บทความ
Juvelook vs Rejuran สกินบูสเตอร์ฟื้นฟูผิวสวย ควรเลือกทำตัวไหนดี
แชร์ :

Juvelook vs Rejuran สกินบูสเตอร์ฟื้นฟูผิวสวย ควรเลือกทำตัวไหนดี

Juvelook vs Rejuran
อยากอ่านอะไร จิ้มที่หัวข้อได้เลย!

ทั้ง Juvelook และ Rejuran ต่างก็เป็นชื่อที่คุ้นหูในวงการความงาม ที่ใครๆ หลายคนจ้องเคยได้ยินมาบ้าง ซึ่งสกินบูสเตอร์ทั้งสองตัวนี้ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดเด่นในการฟื้นฟูผิวจากภายใน เติมเต็มความชุ่มชื้น และช่วยให้ผิวกลับมาดูสุขภาพดี จนหลายคนอาจเกิดคำถามว่าแล้วควรเลือกทำตัวไหนดี ในบทความนี้ Vincent Clinic Skin จะมาเปรียบเทียบทั้งสองตัวนี้ว่าแตกต่างกันอย่างไร เพื่อให้ตัดสินใจได้ง่ายมากขึ้นค่ะ

Juvelook และ Rejuran ทำงานอย่างไร

Juvelook และ Rejuran ทำงานอย่างไร

ถึงแม้ Juvelook และ Rejuran จะเป็น Skin Booster ที่ช่วยบำรุงผิวเหมือนกัน แต่ทั้ง 2 ตัวก็มีความแตกต่างกันทั้งส่วนผสม การทำงาน และคุณสมบัติต่างๆ โดยทั้งสองตัวมีความแตกต่างดังนี้

  • Juvelook Juvelook คือ สกินบูสเตอร์ที่มีการผสมผสานของสองตัว ได้แก่ PDLLA (Poly D, L-Lactic Acid) เป็นสารที่ช่วยกระตุ้นให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblasts) ผลิตคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิว ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นมาก และมี Non-Crosslinked Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวดูฉ่ำวาว ผิวกระจก และช่วยลดริ้วรอยตื้นๆ บนผิวได้ บางคนอาจเรียก Juvelook ว่าไหมน้ำเนื่องจากสาร PDLLA เป็นสารที่ใช้ในไหมที่นำมาร้อยยกกระชับผิวด้วย  หลังจากที่ฉีด Juvelook จะเห็นผลลัพธ์ทันทีว่าผิวสวย ริ้วรอยตื้นขึ้น เนื่องจากสาร HA เป็นสารที่เมื่อฉีดไปแล้วเห็นผลทันที และจากนั้นผิวจะเริ่มกระตุ้นคอลลาเจนจากการที่มี PDLLA เป็นส่วนผสม ทำให้ได้ผลลัพธ์สองต่อและ Juvelook ยังสามารถฉีดได้ในหลายบริเวณ เช่น ใต้ตา หน้าผาก แก้ม ลำคอ และบริเวณที่มีหลุมสิวหรือร่องลึก โดยให้ผลที่ดูเป็นธรรมชาติ เกิดการบวมน้อย ไม่เป็นก้อนหลังฉีด โดยจะใช้ฉีดทั่วหน้าเพื่อกระตุ้นผิว ทำให้ผิวฉ่ำวาว หรือฉีดเฉพาะจุดเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอย ต้องการกระตุ้นคอลลาเจนตรงจุดนั้นโดยเฉพาะได้
  • Rejuran Rejuran คือ สกินบูสเตอร์ที่มีส่วนผสมเป็น Polynucleotide (PN) ที่สกัดมากจาก DNA ของปลาแซลมอน ซึ่งสารนี้มีความใกล้เคียงกับ DNA ของมนุษย์มากถึงประมาณ 98% จึงสามารถเข้ากับเซลล์ผิวของมนุษย์ได้ดี และมีคุณสมบัติในการเร่งกระบวนการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสาร PN จะเข้าไปช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ เสริมความแข็งแรงให้ผิวจากภายใน ลดการอักเสบ ซ่อมแซมผิว และช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้ดีขึ้น ทำให้ผิวกลับมาดูกระจ่างใส ลดรูขุมขนกว้าง และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งการฉีด Rejuran นั้นจะฉีดทั่วๆ ใบหน้าใช้เทคเดียวกับการฉีดเมโสหน้าใส ฉีดเข้าไปในผิวชั้นตื้นเป็น 16 จุดทั่วใบหน้า ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้ตัวยากระจายตัวได้ดี เห็นผลลัพธ์ชัดเจน และ ยังสามารถฉีดบริเวณลำคอหรือหลังมือได้ด้วย แต่การฉีด Rejuran จะไม่ได้เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังฉีด จะค่อยๆ เห็นผลลัพธ์หลังจากฉีดประมาณ 3 – 5 วันแรก ว่าผิวดูชุ่มชื้นมากขึ้น และรูขุมขนค่อยๆ ลดลง

