ผลัดเซลล์ผิวหน้าเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยปรับให้ผิวกระจ่างใส ผิวเรียบเนียน ซึ่งหลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้ และรู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องทำ หรือบางคนรู้สึกกลัว เพราะคิดว่าการผลัดเซลล์ผิวหน้าอันตราย แต่จริงๆ แล้วจะช่วยปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น สารบำรุงลงสู่ผิวได้ดีขึ้น ในบทความนี้ Vincent Clinic Aesthetic จะพามารู้จักเกี่ยวกับการผลัดเซลล์ผิวว่ามีวิธีไหนบ้าง และควรเลือกใช้วิธีไหนให้เหมาะกับสภาพผิวหน้า ไม่อันตรายกับผิวค่ะ
Key Takeaway
- การผลัดเซลล์ผิวหน้า คือกระบวนการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก เพื่อให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทน ส่งผลให้ผิวดูสว่าง เรียบเนียน และสุขภาพดีขึ้น
- ผลัดเซลล์ผิวช่วยลดการอุดตันรูขุมขน ลดสิว จุดด่างดำจางลง สีผิวสม่ำเสมอขึ้น ผิวดูเปล่งปลั่ง และทำให้สารบำรุงซึมลงผิวได้ดีขึ้น
- วิธีการผลัดเซลล์ผิวมีหลายรูปแบบ เช่น กรดผลัดผิว (AHA, BHA, PHA), สครับ, เลเซอร์, ทรีตเมนต์ และเรตินอล ควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผิว เช่น ผิวแห้งใช้ AHA, ผิวมันใช้ BHA, ผิวแพ้ง่ายใช้ PHA
- ไม่ควรผลัดเซลล์ผิวถี่เกินไป เริ่มจากความถี่น้อย เช่น สัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง แล้วค่อยเพิ่มเมื่อผิวเริ่มปรับตัวได้ เพื่อลดโอกาสเกิดอาการลอก แดง หรือระคายเคือง
- หลังผลัดเซลล์ผิวต้องดูแลเป็นพิเศษ เช่น ใช้ผลิตภัณฑ์อ่อนโยน เติมความชุ่มชื้น หลีกเลี่ยงแดด และหยุดใช้สารที่ระคายเคืองในช่วง 3–5 วันแรก
- ผลัดเซลล์ผิวที่คลินิกเห็นผลไว แม่นยำกว่า เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวชัดเจน แต่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า ส่วนการทำที่บ้านเหมาะกับการดูแลทั่วไป ต้องใช้ต่อเนื่องจึงจะเห็นผล
- การผลัดเซลล์ผิวผิดวิธีอาจทำให้หน้าบาง ไวต่อแดด ระคายเคือง หรือเกิดรอยแผลเป็นได้ หากมีผิวบอบบางหรือสิวอักเสบ ควรหลีกเลี่ยงการผลัดผิวที่รุนแรง
ผลัดเซลล์ผิวหน้าคืออะไร?
