สครับหน้า เป็นหนึ่งในวิธีดูแลผิวที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพและตกค้างอยู่บนผิวหนังชั้นนอกให้หลุดออกอย่างอ่อนโยน ถึงแม้การสครับหน้าจะฟังดูเป็นขั้นตอนง่ายๆ ที่สามารถทำเองได้ที่บ้าน แต่เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดควรเลือกประเภทของสครับให้เหมาะกับสภาพผิว ในบทความนี้ Vincent Clinic Aesthetic จะพามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการสครับหน้าให้ลึกขึ้น ทั้งประเภทของสครับที่เหมาะกับผิวแต่ละแบบ ช่วงเวลาที่ควรเลือกทำ พร้อมคำแนะนำในการสครับหน้าอย่างถูกวิธีเพื่อความปลอดภัยและสุขภาพผิวที่ดีในระยะยาวค่ะ
Key Takeaways
- สครับหน้า คือการผลัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสและเรียบเนียนขึ้น
- การสครับหน้าช่วยลดความหมองคล้ำ สิวอุดตัน รอยดำ และเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมของสกินแคร์
- สครับมี 3 แบบ เม็ด (Physical), กรดผลัดผิว (Chemical), เอนไซม์จากธรรมชาติ (Enzyme)
- เลือกสูตรสครับหน้าให้เหมาะกับสภาพผิว เช่น ผิวมันใช้เม็ด ผิวแพ้ง่ายใช้เอนไซม์หรือกรดอ่อน
- ควรสครับตอนเย็นหรือก่อนนอน และทากันแดดในวันถัดไปเสมอ
- ความถี่ที่แนะนำ ผิวมัน 1–2 ครั้ง/สัปดาห์, ผิวแห้ง 1 ครั้ง/10–14 วัน
- หลีกเลี่ยงการสครับหากผิวอักเสบ บอบบาง หรือเพิ่งทำเลเซอร์/ใช้กรดบำรุง
- ข้อดีของการสครับหน้าคือผิวใส เรียบเนียน แต่งหน้าติดง่าย ข้อเสียคือผิวอาจบางและไวต่อแดด
- การทำสครับหน้า ถ้าสครับเองที่บ้านประหยัดกว่าแต่ต้องเลือกให้เหมาะ ส่วนสครับที่คลินิกเห็นผลเร็วและปลอดภัยกว่า
สครับหน้า คืออะไร?
สครับหน้า คือหนึ่งในวิธีการ ผลัดเซลล์ผิวหน้า ที่เสื่อมสภาพซึ่งอยู่บนผิวหนังชั้นนอกสุดให้หลุดออก เพื่อเปิดทางให้ผิวใหม่ที่สดใสแข็งแรงขึ้นมาแทนที่ และจะช่วยให้ผิวหน้าดูนุ่มขึ้น กระจ่างใสขึ้น พร้อมรับการบำรุงได้ดีขึ้น ซึ่งบางคนอาจสับสนระหว่าง ขัดหน้า และสครับหน้าว่าเป็นวิธีการเดียวกัน แต่จริงๆ แล้วแตกต่างกัน เพราะการขัดหน้ามักหมายถึงการใช้แรงถูขัดหน้า หรือผลิตภัณฑ์ที่มีความรุนแรงสูง อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองหรือถลอกได้ง่าย ในขณะที่การสครับหน้าเป็นการใช้เม็ดที่ไม่ก่อให้เกิดแผลบนผิวมีความละเอียดสูง หรือสารเคมีที่ไม่รุนแรงมาสครับผลัดเซลล์ผิวบนหน้า
สครับหน้าช่วยอะไรบ้าง?
