บทความ
ริมฝีปากแห้งแตก ปากลอกเกิดจากอะไร ทำอย่างไรให้ปากกลับมาชุ่มชื้น
แชร์ :

ริมฝีปากแห้งแตก ปากลอกเกิดจากอะไร ทำอย่างไรให้ปากกลับมาชุ่มชื้น

ปากแห้ง ปากแตก
อยากอ่านอะไร จิ้มที่หัวข้อได้เลย!

ปากแห้งแตกไม่ใช่แค่ปัญหาผิวลอกธรรมดาไม่ควรมองข้าม แต่เป็นสัญญาณว่าริมฝีปากกำลังขาดความชุ่มชื้นอย่างต่อเนื่อง อาจเริ่มจากความแห้งเล็กน้อยแล้วลุกลามจนแตกร้าว แสบ หรือมีเลือดซึมได้ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาปากแห้งเกิดได้จากหลายปัจจัย โดยในบทความนี้ Vincent Clinic Aesthetic ได้รวบรวมข้อมูลของสาเหตุที่ปากแห้งลอก วิธีแก้ไขป้องกัน และเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับปากแห้งมาให้แล้วค่ะ

Key Takeaway

  • ปากแห้งแตกในช่วงแรกอาจเริ่มจากแค่รู้สึกแห้ง แต่หากปล่อยไว้ อาจลุกลามเป็นรอยแตก เจ็บ แสบ หรือเรื้อรัง
  • สาเหตุปากแห้งมีหลายด้านตั้งแต่พฤติกรรม เช่น เลียปาก ดื่มน้ำน้อย อากาศแห้ง แพ้ผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงโรคบางชนิด เช่น เบาหวาน หรือปัญหาต่อมน้ำลาย
  • อาการปากแห้งที่ไม่ควรมองข้าม ได้แก่ ปากลอกเป็นขุย แสบลิ้น คอแห้ง เจ็บขณะพูดหรือกินอาหาร และหากเป็นเรื้อรัง ควรพบแพทย์
  • การดูแลปากแห้งเบื้องต้นทำได้ง่าย เช่น ดื่มน้ำให้เพียงพอ ใช้ลิปบาล์มสูตรอ่อนโยน หลีกเลี่ยงการเลียปาก และสครับริมฝีปากอย่างเหมาะสม
  • เลือกใช้ลิปบาล์มทาปากแห้งอย่างถูกต้องควรมองหาส่วนผสมอย่าง petrolatum, shea butter, vitamin E และเลี่ยงสารระคายเคือง เช่น เมนทอล น้ำหอม หรือสารกันเสีย
  • ฟิลเลอร์ช่วยปากแห้งได้บางกรณี โดยเฉพาะในผู้ที่มีริมฝีปากบางและแห้งลึก แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่ปากอักเสบหรือระคายเคือง
  • ป้องกันไม่ให้ปากกลับมาแห้งซ้ำ ด้วยการดูแลทั้งจากภายในและภายนอก เช่น จิบน้ำบ่อย หลีกเลี่ยงคาเฟอีน หายใจทางจมูก และตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ
  • หากรักษาปากแห้งเองไม่ดีขึ้นมีแผลแตกซ้ำ แสบหรือเจ็บนานเกิน 1–2 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการดูแลอย่างถูกวิธี

ริมฝีปากแห้งคืออะไร?

ริมฝีปากแห้ง คือ อาการที่เกิดจากการสูญเสียความชุ่มชื้นบริเวณริมฝีปาก ซึ่งส่งผลให้เนื้อเยื่อริมฝีปากแห้งตึง  ลอกเป็นขุย ปากแตกระแหง ปากเหี่ยวย่น รวมถึงอาจมีอาการแสบ เจ็บ หรือระคายเคืองร่วมด้วย โดยเฉพาะเวลาพูดหรือเคลื่อนไหวปากมากๆ

ปากแห้ง vs ปากลอก vs ปากคล้ำ ต่างกันอย่างไร?