การผลัดเซลล์ผิวหน้า คือ กระบวนการที่ผิวหนังของเราทำการลอกหรือขจัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพออกไปจากชั้นบนสุดของผิวหนัง หรือที่เรียกว่าชั้นหนังกำพร้า เพื่อให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทนทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส รอยจุดด่างดำต่างๆ ลดลง โดยร่างกายจะผลัดเซลล์ผิวเองตามธรรมชาติทุกๆ 28 วัน โดยจะเริ่มจากชั้นลึกของผิวหนัง จากนั้นเซลล์ผิวใหม่จะค่อยๆ ดันตัวเองมาจนถึงผิวชั้นบนสุดทดแทนเซลล์ผิวเก่า จากนั้นเมื่อเซลล์ผิวใหม่เริ่มเสื่อม จะหลุดออกไปเองในรูปแบบเศษผิวแห้งลอก หรือขี้ไคล
แต่บางคนร่างกายอาจผลัดเซลล์ผิวช้ากว่าปกติ เนื่องจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งจากสภาพอากาศ มลภาวะ ฝุ่นที่ต้องเจอในทุกๆ วัน หรือการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ เครียดบ่อยๆ ทำให้จากปกติที่ร่างกายผลัดเซลล์ผิวทุกๆ 28 วัน เปลี่ยนไปเป็น 45 วัน หรือนานกว่านี้ได้ ซึ่งทำให้ ใบหน้าดูหมองคล้ำ ดูโทรมไม่สดใส จุดด่างดำบนผิวจางลงได้ยาก รูขุมขนอาจอุดตัน และมีปัญหาสิวตามมาค่ะ
ผลัดเซลล์ผิวช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
การผลัดเซลล์ผิวเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูและยกระดับสุขภาพผิวในหลากหลายมิติ การขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออกไปจากชั้นผิวหนังชั้นบนสุด ทำให้เกิดพื้นที่สำหรับเซลล์ผิวใหม่ที่สดใสขึ้นมาแทนที่ ซึ่งผลลัพธ์ของกระบวนการนี้ส่งผลต่อผิวหลายอย่าง เช่น
ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน
เมื่อเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วไม่สามารถหลุดลอกออกไปตามธรรมชาติได้ จะไปผสมรวมกับน้ำมันและสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนผิว จนเกิดเป็นการอุดตันในรูขุมขน ทำให้เกิดปัญหาผิวต่างๆ เช่น สิวอุดตัน สิวอักเสบ การผลัดเซลล์ผิวช่วยเปิดทางให้รูขุมขนสะอาดขึ้น ลดการสะสมของสิ่งตกค้าง และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดสิวได้
ฟื้นฟูผิวให้ดูสดใส
ผิวที่มีเซลล์เสื่อมสภาพสะสมอยู่จะดูหมองคล้ำ ขาดความกระจ่างใส การผลัดเซลล์ผิวจะช่วยให้ผิวใหม่ดูเปล่งประกาย สดใส และมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น รวมถึงผิวหน้าจะดูสม่ำเสมอมากขึ้น สีผิวดูเรียบเนียน และยังช่วยให้เมคอัพติดทนได้ดีขึ้นด้วย
กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ
กระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่จะช่วยกระตุ้นการทำงานของผิวชั้นในให้มีการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินมากขึ้น ทำให้ผิวดูเต่งตึง ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอย เมื่อผลัดผิวเป็นประจำผิวจะแข็งแรงขึ้นและไม่หย่อนคล้อยง่ายตามวัย
ปรับผิวให้เรียบเนียนสม่ำเสมอ
การสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้วทำให้พื้นผิวไม่สม่ำเสมอและหยาบกร้าน การผลัดเซลล์จะช่วยให้ชั้นผิวใหม่ที่อ่อนนุ่มและละเอียดขึ้นมาแทน ช่วยให้สัมผัสของผิวรู้สึกลื่นมือ ลดความขรุขระ รูขุมขนเล็กลง และเสริมสร้างผิวที่ดูสุขภาพดียิ่งขึ้น
ช่วยให้สกินแคร์ทำงานได้ดีขึ้น
การที่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง อาจเกิดจากการที่มีชั้นผิวเก่าปิดกั้นไม่ให้สารบำรุงซึมลงสู่ผิวได้อย่างล้ำลึก เมื่อมีการผลัดเซลล์ผิวอย่างเหมาะสม ผิวหน้าจะสะอาดและเปิดรับสารบำรุงเต็มที่มากขึ้น ทำให้สกินแคร์ต่างๆ ซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างลึกและรวดเร็ว จึงได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนกว่าเดิม
ลดเลือนจุดด่างดำและรอยสิว
รอยดำจากสิวหรือ จุดด่างดำ ที่เกิดจากแสงแดดมักฝังอยู่ในชั้นผิวที่ตื้น การผลัดเซลล์ผิวช่วยเร่งให้เซลล์ผิวใหม่ที่มีสีผิวสม่ำเสมอขึ้นมาทดแทน จึงช่วยให้รอยเหล่านั้นค่อยๆ จางลงตามเวลา ส่งผลให้สีผิวดูเรียบเนียน สีผิวสม่ำเสมอมากขึ้น
ปัญหาผิวแบบไหนที่ควรผลัดเซลล์?