การสครับหน้าสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย และรอบด้าน ซึ่งหลังสครับจะผลลัพธ์ที่ได้จะมีดังนี้
กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
โดยปกติแล้ว ร่างกายจะมีการผลัดเซลล์ผิวเก่าออกเพื่อให้ผิวใหม่ขึ้นมาแทน แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้น กระบวนการนี้จะค่อย ๆ ช้าลง ทำให้เซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพยังคงเกาะอยู่บนผิวชั้นนอก ทำให้หน้าหมองคล้ำและดูเหนื่อยล้า การสครับหน้าจะเข้ามาช่วยเร่งกระบวนการนี้ ให้ผิวสามารถเผยความสดใสได้เร็วขึ้น พร้อมทั้งลดการสะสมของคราบสกปรกและเซลล์ที่ตายแล้วบนผิวหน้า
ปรับโทนสีผิวให้กระจ่างใสขึ้น
การที่ผิวดูหมองหรือไม่เรียบเสมอกันในหลายจุด มักเกิดจากการสะสมของเซลล์ผิวที่ไม่หลุดออกไปตามธรรมชาติ การสครับหน้าจึงช่วยเปิดทางให้ผิวใหม่ที่มีความเรียบเนียนและสดใสเผยออกมาแทนที่ ส่งผลให้สีผิวดูสม่ำเสมอขึ้น ผิวหน้าจึงดูสว่างขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องสำอางช่วยปกปิด
ช่วยให้ผิวเรียบเนียนและลดรอยต่าง ๆ
เมื่อขจัดเซลล์ผิวที่แห้งหรือหยาบกร้านออกไปแล้ว สิ่งที่สัมผัสได้ทันทีคือความเรียบเนียนของผิวหน้า โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหารอยสิว จุดด่างดำ หรือผิวไม่สม่ำเสมอ การสครับอย่างต่อเนื่องจะช่วยลดเลือนร่องรอยเหล่านั้น ทำให้ใบหน้าดูเรียบมากขึ้น และแต่งหน้าได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
ลดการอุดตันของรูขุมขนและปัญหาสิว
หนึ่งในต้นเหตุของ สิว คือการที่รูขุมขนถูกปิดกั้นจากสิ่งสกปรก น้ำมัน หรือคราบเครื่องสำอางที่สะสมอยู่นานวัน การสครับหน้าจะช่วยกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้รูขุมขนเปิดโล่ง ลดการอุดตัน และทำให้โอกาสการเกิดสิวลดลง พร้อมทั้งทำให้ผิวหน้ามันน้อยลงและรูขุมขนดูกระชับขึ้นด้วย
เพิ่มประสิทธิภาพของครีมบำรุงผิว
การใช้สกินแคร์ในช่วงที่ผิวยังมีเซลล์เสื่อมสภาพเกาะอยู่ อาจทำให้สารบำรุงไม่สามารถซึมลงสู่ผิวได้อย่างล้ำลึกเท่าที่ควร การสครับหน้าจะช่วยเปิดทางให้รูขุมขนรับการบำรุงได้เต็มที่มากขึ้น หลังจากสครับ ผิวจะดูดซับครีมหรือเซรั่มได้ดีกว่าเดิม ทำให้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เห็นผลได้ไวขึ้นอย่างชัดเจน
กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว
ในระหว่างการสครับหน้าซึ่งมีการนวดเบา ๆ บนผิว จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดใต้ผิวหนัง และเมื่อทำเป็นประจำจะช่วยส่งสัญญาณให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ซึ่งคอลลาเจนคือโปรตีนที่สำคัญต่อความยืดหยุ่นและความกระชับของผิวหน้า เมื่อมีมากพอ ผิวจะดูอ่อนเยาว์ เรียบตึง และลดโอกาสเกิดริ้วรอยก่อนวัย
ส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดและการระบายน้ำเหลือง
การนวดวนขณะสครับหน้าช่วยให้เลือดในบริเวณใบหน้าไหลเวียนดีขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อผิวในระยะยาว ผิวจะดูมีเลือดฝาด เปล่งปลั่งจากภายใน และช่วยให้ผิวได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นระบบน้ำเหลืองให้ทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยลดการบวมน้ำ ลดของเสียใต้ผิว และเสริมให้ผิวดูสุขภาพดีขึ้นเรื่อย ๆ
ข้อดี–ข้อเสียของการสครับหน้า มีอะไรบ้าง?