แม้จะเป็นอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับริมฝีปากเหมือนกัน แต่ปากแห้ง ปากลอก และปากคล้ำ ล้วนมีที่มาและสภาพปัญหาที่แตกต่างกัน โดยปากแห้งเกิดจากการที่ริมฝีปากขาดความชุ่มชื้นจนรู้สึกตึง แห้ง หรือแสบ มักมีสาเหตุมาจากการดื่มน้ำน้อย อยู่ในอากาศแห้ง ส่วนปากลอกเกิดจากภาวะปากแห้งที่สะสมต่อเนื่อง หรือการระคายเคืองจากพฤติกรรม เช่น เลียปากบ่อย ใช้ลิปสติกที่มีสารเคมีรุนแรง หรือการแพ้บางชนิด ส่งผลให้ผิวริมฝีปากหลุดลอกออกเป็นขุย และปากคล้ำเป็นริมฝีปากมีสีเข้มกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นสีม่วง น้ำตาล หรือเทา โดยอาจเกิดจากการสัมผัสแสงแดดโดยไม่มีการป้องกัน การสูบบุหรี่ การแพ้เครื่องสำอาง หรือแม้แต่ฮอร์โมนและสุขภาพ

ปากแห้งเกิดจากอะไร

สาเหตุของริมฝีปากแห้งมีอะไรบ้าง?

ริมฝีปากแห้งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน สภาพแวดล้อม หรือแม้แต่ปัญหาสุขภาพภายในร่างกาย โดยมีสาเหตุดังนี้

  • พฤติกรรมที่ทำโดยไม่รู้ตัว การเลียริมฝีปากบ่อย หายใจทางปาก หรือนอนกรน ล้วนทำให้ปากสูญเสียความชุ่มชื้น ขณะที่การดื่มน้ำน้อยหรือไม่จิบน้ำระหว่างวันก็ทำให้ร่างกายขาดน้ำ ส่งผลให้ริมฝีปากแห้งง่ายขึ้น
  • สภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม อากาศหนาว ลมแรง อยู่ห้องแอร์นาน หรือโดนแดดจัดโดยไม่มีการปกป้อง ล้วนทำให้ผิวริมฝีปากแห้งและลอก
  • การแพ้หรือระคายเคือง ผลิตภัณฑ์อย่างลิปบาล์ม ลิปสติก ยาสีฟัน หรือครีมที่มีน้ำหอม สี หรือสารเคมี อาจกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง ส่งผลให้ปากแห้งหรือแตก
  • ขาดวิตามินหรือสารอาหาร การขาดวิตามิน B2, B12 ธาตุเหล็ก วิตามิน C, E หรือซิงค์ อาจทำให้ผิวริมฝีปากแห้ง แตกลอก หรือมุมปากแตกได้ง่าย
  • ผลข้างเคียงจากยา ยาหลายชนิด เช่น ยารักษาสิว (Isotretinoin), ยาแก้แพ้ ยาลดความดัน หรือยาต้านอาการซึมเศร้า ส่งผลให้ต่อมน้ำลายทำงานลดลง ทำให้ปากแห้ง
  • โรคและปัญหาสุขภาพ โรคเบาหวาน ภูมิแพ้ผิวหนัง เชื้อราในปาก หรือโรคในระบบภูมิคุ้มกัน เช่น กลุ่มอาการโจเกรน มีผลต่อการผลิตน้ำลาย ทำให้ปากแห้งเรื้อรัง
  • ผลกระทบจากการรักษา เคมีบำบัดหรือรังสีบำบัดบริเวณศีรษะ-คอ อาจลดการทำงานของต่อมน้ำลายทั้งชั่วคราวหรือถาวร ส่งผลให้ปากแห้งมากขึ้น
  • พฤติกรรมที่ส่งผลเสีย การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือกัญชา ส่งผลให้ปากแห้งอย่างรุนแรงและทำลายสุขภาพช่องปาก
  • อายุที่เพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้นการผลิต คอลลาเจน และน้ำลายจะลดลง ทำให้ริมฝีปากบาง แห้ง และเกิดรอยแตกได้ง่าย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่ใช้ยาหลายชนิดร่วมด้วย

อาการของริมฝีปากแห้งที่ควรสังเกต

ริมฝีปากแห้งเป็นอาการที่พบได้บ่อยและอาจเริ่มจากความรู้สึกตึงหรือแห้งเล็กน้อย แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ดูแล อาจลุกลามจนทำให้เกิดแผล เจ็บ หรือเป็นร่องลึกที่มุมปาก โดยอาการทั่วไปมักเริ่มจากผิวปากลอกเป็นขุย รู้สึกแสบหรือเจ็บเวลาเคลื่อนไหวริมฝีปาก โดยเฉพาะเวลาพูดหรือเคี้ยวอาหาร หากอาการรุนแรง ริมฝีปากอาจแตกจนมีเลือดซึม ขณะเดียวกัน มุมปากอาจมีรอยร้าว เจ็บเมื่ออ้าปาก หรือกินอาหารรสจัด 