แม้การผลัดเซลล์ผิวจะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของร่างกาย แต่ในชีวิตประจำวัน ปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น แสงแดด มลภาวะ การแต่งหน้า หรือการดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม อาจรบกวนวงจรการผลัดเซลล์ตามธรรมชาติจนทำให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วสะสมอยู่บนผิวเป็นเวลานาน การช่วยกระตุ้นให้เซลล์เก่าเหล่านั้นหลุดออกอย่างเหมาะสมจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญ โดยปัญหาผิวที่เหมาะกับการผลัดเซลล์ผิวมีดังนี้
- ผิวหมองคล้ำและสีผิวไม่สม่ำเสมอ ที่จากการสะสมของเซลล์ผิวเก่าบนผิวทำซ้อนกัน เซลล์ผิวไม่ผลัดเองตามธรรมชาติ ทำให้ใบหน้าดูหม่นหมอง ขาดความเปล่งปลัง ไม่สดใส
- ผู้ที่มีสิวเสี้ยนหรือสิวอุดตัน เป็นปัญหาที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน เพราะเซลล์ผิวที่ตายแล้วรวมตัวกับน้ำมันส่วนเกินทำให้รูขุมขนอุดตัน สิ่งสกปรกสะสมบนผิวหน้าจนเกิดเป็นสิว
- ผิวแห้ง ลอก หรือเป็นขุย เพราะเซลล์ผิวเสื่อมสภาพที่หลุดออกไม่สมบูรณ์ ผิวจึงดูไม่เรียบเนียน และเมื่อแต่งหน้าก็อาจเป็นคราบหรือจับตัวเป็นขุยบนผิว
- ผู้ที่มีรอยดำหรือรอยแดงจากสิว ซึ่งโดยปกติแล้วจะค่อยๆ จางลงได้เอง แต่บางคนอาจใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าปกติมาก เพราะเซลล์ผิวเก่าไม่ยอมผลัด
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้กลับมาดูสดใส รู้สึกว่าผิวหน้าดูหม่นหมอง ขาดชีวิตชีวา หรือแต่งหน้าไม่ติดทน
แต่การผลัดเซลล์ผิวอาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวบาง ผิวแพ้ง่าย หรือมีสิวอักเสบจำนวนมากควรหลีกเลี่ยงการผลัดเซลล์ผิว โดยเฉพาะแบบที่มีการขัดถูรุนแรง เพราะอาจกระตุ้นให้ผิวอักเสบ และทำให้สภาพผิวแย่ลงกว่าเดิม
วิธีผลัดเซลล์ผิวที่นิยมในปัจจุบัน
การผลัดเซลล์ผิวในปัจจุบันมีวิธีทั้งแบบที่สามารถทำได้เองที่บ้าน และแบบที่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในคลินิก หรือสถานพยาบาล โดยแต่ละวิธีมีกลไกการทำงาน ระดับความลึก และความเหมาะสมที่แตกต่างกัน
วิธีผลัดเซลล์ผิว | ลักษณะการทำงาน | จุดเด่น | เหมาะสำหรับผิวประเภทใด |
---|---|---|---|
AHA / BHA / PHA | ใช้กรดอ่อน ๆ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกได้ง่ายขึ้น | ไม่ทำร้ายผิวโดยตรง, ปรับสภาพผิว, กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน | AHA: ผิวแห้ง, หมองคล้ำ
BHA: ผิวมัน, มีสิวอุดตัน PHA: ผิวบอบบาง |
สครับผิว (Physical) | ใช้เม็ดบีด หรืออุปกรณ์เช่นใยบวบขัดโดยตรงบนผิวเพื่อลอกเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ | ผิวนุ่มเรียบขึ้น เซลล์ผิวเก่าๆ ที่เป็นขุยหลุดทันที | ผิวธรรมดา ไม่แพ้ง่าย, ไม่อักเสบ |
ทรีตเมนต์ผลัดผิว | ใช้เครื่องมือหรือผลิตภัณฑ์เฉพาะร่วมกับแรงดูดหรือสารบำรุงในการผลัดผิว | ล้างสิ่งสกปรกลึกถึงรูขุมขน, กระตุ้นการไหลเวียน | ผิวมัน, รูขุมขนกว้าง, ผิวหมองสะสม |