การสครับหน้ามีประโยชน์หลายด้านต่อสุขภาพผิวในระยะยาว อย่างไรก็ตามหากทำไม่ถูกวิธีหรือเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิวอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้เช่นกัน โดยมีข้อดีข้อเสียดังนี้
ข้อดีของการสครับหน้า
- ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและสดใสขึ้น เพราะเซลล์ผิวที่ตายแล้วหรือหมองคล้ำถูกกำจัดออกไป เผยให้เห็นผิวชั้นใหม่ที่ดูสดใสและเนียนนุ่มกว่าเดิม
- กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ เพราะการผลัดเซลล์ผิวช่วยเร่งกระบวนการฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติ ทำให้เกิดเซลล์ผิวใหม่ที่แข็งแรงและมีสุขภาพดีมากขึ้น
- ลดความหมองคล้ำและจุดด่างดำ เมื่อเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพถูกขจัดออกไปอย่างสม่ำเสมอ สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ รอยดำจากสิว หรือจุดด่างต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ จางลง
- เสริมประสิทธิภาพของสกินแคร์ เมื่อผิวสะอาด และไม่มีสิ่งตกค้างจะสามารถดูดซึมสารบำรุงจากครีมหรือเซรั่มได้ดีขึ้นมาก
- สามารถทำได้เองที่บ้าน สามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และทำตามคำแนะนำอย่างถูกต้อง ก็สามารถดูแลผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง
ข้อเสียของการสครับหน้า
- อาจทำให้ผิวบางลง ถ้าใช้สครับที่มีความหยาบเกินไป หรือมีสารเคมีรุนแรง อาจทำให้ผิวสูญเสียความแข็งแรง ผิวบางลง และอ่อนแอต่อการระคายเคือง
- เสี่ยงต่อการระคายเคืองหากถูแรงหรือบ่อยเกินไป เพราะผิวหน้ามีความบอบบางกว่าผิวกาย การขัดด้วยแรงมือที่มากเกินไป หรือสครับบ่อยเกินความจำเป็น อาจทำให้เกิดรอยแดง แสบ หรืออักเสบได้ง่าย
- ผิวอาจไวต่อแสงมากขึ้น เมื่อผิวถูกผลัดเซลล์แล้วจะไวต่อแสงแดดกว่าปกติ หากไม่มีการป้องกันที่เพียงพอ ผิวที่อาจถูกทำร้ายจากรังสี UV ได้ง่าย
- ต้องเลือกสูตรให้เหมาะกับสภาพผิว เพราะผิวมีหลายประเภท และต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน หากเลือกสูตรผิดประเภทอาจไม่เห็นผล หรืออาจทำให้เกิดอาการแพ้เป็นสิวเพิ่มขึ้นได้
สครับหน้าเหมาะกับใคร?
แม้การสครับหน้าจะมีหลายคนมองว่าเป็นการดูแลผิวที่ง่ายและทำได้ด้วยตนเอง แต่ความจริงแล้วการสครับผิวหน้าไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับทุกคน และหากทำโดยไม่เข้าใจสภาพผิวตัวเองอาจทำให้ผิวเสียสมดุลหรือเกิดการระคายเคืองตามมาได้ โดยคนที่เหมาะกับการสครับหน้ามีดังนี้
- ผิวที่มีการสะสมของเซลล์ผิวเก่า เพราะการผลัดเซลล์ผิวตามปกติของร่างกายทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้เซลล์ผิวเก่ายังคงลงเหลือตกค้างอยู่บนผิวหน้า
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำและรูขุมขนกว้าง เพราะมีสิ่งสกปรกตกค้างอยู่บนผิวทำให้เข้าไปอุดตันในรูขุมขน และยังทำให้ผิวสดูไม่สดใสหมองคล้ำ
- ผู้ที่ต้องการให้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวซึมซาบได้ดีขึ้น รู้สึกว่าใช้ครีมหรือ เซรั่มแล้วไม่เห็นผลแม้จะใช้มาอย่างต่อเนื่องแต่ผิวก็ไม่ได้ดีขึ้น
ใครที่ไม่ควรสครับหน้า หรือควรหลีกเลี่ยงชั่วคราว?