แต่อาการแห้งยังอาจลามเข้าไปในช่องปาก เช่น คอแห้ง ลิ้นแห้ง แดง หรือมีความรู้สึกแสบซ่าภายในปาก ส่งผลให้พูดยาก กลืนลำบาก หรือรับรสได้น้อยลง บางคนอาจมีกลิ่นปาก หรือรู้สึกว่าปากเหนียวและกระหายน้ำบ่อย หากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำๆ ไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์เพราะอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพมากกว่าที่คิด

ริมฝีปากแห้งอันตรายไหม? ต่างจากปากอักเสบอย่างไร?

อาการริมฝีปากแห้งไม่อันตราย และสามารถหายได้เองเมื่อได้รับการดูแลที่เหมาะสมถูกต้อง แต่หากเริ่มมีอาการแห้งจนแตกเป็นร่องลึก เจ็บแสบ มีเลือดซึม มุมปากแตก ลิ้นแห้ง คอแห้ง เจ็บคอ พูดหรือกลืนลำบาก มีแผลในปาก และกลิ่นปากผิดปกติ เป็นสัญญาณของภาวะปากอักเสบต่างจากปากแห้งธรรมดา ควรพบแพทย์เพื่อรักษาอย่างถูกต้องก่อนที่อาการจะลุกลามมากขึ้น

ปากแห้งในเด็กและวัยรุ่น ควรดูแลอย่างไร?

เด็กและวัยรุ่นมักมีปัญหาริมฝีปากแห้งจากพฤติกรรมทั่วไป เช่น เลียปาก เล่นกลางแจ้งนาน อยู่ในอากาศแห้ง หรือดื่มน้ำน้อย เนื่องจากผิวของเด็กยังบอบบาง จึงต้องดูแลอย่างระมัดระวัง เริ่มจากฝึกให้เด็กดื่มน้ำเพียงพอทั้งวัน และกินผลไม้หรือผักที่มีน้ำเยอะ เช่น แตงโม ส้ม หรือแตงกวา หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด หรือเผ็ดที่อาจทำให้ปากแสบ และใช้ลิปบาล์มสูตรอ่อนโยนสำหรับเด็ก ทาเป็นประจำ โดยเฉพาะหลังล้างหน้า หรือก่อนออกไปโดนแดด ไม่ควรใช้ลิปที่มีน้ำหอมหรือสารเคมีรุนแรง หลีกเลี่ยงการอาบน้ำนานเกินไปหรือใช้น้ำร้อน รวมถึงไม่ควรเปิดแอร์ในห้องนอนจนเย็นจัด และควรห้ามเด็กเลียปากบ่อย เพราะจะยิ่งทำให้ปากแห้งมากขึ้น หากริมฝีปากแตกเป็นแผล เลือดออก หรืออาการไม่ดีขึ้นในหลายวันควรพาไปพบแพทย์ เพราะอาจมีปัญหาอื่นแฝง

ปากแห้งช่วงตั้งครรภ์ เกิดจากอะไร? ใช้อะไรได้บ้าง?

ปากแห้งเป็นอาการที่พบได้ในคุณแม่ตั้งครรภ์ โดยเฉพาะช่วงไตรมาสแรก สาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ส่งผลต่อการผลิตน้ำลาย ทำให้ปากและลิ้นแห้งง่าย บางรายอาจมีอาการคัดจมูกหรือหายใจทางปากร่วมด้วย รวมถึงภาวะขาดน้ำจากความต้องการของร่างกายที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ วิธีดูแลที่ปลอดภัย ได้แก่ การจิบน้ำบ่อยๆ ตลอดวัน เคี้ยวหมากฝรั่งไม่มีน้ำตาลที่มีไซลิทอลเพื่อกระตุ้นน้ำลาย และใช้ลิปบาล์มหรือลิปมันที่ปลอดจากน้ำหอม พาราเบน หรือเมนทอล เพื่อบำรุงริมฝีปาก
นอกจากนี้ควรดูแลสุขภาพช่องปากด้วยยาสีฟันอ่อนโยนและน้ำยาบ้วนปากที่เหมาะสำหรับคนท้อง หากอาการปากแห้งรุนแรงหรือมีแผลที่หายยาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหาสุขภาพอื่นแฝงอยู่

