต่การเลือกใช้งานควรขึ้นอยู่กับสภาพผิว อายุ และผลลัพธ์ที่ต้องการ หากคุณมีผิวบาง อายุยังน้อย เช่นช่วง 25–30 ปี มีปัญหาริ้วรอยเล็ก รูขุมขนกว้าง หรือผิวขาดความชุ่มชื้น Juvelook จะเหมาะกว่า เพราะเห็นผลไว ผิวโกลว์ดูฉ่ำวาวทันที และอ่อนโยนต่อผิวบอบบาง หากคุณอายุ 35–40 ปีขึ้นไป มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ร่องลึก หรือผิวไม่เฟิร์ม Sculptra จะเหมาะกว่า เพราะช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากชั้นลึก แม้ต้องใช้เวลา 1–3 เดือนจึงจะเห็นผล แต่ให้ผลลัพธ์ยาวนานถึง 2 ปี
แต่ทั้งสองหัตถการสามารถใช้ร่วมกันได้ โดย Juvelook ช่วยฟื้นฟูผิวเร็ว เพิ่มความชุ่มชื้น ส่วน Sculptra เสริมการสร้างคอลลาเจนระยะยาว หากทำ Sculptra มาก่อน ควรเว้นระยะ 3–6 เดือนก่อนทำ Juvelook เพื่อให้ผลลัพธ์ไม่ทับซ้อน แต่จะเลือกใช้ Juvelook หรือ Sculptra ดีนั้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินให้เหมาะกับปัญหาผิวของแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและคุ้มค่าที่สุดในระยะยาว
ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน? ต้องฉีดบ่อยแค่ไหน?
หลังจากฉีด Juvelook เห็นผลเร็ว ผิวชุ่มชื้นขึ้นทันทีหลังฉีด ริ้วรอยเล็ก ๆ จางลง และคอลลาเจนจะเริ่มสร้างในช่วง 2 – 4 สัปดาห์ โดยผลลัพธ์ชัดเจนใน 2 – 3 เดือน และอยู่ได้นานประมาณ 12 – 16 เดือน หรือสูงสุดถึง 2 ปีในบางราย แนะนำให้ฉีด 3 ครั้ง เว้นระยะห่างทุก 4 สัปดาห์ เพื่อให้ผลลัพธ์เต็มประสิทธิภาพและยาวนาน
ส่วน Sculptra ให้ผลลัพธ์แบบค่อยเป็นค่อยไป ผิวจะเริ่มกระชับขึ้นใน 2 – 3 สัปดาห์ และชัดเจนที่สุดใน 3 เดือน ช่วยฟื้นฟูคอลลาเจนลึก เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาว แนะนำให้ฉีด 2 – 3 ครั้ง เว้นระยะ 4 – 6 สัปดาห์ หากทำครบคอร์ส ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานถึง 2 ปี แต่หากฉีดเพียงครั้งเดียว ผลอาจอยู่ได้ราว 6 – 7 เดือนค่ะ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Juvelook vs Sculptra (FAQ)
Q: ถ้าต้องการทั้งผิวแน่นและหน้าเด็ก ควรเลือก Juvelook หรือ Sculptra ดี?
A: ถ้าต้องการทั้งผิวแน่นและหน้าเด็กแบบเห็นผลทั้งเร็วและยาวนาน ควรเริ่มด้วย Juvelook เพื่อเติมความชุ่มชื้นและผิวโกลว์ทันที จากนั้นเสริมด้วย Sculptra เพื่อฟื้นฟูคอลลาเจนลึกและยกกระชับในระยะยาว
Q: สามารถฉีด Juvelook และ Sculptra พร้อมกันได้ไหม?
A: สามารถฉีด Juvelook และ Sculptra ร่วมกันได้ แต่ควรฉีดคนละตำแหน่งหรือเว้นระยะห่างตามดุลยพินิจของแพทย์ เพื่อให้ผลลัพธ์ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด
Q: Juvelook หรือ Sculptra เหมาะกับคนที่เคยฉีดฟิลเลอร์มาแล้วหรือไม่?
A: ทั้ง Juvelook และ Sculptra สามารถทำได้ในคนที่เคยฉีดฟิลเลอร์มาแล้ว แต่ควรให้แพทย์ประเมินตำแหน่งและระยะเวลาหลังฉีดก่อน เพื่อป้องกันการซ้อนทับของสารและให้ผลลัพธ์ออกมาสวยเป็นธรรมชาติ
Q: หลังฉีด Juvelook หรือ Sculptra จะสามารถแต่งหน้า ล้างหน้าได้เมื่อไหร่?
A: หลังฉีด Juvelook หรือ Sculptra ควรงดแต่งหน้า และล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทั่วไปอย่างน้อย 24 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันการระคายเคืองและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
Q: Juvelook และ Sculptra ต่างกันเรื่องการเห็นผลเร็วแค่ไหน?
A: Juvelook เห็นผลเรื่องผิวชุ่มชื้น และโกลว์ทันทีหลังฉีด ส่วน Sculptra ต้องใช้เวลาประมาณ 2–3 สัปดาห์จึงเริ่มเห็นผล และเห็นผลชัดเจนใน 3 เดือน
Q: มีอาการบวม แดง หรือช้ำมากไหมหลังฉีด Juvelook และ Sculptra
A: อาจมีอาการบวม แดง หรือช้ำเล็กน้อย ซึ่งมักหายได้เองภายในไม่กี่วันและไม่กระทบการใช้ชีวิตประจำวัน
Q: คนที่กลัวหน้าบวม หน้าบาน ควรหลีกเลี่ยง Sculptra ไหม?
A: หลังฉีด Sculptra จะหน้าบวมเล็กน้อย แต่จะไม่ได้บวมนาน จะใช้เวลาประมาณ 2 – 3 วัน หน้าจะค่อยๆ บวมน้อยลง
สรุป
Juvelook และ Sculptra ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนได้เหมือนกันแต่ต่างกันตรงที่ Juvelook จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิว และลดริ้วรอยตื้นๆ ได้เล็กน้อยหลังจากฉีด จากนั้นจะเริ่มค่อยๆ สร้างคอลลาเจนในชั้นผิวให้รูขุมขนกระชับ ลดริ้วรอยร่องลึกได้ ส่วน Sculptra หลังฉีดไม่ได้ช่วยเรื่องผิวทันที แต่จะค่อยๆ กระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ริ้วรอยลดลง และยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยได้ หากใครที่ต้องการฉีดแก้ปัญหาผิวแต่เลือกไม่ได้สามารถเข้ามาปรึกษากับ Vincent Clinic Aesthetic โดยจะมีแพทย์ที่มีประสบการณ์คอยให้คำแนะนำค่ะ