แม้ว่าการสครับหน้าจะเป็นวิธีดูแลผิวที่หลายคนเลือกใช้เพื่อขจัดเซลล์ผิวเก่า กระตุ้นการสร้างผิวใหม่ และเพิ่มประสิทธิภาพของการบำรุง แต่บางสภาพผิวการสครับอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดีได้ โดยคนที่ไม่ควรสครับหน้ามีดังนี้
- ผู้ที่มีปัญหาสิวอักเสบ ผิวอักเสบ หรือผิวติดสเตียรอยด์ เพราะผิวหน้ากำลังเกิดการอักเสบอย่างชัดเจน เมื่อสครับหน้าจะไม่ได้ช่วยให้ปัญหาสิวหายไป แต่จะทำให้ผิวอักเสบยิ่งขึ้น หากต้องการสครับหน้าควรเลือกใช้สครับที่มีความอ่อนโยนมากๆ
- ผู้ที่มีผิวบาง หรือมีเส้นเลือดฝอยใต้ผิวให้เห็นชัด เพราะผิวประเภทนี้มีความไวต่อการเสียดสีสูง หากใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเม็ดสครับหยาบ หรือถูแรงเกินไป อาจทำให้ผิวเกิดการอักเสบ หรือเส้นเลือดฝอยแตกซ้ำได้ง่าย ควรใช้สครับที่อ่อนโยน หรือดูแลผิวให้แข็งแรงก่อน
- ผู้ที่เพิ่งทำเลเซอร์ หรือรับการทรีตเมนต์ลอกผิว เพราะผิวจะอยู่ในภาวะที่บอบบาง และไวต่อการระคายเคืองมากเป็นพิเศษ การสครับในช่วงนี้อาจไปรบกวนกระบวนการฟื้นฟูผิว และทำให้เกิดอาการลอก แดง หรือเจ็บแสบตามมาได้
- ผู้ที่ใช้กรดบำรุงผิวในระดับเข้มข้น เพราะผลิตภัณฑ์บำรุงผิวประเภทที่มีส่วนผสมของกรดเข้มข้น เช่น เรตินอล (Retinol), กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) จะมีฤทธิ์ในการผลัดเซลล์ผิวอยู่แล้ว ถ้าสครับหน้าด้วยอาจทำให้ผิวเกิดภาวะระคายเคืองรุนแรง
สครับหน้าแบบไหนเหมาะกับผิวแต่ละประเภท?
ผลิตภัณฑ์สครับหน้ามีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะเหมาะกับสภาพผิวที่แตกต่างกันออกไป โดยแบ่งออกได้หลัก ๆ ดังนี้
สครับหน้าแบบเม็ด (Physical Scrub)
สครับหน้าแบบเม็ดเป็นสครับที่มีเม็ด หรือผงขัดละเอียด เช่น เม็ดแอปริคอต เปลือกวอลนัท เกลือ หรือน้ำตาล ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วผ่านการนวดวนเบา ๆ บนผิวหน้า เหมาะกับคนที่ผิวมัน ผิวผสม ผิวปกติ แต่ควรระวังไม่ใช้แรงมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดรอยหรือการอักเสบได้
สครับหน้าแบบเคมี (Chemical Exfoliant)
สครับหน้าแบบเคมี เป็นการใช้กรดอ่อนๆ เช่น AHA (Lactic Acid, Glycolic Acid) PHA (Polyhydroxy Acid) หรือ BHA (Salicylic Acid) เพื่อสลายสิ่งสกปรกและเซลล์ผิวเก่าทางเคมีโดยไม่ต้องถูสัมผัสผิวโดยตรง เหมาะกับคน ผิวแพ้ง่าย หรือมีปัญหาสิว เพราะไม่ทำให้เกิดการเสียดสี
สครับหน้าแบบเอนไซม์ (Enzyme Exfoliant)