วิธีรักษาริมฝีปากแห้งเบื้องต้น

อาการริมฝีปากแห้งหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ดูแล อาจลุกลามจนกลายเป็นรอยแตกที่เจ็บ ปวด หรือถึงขั้นเลือดออกได้ ดังนั้นการดูแลตั้งแต่เริ่มต้นอย่างถูกวิธี จะช่วยให้ริมฝีปากกลับมานุ่มและชุ่มชื้นได้เร็วขึ้น โดยมีวิธีดังนี้

  • ดื่มน้ำให้มากขึ้น ควรจิบน้ำเป็นระยะๆ ตลอดทั้งวัน เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำที่เป็นต้นเหตุสำคัญของปากแห้ง ควรดื่มอย่างน้อยวันละ 8–10 แก้ว และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์เพราะจะยิ่งทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น
  • ใช้ลิปบาล์มหรือลิปมันเป็นประจำ เลือกสูตรที่ปลอดภัยไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เมนทอล หรือสารแต่งกลิ่นรส เพราะอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ ควรทาหลังล้างหน้า ก่อนออกแดด และก่อนนอน เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นไว้อย่างต่อเนื่อง หากเป็นลิปที่มีสารกันแดดด้วย จะช่วยป้องกันการทำร้ายจากรังสี UV ได้ดียิ่งขึ้น
  • สครับริมฝีปากเบาๆ เพื่อผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ไม่ควรขัดแรงหรือใช้ผลิตภัณฑ์รุนแรง เพียงแค่ใช้น้ำตาลผสมกับน้ำผึ้งหรือวาสลีนก็เพียงพอ ช่วยให้ผิวปากเรียบเนียนขึ้นและพร้อมรับการบำรุง ทำประมาณสัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง
  • เพิ่มความชุ่มชื้นในช่องปาก โดยการเคี้ยวหมากฝรั่งชนิดไม่มีน้ำตาล หรืออมน้ำแข็งก้อนเล็กๆ ช่วยกระตุ้นต่อมน้ำลายและให้ความสบายในช่องปาก
  • ปรับสภาพแวดล้อมในบ้าน โดยเฉพาะห้องนอน หากอากาศแห้ง ควรใช้เครื่องเพิ่มความชื้น เพื่อรักษาความสมดุลของผิวและลดความแห้งของริมฝีปากในช่วงกลางคืน
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ระคายเคือง เช่น อาหารรสจัด เผ็ดจัด เค็มจัด หรือร้อนเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวปากที่แห้งอยู่แล้วเกิดการอักเสบหรือแสบมากขึ้น
  • กินวิตามินเสริมที่เหมาะสม โดยเฉพาะวิตามินบีรวม วิตามินอี และวิตามินซี ซึ่งมีบทบาทในการบำรุงผิวและการฟื้นฟูเซลล์ ควรได้จากอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ หรือปรึกษาแพทย์หากต้องเสริมเป็นอาหารเสริม

ใช้ลิปอะไรดี? มีลิปบาล์มสำหรับปากแห้งแนะนำไหม?

การเลือกใช้ลิปบาล์มหรือผลิตภัณฑ์บำรุงริมฝีปากเมื่อปากแห้งลอกถือเป็นขั้นตอนสำคัญ เพราะลิปที่ใช้ไม่เพียงแค่ให้ความชุ่มชื้นชั่วคราว แต่ยังช่วยฟื้นฟูผิวที่แห้งเสียให้กลับมาสุขภาพดี โดยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับริมฝีปากแห้งควรมีส่วนผสมที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น พร้อมทั้งปลอบประโลมและฟื้นฟูผิวที่บอบบาง เช่น

  • Petrolatum มีคุณสมบัติช่วยเคลือบผิวเพื่อป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้น
  • Shea Butter และ Olive Oil เป็นไขมันธรรมชาติที่ช่วยลดอาการแห้งตึงและเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว
  • Vitamin E จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ช่วยให้แผลหรือผิวแตกลอกหายเร็วขึ้น
  • Glycerin จะช่วยให้ความชุ่มชื้นอย่างล้ำลึก ทำให้ริมฝีปากนุ่มและไม่แห้งตึง
  • Niacinamide หรือวิตามินบี 3 มีคุณสมบัติฟื้นฟูและลดการระคายเคือง เหมาะสำหรับผู้ที่ริมฝีปากแห้งมากหรือแห้งเรื้อรัง

นอกจากนี้ควรมองหาสูตรที่มีสารกันแดดด้วย เพราะแสงแดดสามารถทำร้ายผิวริมฝีปากได้เช่นเดียวกับผิวหน้าทำให้ปากแห้งลอก ปากคล้ำได้

ถ้ารักษาเองแล้วไม่ดีขึ้น ควรทำอย่างไร?