เลเซอร์ผลัดผิว | ใช้พลังงานแสงเลเซอร์กระตุ้นการสร้างผิวใหม่พร้อมขจัดผิวเก่าที่เสื่อมสภาพ | ฟื้นฟูผิวระดับลึก, ลดรอยสิว และจุดด่างดำชัดเจน | ผิวไม่เรียบ, มีรอยสิวลึก, สีผิวไม่สม่ำเสมอ |
Retinoids / Retinol | กระตุ้นการผลัดเซลล์จากระดับผิวลึก พร้อมเร่งการสร้างเซลล์ใหม่และคอลลาเจน | ลดเลือนริ้วรอย, ฟื้นฟูผิวระยะยาว, กระตุ้นผิวลึก | ริ้วรอยเริ่มต้น, รอยสิว, ผู้ที่เคยใช้สารเร่งผลัดผิว |
HydraFacial / Aqua Peel | ใช้น้ำและสารบำรุงร่วมกับแรงดูดอ่อนโยนเพื่อผลัดผิวและทำความสะอาดรูขุมขน | อ่อนโยน, ไม่ระคายเคือง, เติมน้ำสู่ผิวในเวลาเดียวกัน | ผิวแห้ง, แพ้ง่าย, ผิวอ่อนล้า |
Microdermabrasion | เป็นเครื่องมือขัดผิวที่ใช้คริสตัลหรือหัวเพชรขัดเบา ๆ บนผิวเพื่อผลัดเซลล์ | ผลัดผิวชั้นตื้น, ผิวเรียบเนียนขึ้น | ผิวไม่เรียบ, มีจุดด่างดำ, ไม่มีปัญหาอักเสบรุนแรง |
เลือกผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวอย่างไรให้ปลอดภัย?
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก เพราะหากเลือกผิด อาจทำให้ผิวระคายเคือง อ่อนแอลง หรือผิวเสียสมดุลแทนที่จะดีขึ้นได้ และในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวออกมาหลายรูปแบบ ทั้งแบบสครับ กรดผลไม้ และสารออกฤทธิ์อย่างเรตินอล แต่ไม่ใช่ทุกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับทุกคน ควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวที่มี ดังนี้
- ผิวธรรมดา ควรเลือกใช้กรดผลัดเซลล์ผิวเช่น AHA, BHA ในระดับความเข้มข้นปานกลาง และสามารถสครับผิวได้ แต่ไม่ควรทำร่วมกัน เพื่อไม่ให้เกิดการเสียดสีบนผิวเกินความจำเป็น
- ผิวแห้ง ควรเลือกกรดที่ละลายในน้ำได้ดีอย่าง AHA และหลีกเลี่ยงสครับหรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องขัดถู เพราะจะยิ่งทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นมากขึ้น และควรเติมความชุ่มชื้นทุกครั้งหลังผลัดผิว
- ผิวมัน ผิวเป็นสิว ควรใช้ BHA เพราะสามารถเข้าไปในรูขุมขน และช่วยละลายสิ่งที่อุดตันในรูขุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดความมันบนใบหน้าได้
- ผิวแพ้ง่าย ควรใช้สารผลัดเซลล์ผิวที่มีความอ่อนโยน เช่น PHA หรือกรดที่ออกฤทธิ์ช้ากว่ากลุ่ม AHA/BHA และควรทดสอบก่อนใช้เพื่อป้องกันอาการแพ้
และสำหรับคนที่เริ่มใช้สาร หรือกรดผลัดเซลล์ผิวครั้งแรก ควรเริ่มจากสูตรที่มีความเข้มข้นต่ำ โดยเฉพาะสารกลุ่มกรดอย่าง AHA หรือ BHA ควรเลือก AHA ที่มีความเข้มข้นประมาณ 5% และ BHA ที่ไม่เกิน 1% เพื่อสังเกตการตอบสนองของผิว หากไม่มีอาการระคายเคือง ค่อย ๆ เพิ่มความถี่หรือเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นสูงขึ้นในภายหลัง รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้สารหลายชนิดในวันเดียวกัน เพราะจะทำให้ผิวอักเสบหรืออ่อนแอลง ควรสลับใช้ระหว่างวัน หรือแยกใช้เป็นช่วงเช้า-เย็น แทนค่ะ
ต้องทำบ่อยแค่ไหนถึงจะเห็นผล?