สครับหน้าแบบเอนไซม์เป็นการใช้เอนไซม์จากผลไม้ เช่น มะละกอ สับปะรด หรือฟักทอง มาทำหน้าที่ย่อยสลายเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกอย่างอ่อนโยน เหมาะกับผิวที่บอบบางมากหรือมีปัญหาระคายเคืองบ่อย
วิธีใช้สครับหน้าอย่างถูกต้อง
การสครับหน้าเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ผิวหน้าสะอาดล้ำลึก ขจัดเซลล์ผิวเก่าที่สะสม แต่ก่อนที่จะสครับผิว ควรรู้จักสภาพผิวของตัวเองให้ดีก่อนว่าเป็นผิวประเภทไหน เช่น ผิวมัน ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย หรือผิวผสม เพราะจะช่วยให้คุณเลือกสครับได้เหมาะสม ที่ไม่แรงเกินไป และไม่อ่อนเกินจนไม่เห็นผล และหลังจากเลือกสครับได้แล้วก็ควรสครับด้วยวิธีที่ถูกต้องดังนี้
- ล้างหน้าให้สะอาดก่อนทุกครั้ง ทำความสะอาดใบหน้าด้วยคลีนเซอร์ หรือโฟมล้างหน้าที่คุณใช้เป็นประจำ เพื่อไม่ให้สิ่งสกปรกเหล่านั้นเสียดสี และทำร้ายผิวระหว่างขั้นตอน
- ใช้สครับในปริมาณที่เหมาะสม บีบสครับลงบนปลายนิ้วในปริมาณพอดีไม่มากหรือน้อยเกินไป แล้วแต้มเบาๆ ลงบนบริเวณหน้าผาก แก้ม จมูก และคาง จากนั้นเริ่มนวดให้ทั่วใบหน้า
- นวดเบา ๆ เป็นวงกลมโดยใช้ปลายนิ้ว ใช้ปลายนิ้วนวดเบาๆ เป็นวงกลมเล็กๆ โดยเน้นบริเวณที่มีการสะสมของเซลล์ผิวหรือความมัน เช่น บริเวณ T-Zone หลีกเลี่ยงการขัดแรงเพราะอาจทำให้ผิวระคายเคือง หรือเกิดการลอกเป็นขุยได้
- ล้างออกด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเย็น หลังจากนวดสครับทั่วใบหน้าแล้ว ให้ใช้น้ำสะอาดหรือน้ำเย็นล้างหน้าให้สะอาด เพื่อปิดรูขุมขนและลดการระคายเคือง และล้างออกจนแน่ใจว่าไม่มีเศษผลิตภัณฑ์ตกค้างอยู่บนผิว
- ซับผิวหน้าเบาๆ และบำรุงทันที ใช้ผ้าขนหนูซับหน้าจนแห้ง จากนั้นให้ลงครีมบำรุงหรือเซรั่มทันทีในขณะที่ผิวยังชุ่มชื้น เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ซึมลึกและทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
- ทากันแดดและเลี่ยงแสงแดดโดยตรง หลังสครับผิวจะบอบบางและไวต่อแสงแดดมากกว่าปกติ ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน และหลีกเลี่ยงแสงแดด เพื่อป้องกันผิวคล้ำเสียหรือเกิดการระคายเคือง
- เลือกเวลาทำในการสครับผิวหน้า แนะนำให้ทำในช่วงเย็น หรือตอนกลางคืน เพราะเมื่อสครับหน้าเสร็จ ผิวจะได้มีเวลาพัก และไม่ต้องเผชิญแสงแดดหรือมลภาวะในทันที ทำให้ผิวได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ก่อนเริ่มวันใหม่
สครับหน้ากี่ครั้งต่อสัปดาห์ถึงจะดี?
