Key Takeaways
- การร้อยไหมเหนียง คือ หัตถการที่ใช้ไหมละลายร้อยเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อดึงผิวที่หย่อนคล้อยบริเวณใต้คาง และกรอบหน้าให้ยกกระชับขึ้น
- วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเพียงเล็กน้อยถึงปานกลาง ต้องการให้กรอบหน้าชัดเจนขึ้นหรืออยากปรับรูปหน้าให้เป็นวีเชฟโดยไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ
- ร้อยไหมเหนียงไม่เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้คางในปริมาณมาก ผู้ที่เคยเป็นคีลอยด์หรือมีปัญหาแผลนูน ผู้ที่มีโรคผิวหนังอักเสบ หรือติดเชื้อ
- ผลลัพธ์ของการร้อยไหมเหนียงสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงบางส่วนได้ทันทีหลังทำ และจะชัดเจนขึ้นในช่วง 2 – 3 สัปดาห์ โดยผลอยู่ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดไหมที่ใช้ เทคนิคการทำ สภาพผิว และการดูแลตัวเองหลังทำ
- เพื่อความปลอดภัยและให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยเป็นธรรมชาติ ควรร้อยไหมเหนียงกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ ใช้ไหมที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก อย.
- ราคาของการร้อยไหมเหนียงอยู่ในช่วงประมาณ 5,000 – 15,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนเส้นไหม ประเภทไหม เทคนิคที่ใช้ และปัญหาของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกัน
ร้อยไหมเหนียงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนที่ต้องการแก้ปัญหาเหนียงชัด เหนียงยาน มีคางสองชั้น ช่วยยกกระชับผิวบริเวณใต้คางและกรอบหน้า โดยไม่ต้องผ่าตัด ปรับลุคให้ดูดีขึ้น เพิ่มความมั่นใจ เพื่อให้เข้าใจหัตถการนี้มากขึ้น Vincent Clinic Aesthetic ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการทำงานของวิธีร้อยไหมเพื่อช่วยลดเหนียง ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น วิธีการนี้เหมาะหรือไม่เหมาะกับใครบ้าง ผลลัพธ์อยู่ได้นานไหม แตกต่างจากการแก้ปัญหาเหนียงด้วยวิธีอื่นอย่างไร ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้จากเนื้อหาต่อไปนี้
ร้อยไหมเหนียง คืออะไร?
ร้อยไหมเหนียง คือ การใช้เส้นไหมสำหรับการยกกระชับร้อยเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อดึงชั้นผิวบริเวณใต้คาง และบริเวณกรอบหน้าที่หย่อนคล้อยให้ยกขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคนิคการร้อยไหม ที่ช่วยให้เหนียงกระชับ กรอบหน้าชัดขึ้น นอกจากนั้นยังสามารถช่วยกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิวให้เพิ่มขึ้นได้อีกด้วย ผิวจึงเต่งตึง กระชับมากยิ่งขึ้น หลังทำสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ โดยไม่ต้องพักฟื้น
ร้อยไหมช่วยลดเหนียงได้อย่างไร?
โดยทั่วไปการร้อยไหมเหนียงแพทย์จะไม่ใช้ ไหมคอลลาเจน ที่เป็นไหมไม่มีเงี่ยง มีผิวเรียบเน้นการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ชั้นผิว แต่แพทย์จะเลือกใช้ไหมที่มีแรงยกผิวได้มากกว่าอย่างเช่น ไหมเงี่ยง โดยสอดเข้าไปใต้ชั้นผิวในตำแหน่งที่กำหนดไว้แล้วดึงไหมขึ้นมาขึงไว้ในจุดที่เหมาะสม ซึ่งเงี่ยงที่อยู่รอบเส้นไหมจะทำหน้าที่เกี่ยวกับเนื้อเยื่อ และกล้ามเนื้อชั้น SMAS ที่หย่อนคล้อยเพื่อดึงให้ยกขึ้นมา ส่งผลทำให้ผิวหนังบริเวณใต้คางที่หย่อนยานหรือมีลักษณะที่ย้วยหายไป ช่วยให้เห็นกรอบหน้าชัดเจน นอกจากนั้นไหมที่ร้อยเข้าไปใต้ชั้นผิวยังสามารถกระตุ้นกระบวนการสร้างเส้นใยคอลลาเจนให้เพิ่มขึ้น ช่วยประคองผิวให้ยกกระชับ เต่งตึง มากยิ่งขึ้น
ร้อยไหมเหนียงอันตรายไหม? มีผลข้างเคียงหรือไม่?
การร้อยไหมเหนียงนั้นไม่อันตรายหากใช้ไหมสำหรับยกกระชับที่ถูกนำเข้าอย่างถูกกฎหมาย ผ่านการรับรองคุณภาพและมาตรฐานจาก อย. ไทย และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ที่มีประสบการณ์ รู้ตำแหน่งโครงสร้างใบหน้า ชั้นผิวต่างๆ จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์หลังร้อยไหมเหนียงออกมาดี ไม่มีผลข้างเคียงที่อันตรายหลังทำ
ใครเหมาะ ไม่เหมาะกับการร้อยไหมเหนียง?