ความถี่ในการผลัดเซลล์ผิวจะขึ้นอยู่กับวิธีที่เลือกใช้ และสภาพผิวของแต่ละคน หากทำอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ผิวกระจ่างใส เรียบเนียนขึ้นโดยไม่ระคายเคืองหรือทำให้ผิวบางลง โดยสำหรับผู้ที่เริ่มต้น ควรเริ่มจากน้อย แล้วปรับเพิ่มตามการตอบสนองของผิว รวมถึงควรสังเกตอาการผิดปกติ เช่น แสบ แดง หรือแห้งลอก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าควรลดความถี่หรือหยุดพัก และความถี่ของวิธีที่ใช้ต่างกันดังนี้
- สครับขัดผิว ควรทำสัปดาห์ละ 1 ครั้งสำหรับผิวแห้งหรือบอบบาง และไม่เกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์สำหรับผิวมัน หรือธรรมดา หากทำต่อเนื่องจะเริ่มเห็นความสม่ำเสมอของผิวและลดขุยแห้งภายใน 2 – 3 สัปดาห์
- กรดผลัดผิว (AHA/BHA/PHA) ควรใช้สัปดาห์ละ 1–2 ครั้งในช่วงแรก แล้วจึงเพิ่มความถี่หากผิวเริ่มชินต่อกรดได้แล้ว โดยผิวจะค่อยๆ กระจ่างใสขึ้น รอยสิวลดลง หลังจากใช้ประมาณ 2 – 6 สัปดาห์
- เรตินอล ควรใช้สัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง แต่ค่อยๆ เพิ่มความถี่เป็นวันเว้นวัน ไปจนถึงทุกวันหากผิวชินกับสารแล้ว จะเห็นผลชัดเจนในเรื่องผิวเรียบเนียน รอยสิวลดลง และสีผิวดูสม่ำเสมอในช่วง 6 – 8 สัปดาห์
- ทรีตเมนต์ ควรทำทุก 2 – 4 สัปดาห์ แล้วแต่สภาพผิวและสูตรที่ใช้ หากทำต่อเนื่องเดือนละ 1 ครั้ง จะเห็นผิวเรียบเนียน รูขุมขนดูเล็กลงใน 1–2 เดือน
- เลเซอร์ผลัดผิว ควรทำทุก 4 – 6 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับเลเซอร์ที่เลือกใช้ โดยจะเห็นการเปลี่ยนแปลงผิวกระจ่างใส สีผิวเรียบเนียน และรอยสิวลดลงใน 1 – 2 ครั้งแรก เพื่อผลลัพธ์ต่อเนื่องควรทำประมาณ 3 –4 ครั้งขึ้นไป
การดูแลหลังผลัดเซลล์ผิวต้องทำอย่างไร?