ควรสครับหน้าบ่อยแค่ไหนจึงจะเห็นผล ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งประเภทผิว ลักษณะของสครับที่ใช้ และการตอบสนองของผิวแต่ละคน โดยแต่ละผิวเหมาะกับความถี่ต่างกันดังนี้
- ผิวมันและผิวธรรมดา ควรสครับ 1 – 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เพราะผิวประเภทนี้มักมีการสะสมของความมัน สิ่งสกปรก และเซลล์ผิวที่ตายแล้วอยู่มาก หลังสครับจะช่วยลดความมันส่วนเกิน ป้องกันการเกิดสิว และช่วยให้ผิวดูสดใสขึ้น
- ผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย ควรสครับ 1 ครั้งต่อ 10 – 14 วัน เพราะผิวประเภทนี้มีแนวโน้มขาดความชุ่มชื้นและฟื้นตัวช้า หากสครับบ่อยเกินไปจะยิ่งทำให้ผิวแห้งตึงและเกิดอาการลอกเป็นขุยได้ง่าย
- ผิวที่มีแนวโน้มเป็นสิว ควรสครับ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ เพราะสครับสามารถช่วยขจัดสิ่งอุดตันในรูขุมขนได้ แต่ก็ต้องทำด้วยความระวัง ควรหยุดการสครับทันทีหากสิวเริ่มมีอาการอักเสบ หรือผิวรู้สึกแสบ คัน แดงหลังการใช้
และสิ่งที่ไม่ควรทำเลยคือการสครับผิวทุกวัน เพราะการขัดผิวบ่อยเกินไปจะทำให้เกราะป้องกันผิวถูกทำลาย ส่งผลให้ผิวแห้ง อ่อนแอ และไวต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเผชิญกับแสงแดด มลภาวะ หรือมีการใช้กรดบำรุงผิวอื่น ๆ อยู่แล้ว
เข้าใจผิดเกี่ยวกับการสครับหน้าที่ควรเลี่ยง
บางครั้งความรู้เรื่องการสครับหน้าบางเรื่องเป็นความเข้าใจผิด ซึ่งถ้าทำตามแล้วอาจทำให้ผิวแห้งเสีย เกิดผิวอักเสบได้ ซึ่งความเรื่องเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับการสครับผิวมีดังนี้
- ยิ่งสครับบ่อย ผิวจะยิ่งขาวใส การสครับบ่อยเกินความจำเป็นทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น และเกราะป้องกันธรรมชาติของผิวถูกทำลายลง เมื่อผิวบางลงจะไวต่อสิ่งกระตุ้นภายนอกมากขึ้น ทั้งแสงแดด มลภาวะ และสารเคมีจากผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ใช้ร่วมกัน
- ต้องสครับผิวแรงๆ ถึงจะสะอาด เพราะคิดว่าจะช่วยให้คราบสกปรกหรือเซลล์ผิวเก่าหลุดออกได้ดีขึ้น แต่จริงๆ แล้วเป็นการทำร้ายผิวโดยตรง หากใช้แรงมากเกินไปอาจเกิดการถลอก ระคายเคือง หรือแม้แต่เส้นเลือดฝอยใต้ผิวแตกได้
- สครับผิวแล้วไม่ต้องลงครีมบำรุง เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะหลังจากสครับผิวจะเปิดรับสารบำรุงต่างๆ ได้ดี จึงควรทาครีมบำรุง เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า และเพิ่มความแข็งแรงให้กับเกราะป้องกันผิว
- สครับผิวกายนำมาใช้กับผิวหน้าได้ เพราะสครับสำหรับผิวกายจะมีเนื้อที่หยาบกว่าสครับผิวหน้าเพื่อให้ขจัดเซลล์ผิวที่หนาแน่นบนร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้านำมาใช้กับผิวหน้าอาจเกิดการเสียดสีที่รุนแรงเกินไป ทำให้ผิวหน้าบางลง และอาจเกิดการระคายเคืองได้ง่าย
สครับหน้ากับขัดหน้า ต่างกันอย่างไร?