Juvelook vs Rejuran ตัวไหนอยู่ได้นานกว่ากัน

Juvelook vs Rejuran ตัวไหนอยู่ได้นานกว่ากัน

นอกจากการทำงานที่ต่างกันแล้ว Juvelook และ Rejuran ยังมีความแตกต่างกันในด้านความคงทนของผลลัพธ์ด้วย โดยผลลัพธ์ของทั้งสองตัวนั้นอยู่ได้นานไม่เท่ากัน ผลลัพธ์อยู่ได้นานดังนี้

  • Juvelook ผลลัพธ์หลังฉีดสามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 1 – 2 ปี ขึ้นอยู่กับวิธีการดูแลผิวของแค่ละคนหลังฉีดด้วย และเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาชัดเจน ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังเอาไว้ แนะนำให้ฉีดอย่างน้อย 3 ครั้ง โดยเว้นระยะประมาณ 1 เดือนต่อครั้ง เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง และให้ผิวปรับตัวรับกับสารกระตุ้นได้เต็มที่ หลังจากนั้นควรฉีดเสริมทุก 6–12 เดือน เพื่อรักษาสภาพผลลัพธ์ที่ดีเอาไว้
  • Rejuran ผลลัพธ์หลังฉีดสามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับลักษณะผิวของแต่ละบุคคล รวมถึงการดูแลผิวหลังการทำหัตถการ และเพื่อผลลัพธ์ที่ดี แนะนำให้ฉีดอย่างน้อย 4 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างแต่ละครั้งประมาณ 2–3 สัปดาห์ จากนั้นค่อยกลับมาฉีดซ้ำเมื่อครบ 3 – 6 เดือน เพื่อคงสภาพผิวให้อยู่ในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง

Juvelook กับ Rejuran เลือกตัวไหนดี

หากต้องการเห็นผลลัพธ์ค่อนข้างรวดเร็ว แก้ปัญหาริ้วรอยตื้นๆ ใบหน้าดูชุ่มชื้น ผิวยกกระชับยืดหยุ่นมากขึ้น Juvelook จะเหมาะกว่า เพราะด้วยคุณสมบัติของ PDLLA กับกรดไฮยาลูโรนิก Juvelook จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นทันทีหลังฉีด ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนไปพร้อมกัน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง ผิวขาดความกระชับ หรือมีร่องลึก เช่น ริ้วรอยใต้ตา ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก รวมถึงผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้กลับมาเรียบเนียน และกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ 

ในขณะที่ Rejuran เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูเซลล์ผิวในเชิงลึกมากกว่า โดยเฉพาะผู้ที่เผชิญกับปัญหาผิวอ่อนแอจากแสงแดด มลภาวะ หรืออายุที่เพิ่มขึ้น Rejuran มีจุดเด่นที่การใช้สาร Polynucleotide ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของ DNA จากปลาแซลมอนที่มีโครงสร้างใกล้เคียงมนุษย์สูง ช่วยเสริมการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินให้ผิวแข็งแรงขึ้น จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งกร้าน ผิวหย่อนคล้อย สีผิวไม่สม่ำเสมอ หรือมีรอยสิว จุดด่างดำที่ต้องการให้จางลงอย่างเป็นธรรมชาติ 

หากไม่มั่นใจว่าจะเลือกสกินบูสเตอร์ตัวไหนดี การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เพราะแพทย์จะสามารถประเมินสภาพผิว และปรับสภาพผิวให้ผลลัพธ์ออกมาได้ดีแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด 

Juvelook กับ Rejuran ราคาต่างกันไหม

สำหรับราคาของ Juvelook กับ Rejuran จะมีราคาแตกต่างกันไม่เท่ากัน เนื่องจากมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน และส่วนผสมแตกต่างกัน นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับการตั้งราคาของแต่ละคลินิกด้วย โดย Juvelook ราคาประมาณ 15,000 – 25,000 บาท/ขวด ซึ่ง 1 ขวดจะมี 6 CC ส่วน Rejuran ราคาประมาณ 8,000 – 15,000 บาท/2 CC ค่ะ 

ถึงแม้ราคาเหมือนจะแตกต่างกันเยอะ แต่จริงๆ แล้วมีราคาที่ค่อนข้างใกล้เคียงกันค่ะ เนื่องจากราคาที่กล่าวไว้เป็นราคาของปริมาณเริ่มต้น ซึ่ง Juvelook เริ่มต้นที่ 6 CC แต่ ReJuran เริ่มต้นที่ 2 CC หาก Rejuran 6 CC ก็จะมีราคาที่ใกล้เคียงกับ Juvelook ค่ะ

สรุป

Juvelook กับ Rejuran ถึงแม้จะช่วยปรับสภาพผิวได้เหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันทั้งส่วนผสม คุณสมบัติ ความคงทนของผลลัพธ์ และจุดเด่นในการปรับสภาพผิวที่แตกต่างกัน หากต้องการฉีดสกินบูสเตอร์ หรือ Collagen Biostimulator แต่ไม่รู้ว่าจะเลือกตัวไหน สามารถเข้ามาปรึกษากับ Vincent Clinic Skin ซึ่งจะมีแพทย์ที่เชี่ยวชาญคอยดูแล และให้คำแนะนำอย่างละเอียดค่ะ

Scroll to Top