หลังการผลัดเซลล์ผิว ผิวจะอยู่ในช่วงที่บอบบางกว่าปกติ แม้จะเป็นเพียงการผลัดผิวแบบอ่อนโยนก็ตาม เพราะกระบวนการนี้ทำให้เกราะป้องกันผิวบางลงชั่วคราว จึงต้องใส่ใจดูแลเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคืองหรือปัญหาผิวตามมา ดังนี้
ล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน
หลังการผลัดผิวควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีสารทำความสะอาดรุนแรง หรือมีเม็ดสครับ ให้เลือกใช้คลีนเซอร์เนื้อครีมหรือเนื้อเจลที่ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม และสารระคายเคืองอื่น ๆ และถูใบหน้าเบาๆ ระวังการถูแรง ๆ
ทามอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิว
ความชุ่มชื้นคือหัวใจสำคัญของการฟื้นฟูผิวหลังผลัดเซลล์ ควรทามอยส์เจอไรเซอร์เพื่อช่วยล็อกน้ำในผิวและเสริมเกราะป้องกันตามธรรมชาติ โดยเลือกสูตรที่มีส่วนผสมช่วยปลอบประโลมผิว เช่น เซราไมด์ แพนทีนอล ไฮยาลูโรนิค หรือกลีเซอรีน
ทากันแดดทุกวัน หลีกเลี่ยงแดดโดยตรง
ผิวที่เพิ่งผ่านการผลัดเซลล์จะไวต่อแสงแดดมากกว่าปกติ แม้จะอยู่ในร่มก็ควรทาครีมกันแดดทุกวัน โดยเลือก SPF 50 ขึ้นไปและมีค่า PA+++ ขึ้นไป สำหรับผู้ที่ทำเลเซอร์ หรือทรีตเมนต์ล้ำลึก ควรหลีกเลี่ยงแดดจัดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ และใช้ร่มหรือหมวกช่วยป้องกันเพิ่มเติม
หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดผิวอื่นชั่วคราว
หลังการผลัดผิวควรงดใช้กรดผลัดเซลล์ชนิดอื่น เช่น AHA, BHA, Retinol หรือ Vitamin C เข้มข้น ประมาณ 3 – 5 วัน เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวถูกกระตุ้นมากเกินไปจนเกิดการแสบ ลอก หรืออักเสบ โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้เรตินอลหรือทำเลเซอร์ ควรรอจนกว่าผิวจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ก่อนจึงกลับมาใช้ได้
งดแต่งหน้าในบางกรณี
การแต่งหน้าสามารถทำได้หากใช้กรดผลัดผิวเพียงเล็กน้อย และไม่มีอาการลอกหรือระคายเคือง แต่หากทำทรีตเมนต์ที่มีการขัดหรือดูดสิ่งอุดตัน หรือเลเซอร์ผลัดเซลล์ผิวควรงดแต่งหน้าหนักอย่างน้อย 2 – 3 วัน เพื่อให้ผิวฟื้นตัวโดยไม่มีสิ่งแปลกปลอมไปอุดตันรูขุมขน
หลีกเลี่ยงการแกะหรือลอกผิว
หากมีอาการลอกหรือเป็นขุย ควรปล่อยให้ผิวหลุดลอกออกไปตามธรรมชาติ ห้ามดึงหรือแกะเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดแผล จุดด่างดำ หรือรอยแผลเป็นได้ เน้นเติมความชุ่มชื้นบนผิวแทนเพื่อให้ผิวหลุดลอกออกอย่างนุ่มนวลและปลอดภัย
ผลัดเซลล์ผิวมีผลข้างเคียงไหม?
การผลัดเซลล์ผิวเป็นกระบวนการที่ช่วยกระตุ้นการสร้างผิวใหม่ เผยผิวที่เรียบเนียน กระจ่างใส และลดการอุดตันจากเซลล์ผิวเก่า แต่ถ้าเลือกใช้วิธีที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว ผลัดผิวบ่อยเกินไปก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ ดังนี้
ผิวแห้ง ลอก ตึง หรือแสบ
เป็นอาการที่มักจะเกิดกับผู้ที่มีผิวแห้ง หรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกรดความเข้มข้นสูง ใช้การผลัดผิวที่รุนแรงเกินไปทำให้ผิวสูญเสียไขมันตามธรรมชาติ เกราะป้องกันอ่อนแอลงจึงเกิดอาการลอกเป็นขุย หรือระคายเคืองง่าย
ผิวไวต่อแดดมากขึ้น
การผลัดเซลล์ผิวโดยเฉพาะในชั้นนอกสุดจะทำให้ผิวเปิดรับรังสี UV มากกว่าปกติ หากไม่ปกป้องด้วยครีมกันแดดที่เพียงพอ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดฝ้า กระ หรือจุดด่างดำจากแดด และสามารถส่งผลต่อสีผิว ความสม่ำเสมอของโทนผิวได้