ร้อยไหมเหนียงเป็นวิธีแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นบริเวณใต้คาง และกรอบหน้า ทำให้ผิวบริเวณนั้นยกกระชับมากขึ้น แต่หัตถการนี้ไม่ใช่ว่าจะทำได้กับทุกคนเพราะมีข้อจำกัดบางอย่างที่อาจส่งผลข้างเคียงหลังทำได้ โดยมีคนที่เหมาะและไม่เหมาะกับการร้อยไหมเพื่อลดเหนียง ดังนี้
ร้อยไหมเหนียงเหมาะกับใคร?
- ผู้ที่มี เหนียง หรือคางสองชั้นจากปัญหาผิวหย่อนคล้อย ชั้นผิวเสื่อมสภาพจนขาดความกระชับ
- ผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวบริเวณใต้คางและเหนียง ปรับรูปหน้าให้วีเชฟ และเห็นกรอบหน้าที่ชัดเจนมากขึ้น
- ผู้ที่ต้องการ กระตุ้นคอลลาเจน ใต้ชั้นผิวให้เพิ่มขึ้น เพื่อช่วยพยุงชั้นผิวให้ยกกระชับ เต่งตึง เรียบเนียน
- ผู้ที่ยังไม่พร้อมสำหรับการผ่าตัดยกกระชับ แต่ต้องการแก้ปัญหา ผิวหย่อนคล้อย บริเวณใต้คางและเหนียง
- ผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยบริเวณใต้คาง และกรอบหน้าในระดับน้อยไปจนถึงระดับปานกลาง
ร้อยไหมเหนียงไม่เหมาะกับใคร?
- ผู้ที่มีไขมันส่วนเกินสะสมค่อนข้างมากบริเวณใต้คาง จนทำให้เกิดเหนียงหรือคางสองชั้น
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหนังติดเชื้อหรือมีโรคผิวหนังเรื้อรัง เพราะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวในระดับรุนแรงไม่สามารถควบคุมได้หรือที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
- ผู้ที่มีประวัติเคยเป็นคีลอยด์ เพราะอาจทำให้เกิดปัญหารอยแผลนูนตามมาหลังทำได้
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ถาวรหรือคงอยู่ได้นาน เพราะไหมที่ใช้จะเป็นไหมละลายทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดหรือยี่ห้อไหมที่ใช้
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร เพราะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
- ผู้ที่เคยมีประวัติแพ้ส่วนประกอบ หรือวัสดุที่ใช้ทำเส้นไหมละลายที่ใช้ในการร้อยไหม
ร้อยไหมเหนียงอยู่ได้นานแค่ไหน?
ผลลัพธ์หลังร้อยไหมเหนียงสามารถอยู่ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทของไหมที่ใช้ สภาพผิวของแต่ละรายบุคคล การดูแลตัวเองหลังทำ โดยเส้นไหมที่ร้อยเข้าไปใต้ชั้นผิวจะช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างเส้นใยคอลลาเจนเพื่อช่วยพยุงผิวเอาไว้ ทำให้หลังจากเส้นไหมละลายไปหมดแล้วผิวอาจกลับมาหย่อนคล้อยได้บ้าง แต่จะยังคงความเต่งตึงกระชับไว้ได้ในระดับหนึ่ง
ต้องเตรียมตัวก่อนร้อยไหมเหนียงอย่างไร?
เพื่อให้การร้อยไหมเหนียงเป็นไปอย่างราบลื่น ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน การเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะจะช่วยให้ร่างกายมีความพร้อมกับการร้อยไหมและลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาให้น้อยลง โดยสามารถเตรียมตัวก่อนทำได้ดังนี้
- ควรปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์และผ่านการเทรนเทคนิคร้อยไหมอย่างถูกต้อง เพื่อให้แพทย์ช่วยประเมินปัญหา วิเคราะห์ใบหน้า และออกแบบการรักษาเฉพาะรายบุคคล
- หากมีโรคประจำตัว ประวัติแพ้ยา หรือยาที่ต้องรับประทานเป็นประจำ ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบก่อนเข้ารับบริการ
- งดการรับประทานวิตามิน อาหารเสริม หรือยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ก่อนร้อยไหม เช่น วิตามินอี ยากลุ่ม NSAIDs
- งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนเข้ารับบริการ เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนระหว่างทำหัตถการ
- ควรพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการร้อยไหม จะช่วยลดโอกาสเกิดอาการผิดปกติระหว่างทำ หลังทำฟื้นตัวได้ไว
- งดแต่งหน้าหรือทาครีมโดยเฉพาะบริเวณใต้คาง และบริเวณกรอบหน้าในวันที่เข้ารับบริการ เพื่อลดโอกาสอักเสบติดเชื้อให้น้อยลง
ร้อยไหมเหนียงต่างจากวิธีอื่นอย่างไร