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าสครับผิวหน้า และการขัดหน้ามีความแตกต่างกันอย่างไร จึงขอเปรียบเทียบให้ดูเป็นตารางดังนี้
สครับหน้า | ขัดหน้า | |
---|---|---|
ลักษณะของเนื้อสัมผัส | เม็ดสครับขนาดเล็ก เนื้อเนียน หรือใช้กรดผลไม้ชนิดอ่อน | เม็ดสครับหยาบ หรือใช้เครื่องที่มีแรงขัดสูง |
ความอ่อนโยนต่อผิว | ค่อนข้างอ่อนโยนกับผิว | รุนแรงต่อผิวมากกว่า ถ้าใช้แรงขัดสูง |
สถานที่ทำ | สามารถทำเองที่บ้านได้โดยง่าย | ต้องทำที่สปาหรือคลินิกโดยผู้เชี่ยวชาญดูแล |
ความถี่ในการทำ | ทำได้สัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง ตามสภาพผิว | ควรเว้นช่วงห่างประมาณ1 ครั้งต่อ 2 – 3 สัปดาห์ |
กลุ่มผู้ใช้ที่เหมาะสม | ทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวมัน ผิวหมองคล้ำ | เหมาะกับผู้ที่ไม่มีปัญหาผิวแพ้ง่าย หรือมีผิวแข็งแรง |
ระดับการควบคุมความแรง | ควบคุมเองได้ง่าย ขึ้นอยู่กับแรงมือนวด | ต้องอาศัยผู้ทำที่มีความชำนาญ เพื่อควบคุมระดับการขัด |
ผลลัพธ์หลังทำทันที | ผิวรู้สึกนุ่มและสะอาดขึ้นเล็กน้อย | ผิวอาจดูกระจ่างใสขึ้นทันที แต่ก็อาจรู้สึกตึงหรือแดงได้ |
สครับหน้าควรทำช่วงไหน
สครับหน้าควรทำในช่วงเย็นหรือเวลากลางคืนเพื่อให้ผิวได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ และควรทาครีมกันแดดทุกวันหลังสครับ เพราะผิวจะไวต่อแสงมากขึ้น และควรหลีกเลี่ยงการสครับในช่วงหน้าร้อนหรือก่อนออกแดดจัด เนื่องจากอาจทำให้ผิวระคายเคืองหรือเกิดฝ้าได้ง่าย นอกจากนี้ไม่ควรสครับในช่วงที่ผิวบอบบาง เช่น หลังทำเลเซอร์ ลอกผิว หรือใช้กรดผลัดเซลล์ เพราะอาจทำให้ผิวบางลงหรือเกิดการอักเสบตามมาได้
สครับหน้าที่คลินิกกับทำเองที่บ้านต่างกันอย่างไร?
การสครับหน้าสามารถทำได้ทั้งที่บ้านด้วยตัวเอง หรือทำที่คลินิกด้วยผู้เชี่ยวชาญได้ ซึ่งมีความแตกต่างกันอยู่ ถ้าหากสครับหน้าที่บ้านสามารถเลือกสครับแบบที่ชอบได้ ไม่ต้องจ่ายราคาแพง หรือต้องเดินทางไปที่อื่น แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง และเลือกสครับให้เหมาะกับผิวถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ดี
ส่วนการสครับที่คลินิกจะมีผู้เชี่ยวชาญทำให้ เลือกสครับที่เหมาะสมกับสภาพผิว การลงแรงสครับที่พอเหมาะกับผิวและมักเห็นผลได้ดีกว่าการสครับผิวหน้าที่บ้านเอง แต่ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงกว่าทำด้วยตัวเองค่ะ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการสครับหน้า (FAQ)
Q: สครับผิวกับการมาสก์ผิวต่างกันอย่างไร?
A: สครับผิวคือการผลัดเซลล์ผิวเก่าด้วยการขัดหรือลอก เพื่อเผยผิวใหม่ที่เรียบเนียนขึ้น ส่วนมาสก์ผิวคือการเติมสารบำรุงลงสู่ผิวเพื่อฟื้นฟูและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
Q: สครับหน้าช่วงเป็นสิวได้ไหม?