ผิวบางลงและระคายเคืองง่าย
ถ้าผลัดผิวบ่อยเกินไป หรือใช้ผลิตภัณฑ์หลายตัวพร้อมกัน เช่น กรด AHA, BHA และเรตินอล อาจเกิดอาการ Over Exfoliation ซึ่งเป็นภาวะที่ผิวถูกกระตุ้นมากเกินไปจนเกราะป้องกันตามธรรมชาติเสื่อมประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดความรู้สึกแสบ คัน และผิวไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ง่ายกว่าปกติ
เกิดอาการแพ้ ระคายเคือง หรืออักเสบ
หากเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีผิวแพ้ง่ายอาจเกิดการอักเสบ หรือมีผื่นขึ้นมาบนผิวหน้าได้หลังจากที่ใช้ และในบางรายอาจมีการระคายเรื้อรังรุนแรงที่ต้องรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ
สีผิวเปลี่ยนไปในบางกรณี
ถ้าผลัดผิวลึกเกินชั้นหนังกำพร้า หรือทำเลเซอร์ ทรีตเมนต์ที่ลงลึกถึงชั้นผิวแท้ อาจเกิดความผิดปกติของเม็ดสีได้ เช่น สีผิวเข้มขึ้น (hyperpigmentation) หรือซีดลง (hypopigmentation) โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวคล้ำเป็นทุนเดิม ซึ่งต้องใช้เวลานานในการฟื้นฟู หรืออาจไม่กลับมาเป็นปกติในบางกรณี
มีความเสี่ยงของการติดเชื้อ และเกิดแผลเป็น
แม้จะพบไม่บ่อยแต่ถ้าผิวถูกทำให้บาดเจ็บจากการขัดแรงเกินไป หรือมีแผลหลังการผลัดเซลล์โดยไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม เช่น ไม่รักษาความสะอาดหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปนเปื้อน อาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราได้ ซึ่งในรายที่รุนแรงอาจเกิดแผลเป็นถาวรตามมา
ผลัดเซลล์ผิวที่คลินิกต่างจากทำเองอย่างไร?
การผลัดเซลล์ผิวเป็นหนึ่งในขั้นตอนดูแลผิวที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง หรือเลือกที่จะเข้าคลินิกเพื่อผลัดเซลล์ผิวก็ได้ แต่ทั้งสองแบบนี้มีความแตกต่างกันอยู่
ประเด็นเปรียบเทียบ | ผลัดเซลล์ผิวที่คลินิก | ผลัดเซลล์ผิวด้วยตัวเองที่บ้าน |
---|---|---|
ผู้ทำการผลัดเซลล์ผิว | แพทย์ผิวหนังหรือผู้เชี่ยวชาญ | ทำด้วยตนเอง |
ความลึกของการผลัดผิว | ลอกผิวได้ทั้งระดับตื้น และลึกตามปัญหาที่มี | ส่วนใหญ่ผลัดผิวในระดับตื้นเท่านั้น |
ความแม่นยำ | ประเมินโดยแพทย์ เหมาะกับสภาพผิวเฉพาะบุคคล | ขึ้นอยู่กับการเลือกผลิตภัณฑ์ และวิธีใช้เอง |
ความปลอดภัย | ควบคุมโดยผู้เชี่ยวชาญ ลดความเสี่ยงได้มาก | เสี่ยงแพ้ ระคายเคือง หากใช้ผิดวิธีหรือเกินความถี่ |
เห็นผลชัดเจนเมื่อใด | 3 – 7 วันหลังทำ ขึ้นอยู่กับวิธีที่ใช้ | ต้องใช้ต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ 2–4 สัปดาห์ขึ้นไป |
ผลลัพธ์ | เห็นผลเร็ว ลดปัญหาเฉพาะจุดได้แม่นยำ | ผลลัพธ์ค่อยเป็นค่อยไป เหมาะกับการดูแลทั่วไป |
การดูแลหลังทำ | มีขั้นตอนการฟื้นฟูเฉพาะ ช่วยลดผลข้างเคียง | ต้องดูแลเอง อาจไม่เข้าใจวิธีดูแลที่ถูกต้อง |
เหมาะกับใคร | ผู้ที่มีปัญหาผิวเฉพาะจุด ต้องการเห็นผลไว | ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวประจำ ไม่มีปัญหาผิวรุนแรง |
ค่าใช้จ่าย | ราคาสูงกว่า แต่คุ้มค่าหากต้องการผลลัพธ์เร็ว | ประหยัดกว่า เหมาะกับผู้เริ่มต้นหรือดูแลประจำ |
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการผลัดเซลล์ผิว (FAQ)
Q: ผลัดเซลล์ผิวหน้าคือการลอกหน้าใช่ไหม? อันตรายหรือเปล่า?