หากลองดูแลริมฝีปากแห้งด้วยวิธีพื้นฐานแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น เช่น ทาลิปบาล์ม ดื่มน้ำเพียงพอ หลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคือง แต่ยังมีอาการลอก แตก หรือแสบเรื้อรัง ไม่หายเกิน 1 – 2 สัปดาห์ รู้สึกเจ็บปวด มีเลือดซึม หรือมีอาการอื่นร่วม เช่น เจ็บลิ้น กลืนลำบากควรรีบไปพบแพทย์ โดยแพทย์อาจสั่งยาทาเฉพาะจุด เช่น ยาต้านการอักเสบ ยาต้านเชื้อรา หรือครีมฟื้นฟูผิวที่เหมาะกับริมฝีปาก ซึ่งต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น 

ริมฝีปากแห้งฉีดฟิลเลอร์ปากได้ไหม?

การ ฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถช่วยแก้ปัญหาริมฝีปากแห้งได้ในบางกรณี โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาปากแห้ง หรือมีร่องลึกที่ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นง่าย เพราะฟิลเลอร์มีส่วนผสมของไฮยาลูโรนิกแอซิดจะช่วยเติมเต็มผิวและกักเก็บน้ำในเนื้อปากทำให้ปากดูชุ่มชื้นและเรียบเนียนมากขึ้น

แต่ถ้าปากแห้งเกิดจากการแพ้ ระคายเคือง หรือมีการอักเสบ การฉีดฟิลเลอร์ไม่สามารถช่วยได้อาจทำให้อาการแย่ลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองซ้ำ จึงไม่ควรใช้ในช่วงที่ผิวปากยังอ่อนแอหรือมีแผล แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด

วิธีป้องกันปากแห้ง

วิธีป้องกันไม่ให้ริมฝีปากแห้งซ้ำ

การมีริมฝีปากชุ่มชื้นไม่ใช่เรื่องของการทาลิปบาล์มเพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับการดูแลทั้งภายในและภายนอกอย่างต่อเนื่อง หากเคยมีปัญหาปากแห้ง และไม่อยากให้กลับมาเป็นซ้ำสามารถป้องกันได้ด้วยวิธีดังนี้

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ จิบน้ำระหว่างวันอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 8–10 แก้ว เพื่อคงความชุ่มชื้นในร่างกายและริมฝีปาก
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มกระตุ้นการขาดน้ำ งดหรือจำกัดการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • กระตุ้นการผลิตน้ำลาย เคี้ยวหมากฝรั่งหรืออมลูกอมชนิดไม่มีน้ำตาล โดยเฉพาะสูตรที่มีไซลิทอล เพื่อกระตุ้นน้ำลายและลดความแห้ง
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำร้ายผิวปาก อย่าเลียปาก เม้มปาก ดึงขุย หรือกัดริมฝีปาก เพราะทำให้ผิวบางและแห้งมากขึ้น
  • ใช้ลิปบาล์มที่ให้ความชุ่มชื้น เลือกสูตรที่ไม่มีน้ำหอม เมนทอล หรือสารระคายเคือง และใช้เป็นประจำ โดยเฉพาะก่อนนอนและก่อนออกแดด
  • ควบคุมสภาพแวดล้อม ใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในห้อง โดยเฉพาะเมื่อนอนในห้องแอร์หรืออากาศแห้ง
  • เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากที่อ่อนโยน ใช้น้ำยาบ้วนปากและยาสีฟันที่ไม่มีแอลกอฮอล์ และมีฟลูออไรด์เพื่อปกป้องผิวปากและฟัน
  • หลีกเลี่ยงอาหารระคายเคือง ลดการกินอาหารที่เผ็ด เค็มจัด หรือมีกรดสูง เพราะอาจกระตุ้นให้ปากแห้งหรือแสบ
  • บำรุงด้วยวิตามินจากอาหาร กินอาหารที่มีวิตามิน A, B, C และ E เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ ไข่ เพื่อช่วยซ่อมแซมผิวริมฝีปากจากภายใน
  • พบทันตแพทย์เป็นประจำ ตรวจสุขภาพช่องปากทุก 6 เดือน เพื่อตรวจหาสาเหตุแฝง เช่น ฟันผุหรือเหงือกอักเสบ ที่อาจทำให้ปากแห้งเรื้อรัง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับริมฝีปากแห้ง (FAQ)