A: ไม่ควรสครับหน้าขณะเป็น สิวอักเสบ เพราะอาจกระตุ้นให้สิวลุกลามและผิวระคายเคืองมากขึ้น ควรรอให้สิวหาย หรือใช้สครับหน้าที่อ่อนโยน
Q: ใช้โทนเนอร์ที่มีกรด BHA แล้ว ยังต้องสครับหน้าอีกไหม?
A: ไม่จำเป็นต้องสครับเพิ่ม เพราะ BHA จะช่วยผลัดเซลล์ผิวอยู่แล้วควรเลือกทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
Q: หลังสครับหน้าแล้วควรเว้นช่วงก่อนแต่งหน้าหรือไม่?
A: ควรเว้นช่วงหลังสครับหน้าอย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนแต่งหน้า เพื่อให้ผิวได้ฟื้นตัวและลดโอกาสระคายเคือง
Q: สครับหน้าแล้วรู้สึกแสบผิว เป็นเรื่องปกติไหม?
A: ไม่ใช่เรื่องปกติ อาจเกิดจากการขัดแรงเกินไปหรือใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะกับผิว ควรหยุดใช้และสังเกตอาการ
Q: ใช้สครับแบบเดียวกับผิวกายมาใช้บนใบหน้าได้หรือไม่?
A: ไม่ควรใช้ เพราะเนื้อสครับสำหรับผิวกายค่อนข้างหยาบ และเม็ดใหญ่ อาจทำร้ายผิวหน้าที่บอบบางได้
Q: มีรอยดำจากสิว ใช้สครับหน้าแล้วจะจางลงไหม?
A: สามารถช่วยให้รอยดำจากสิวจางลงได้ถ้าสครับอย่างสม่ำเสมอ เพราะสครับช่วยผลัดเซลล์ผิวและกระตุ้นการสร้างผิวใหม่ แต่ต้องทากันแดดเพื่อปกป้องผิวด้วย
Q: สครับหน้าทุกวันได้ไหมถ้าใช้แบบอ่อนโยน?
A: แม้จะเป็นสูตรอ่อนโยนก็ไม่ควรสครับหน้าทุกวัน เพราะอาจทำให้ผิวบางและระคายเคืองได้ ควรสครับหน้า 1–2 ครั้งต่อสัปดาห์
Q: สครับหน้าหลังออกแดดได้หรือไม่?
A: ไม่ควรสครับหน้าหลังออกแดดทันที เพราะผิวอยู่ในภาวะไวต่อการระคายเคือง ควรรอให้ผิวฟื้นตัวก่อน
Q: มีวิธีธรรมชาติสำหรับสครับหน้าหรือไม่?
A: มีหลายวิธี เช่น การใช้โยเกิร์ตผสมข้าวโอ๊ต หรือน้ำผึ้งผสมผงกาแฟ ซึ่งช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยนตามธรรมชาติ
สรุป
การสครับหน้าช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพหลุดออกไปจากผิวได้เร็วขึ้น แต่ต้องเลือกให้เหมาะกับสภาพผิว เช่น ถ้ามีผิวแพ้ง่ายไม่ควรเลือกสครับที่มีเม็ดใหญ่ หรือหยาบมากๆ จะเหมาะกับการใช้ครับแบบเอนไซม์ที่อ่อนโยน และการสครับผิวไม่ควรที่จะทำทุกวันเพราะจะทำให้สภาพผิวแย่ขึ้นกว่าเดิม เกิดอาการอักเสบ เกราะป้องกันผิวบางลงได้ หากใครที่รู้สึกว่าผิวหน้าหมองคล้ำ ต้องการผลัดเซลล์ผิว ปรับสภาพผิวให้กระจ่างใสขึ้น สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ Vincent Clinic Aesthetic โดยจะมีแพทย์ที่มีประสบการณ์คอยให้คำแนะนำที่เหมาะกับสภาพผิวของคนไข้ค่ะ