A: ไม่ใช่ การผลัดเซลล์ผิวหน้ามีหลายแบบตั้งแต่วิธีที่ไม่รุนแรงอย่างการขัดผิวเบาๆ ไปจนถึงการลอกผิวหน้าด้วยสารรุนแรงด้วย ซึ่งวิธีที่ไม่รุนแรงนั้นไม่อันตราย
Q: ผลัดเซลล์ผิวแล้วหน้าจะบางลงไหม?
A: ถ้าผลัดเซลล์ผิวอย่างเหมาะสม ไม่ใช้สารผลัดผิวบ่อยจนเกินไปจะไม่ทำให้หน้าบางลง
Q: ผิวแพ้ง่ายสามารถผลัดเซลล์ผิวได้ไหม?
A: ได้ แต่ควรเลือกใช้ PHA ซึ่งเป็นสารผลัดเซลล์ผิวที่อ่อนโยนไม่รุนแรง แต่ต้องใช้อย่างสม่ำเสมอถึงจะเห็นผลชัด
Q: ผลัดเซลล์ผิวทำให้หน้าใสขึ้นจริงไหม?
A: จริง เพราะการที่มีเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วอยู่บนใบหน้าเยอะๆ ทำให้ใบหน้าหมองคล้ำ และมีความมันมากขึ้น เมื่อผลัดเซลล์ผิวหน้าจะทำให้ผิวกระจ่างใสกว่าตอนแรก เพราะเซลล์ผิวเก่าหลุดออกไป
Q: ควรผลัดเซลล์ผิวบ่อยแค่ไหน?
A: ขึ้นอยู่กับวิธีที่เลือกใช้ หากเป็นสครับผิวควรทำประมาณสัปดาห์ละครั้ง ถ้าเป็นสารผลัดเซลล์ผิวสามารถใช้ได้ทุกวันแต่ในช่วงแรกให้ลองใช้สัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง ส่วนเลเซอร์ผลัดเซลล์ผิวควรทำ 2 – 4 สัปดาห์ครั้ง
Q: ทำที่บ้านกับทำที่คลินิกต่างกันอย่างไร?
A: ผลัดเซลล์ผิวที่บ้านจะเหมาะกับการผลัดเซลล์ผิวเบาๆ และใช้เวลานาถึงจะเห็นผล ถ้าต้องการวิธีที่รวดเร็ว และผลัดเซลล์ผิวอย่างล้ำลึกจะต้องทำที่คลินิก
Q: หลังผลัดเซลล์ผิวต้องดูแลตัวเองอย่างไร?
A: ควรทามอยส์เจอไรเซอร์เพื่อฟื้นฟูผิว เสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง รวมถึงเลี่ยงการโดนแดดแรง และทาครีมกันแดดทุกวันเพื่อป้องกันผิวแห้งเสีย ดำคล้ำหลัวจากผลัดผิว
สรุป
การผลัดเซลล์ผิวหน้าจะช่วยปรับให้ผิวดูกระจ่างใส ลดจุดด่างดำให้จางลง และผิวสม่ำเสมอได้ เพราะเป็นการนำเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกจากผิว แต่ควรเลือกใช้วิธีที่เหมาะสม และไม่ทำบ่อยจนเกิดไป เนื่องจากอาจทำให้ผิวแห้ง ผิวอักเสบ เกิดอาการผิวลอก แทนที่จะช่วยปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น หากใครมีปัญหาหน้าหมองคล้ำ มีรอยสิว จุดด่างดำเยอะ ต้องการผลัดเซลล์ผิวให้ปัญหาเหล่านี้หายไป สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ Vincent Clinic Aesthetic โดยจะมีแพทย์ที่มีประสบการณ์คอยให้คำแนะนำที่เหมาะกับสภาพผิว และเห็นผลลัพธ์ตามที่ต้องการค่ะ