Q: ปากแห้งมากตอนตื่นนอนเกิดจากอะไร?
A: ปากแห้งมากตอนตื่นนอนมักเกิดจากการหายใจทางปากระหว่างนอนหลับ อากาศแห้งในห้อง หรือดื่มน้ำน้อยก่อนนอน

Q: ใช้วาสลีนทาปากแห้งแทนลิปบาล์มได้ไหม?
A: วาสลีนสามารถใช้แทนลิปบาล์มได้ในกรณีที่ปากแห้ง เพราะช่วยเคลือบและกักเก็บความชุ่มชื้น แต่ไม่ช่วยเติมความชุ่มชื้นจากภายใน

Q: ลิปบาล์มที่มี SPF จำเป็นไหม?
A: ลิปบาล์มที่มี SPF จำเป็นสำหรับการปกป้องริมฝีปากจากแสงแดด ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของปากแห้งและคล้ำ

Q: ปากแห้งสามารถสครับบ่อยๆ ได้ไหม?
A: ปากแห้งไม่ควรสครับบ่อย ควรทำเพียงสัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคืองแห้งลอกมากกว่าเดิม

Q: ลิปมันที่ทำให้ปากยิ่งแห้งมีจริงไหม?
A: ลิปมันที่มีส่วนผสม เช่น เมนทอล น้ำหอม หรือการบูร อาจทำให้ปากแห้งได้จริง

Q: ดื่มน้ำเยอะแล้ว ทำไมริมฝีปากยังแห้งอยู่?
A: แม้ดื่มน้ำมากแต่หากริมฝีปากสัมผัสอากาศแห้ง เลียปากบ่อย หรือแพ้ผลิตภัณฑ์ ก็ยังทำให้ปากแห้งได้

Q: ปากแห้งเรื้อรังเสี่ยงเป็นโรคหรือไม่?
A: ปากแห้งเรื้อรังอาจเป็นสัญญาณของโรค เช่น เบาหวาน ภูมิคุ้มกันผิดปกติ หรือปัญหาต่อมน้ำลาย ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ

Q: ปากแห้งตอนเป็นไข้หรือติดเชื้อไวรัส เป็นเรื่องปกติไหม?
A: ปากแห้งขณะเป็นป่วยเป็นไข้ หรือติดเชื้อไวรัสเป็นเรื่องปกติ เพราะร่างกายสูญเสียน้ำมากกว่าปกติ

Q: คนจัดฟันหรือใส่รีเทนเนอร์ มักมีปากแห้ง ต้องดูแลอย่างไร?
A: คนจัดฟันหรือใส่รีเทนเนอร์ควรจิบน้ำบ่อย ใช้ลิปบาล์มเพิ่มความชุ่มชื้น และรักษาความสะอาดช่องปากอย่างสม่ำเสมอ

Q: ปากแห้งแค่ไหนถึงควรหยุดใช้ลิปสติก?
A: หากปากแห้งจนลอก แสบ แตก หรือมีเลือด ควรหยุดใช้ลิปสติกชั่วคราวและหันมาบำรุงด้วยลิปบาล์มให้ปากกลับมาชุ่มชื้นก่อน

สรุป

ปากแห้งแตกขาดความชุ่มชื้นมักเกิดจากร่างกายขาดน้ำ ไม่มีความชุ่มชื้น อากาศแห้ง หรือร่างกายขาดวิตามินบางอย่างจนทำให้ปากแห้ง แต่อาการปากแห้งนี้สามารถแก้ไขได้โดยการดื่มน้ำบ่อยๆ หรือทาลิปมันให้ปากชุ่มชื้น และไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ ถ้าหากลองดูแลริมฝีปากเบื้องต้นแล้วไม่หายมีอาการแห้งลอกเหมือนเดิม หรือรุนแรงขึ้นควรพบแพทย์ ถ้าอยากฉีดฟิลเลอร์ปากเพื่อแก้ปากแห้งสามารถเข้ามาปรึกษากับ Vincent Clinic Aesthetic ก่อนได้ค่ะ 

Scroll to Top