นอกจากการร้อยไหมเหนียงแล้ว ยังมีเทคนิคอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยมทำด้วยเช่นกัน ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นและผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์กับปัญหาแตกต่างกันออกไป โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและเลือกใช้ให้เหมาะกับแต่ละรายบุคคลมากที่สุด รายละเอียดของแต่ละวิธีที่ใช้ในการลดเหนียงมีดังนี้
ร้อยไหมเหนียง VS HIFU
สำหรับการลดเหนียงด้วย HIFU (High Intensity Focus Ultrasound) จะเป็นการใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ความถี่สูงปล่อยลงสู่ชั้นผิวได้ลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกันกับการผ่าตัดดึงหน้า จึงสามารถแก้ปัญหาความหย่อนคล้อย กระตุ้นคอลลาเจน ยกกระชับ ลดเลือนริ้วรอย ผิวเรียบเนียน เต่งตึง เห็นผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงประมาณ 20% หลังทำ เหมาะกับคนที่มีปัญหาหย่อนคล้อยไม่มาก ในส่วนของการร้อยไหม สามารถแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยได้มากกว่า เห็นผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้อย่างชัดเจนหลังทำ
ร้อยไหมเหนียง VS ดูดไขมันเหนียง
สำหรับการดูดไขมันเหนียงเป็นการกำจัดไขมันเฉพาะจุดด้วยการสอดท่อดูดไขมัน (Cannula) เข้าไปใต้ชั้นผิวหนังในตำแหน่งที่ต้องการกำจัดไขมัน แล้วปล่อยพลังงานเข้าไปทำให้เซลล์ไขมันแตกตัวเล็กลงเพียงพอต่อการดูดออกมา สามารถเห็นผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนที่ลดลงได้ชัดเจนหลังทำ เหมาะกับคนที่มีเหนียงจากไขมันส่วนเกินที่สะสมบริเวณใต้คางค่อนข้างมากซึ่งเป็นตำแหน่งที่ลดได้ยาก ต่างจากการร้อยไหมจะเป็นการยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยให้เรียบตึง ไม่สามารถกำจัดไขมันส่วนเกินได้
ร้อยไหมเหนียง VS เมโสแฟตเหนียง
สำหรับการฉีดเมโสแฟตเหนียง จะเป็นการใช้ตัวยาที่มีคุณสมบัติในการช่วยสลายไขมันฉีดเข้าไปในตำแหน่งที่ต้องการ เป็นหนึ่งในการกำจัดไขมันเฉพาะจุดที่ได้ผลดี นอกจากนั้นยังต้องรอระยะเวลาให้ตัวยาออกฤทธิ์ ซึ่งจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงของเหนียงที่ยุบลงในช่วง 5 – 7 วันหลังทำ และจะเห็นผลเต็มที่ในอีก 2 – 3 สัปดาห์ หากมีไขมันค่อนข้างเยอะอาจจะต้องฉีดซ้ำหลายครั้ง ขึ้นอยู่กับแพทย์เป็นผู้ประเมินและวางแผนการรักษา เมโสแฟต จึงเหมาะกับคนที่มีปริมาณไขมันน้อย – ปานกลาง ไม่เพียงพอต่อการดูดไขมันหรือยังไม่พร้อมที่จะดูดไขมัน ซึ่งไม่สามารถยกกระชับ ปรับให้กรอบหน้าชัด ช่วยให้ผิวเรียบตึง แบบการร้อยไหมเหนียงได้
ตารางเปรียบเทียบ ร้อยไหมเหนียง vs หัตถการอื่น
หัตถการ | หลักการทำงาน | เหมาะกับใคร | ผลลัพธ์ที่ได้ | ระยะเห็นผล | พักฟื้น |
ร้อยไหมเหนียง | ใช้ไหมละลายร้อยเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อดึงชั้นผิวที่หย่อนคล้อยให้ยกกระชับขึ้น | คนที่มีปัญหาผิวบริเวณคางหย่อนเล็กน้อย–ปานกลาง | ช่วยให้กรอบหน้าชัด ยกกระชับ ผิวเรียบเนียน เต่งตึง
กระตุ้นคอลลาเจน |
สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงของใบหน้าได้หลังทำบางส่วน และอาการบวมจะค่อย ๆ หายไปตามระยะเวลา จนเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ในช่วง 2 – 3 สัปดาห์ โดยจะเห็นผลลัพธ์เต็มที่ในช่วงประมาณ 1 เดือน | มีรอยเข็มเป็นจุดแดงขนาดเล็ก และจะค่อย ๆ หายไปได้เองตามระยะเวลาพักฟื้นของร่างกาย
อาการบวมน้อย ฟื้นตัวได้ไว |
HIFU | ใช้คลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ปล่อยลงสู่ชั้นผิวได้ลึกถึงชั้น SMAS | คนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยไม่มาก | ยกกระชับผิวชั้นลึก กระตุ้นคอลลาเจน | เห็นความเปลี่ยนแปลงของใบหน้าหลังทำประมาณ 20% และจะค่อยดีขึ้นไปเรื่อย ๆ จนเห็นผลลัพธ์เต็มที่ในช่วงประมาณ 2 – 3 เดือน | ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำอาจมีอาการผิวแดงได้บ้างเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปได้เองในไม่กี่ชั่วโมง |
ดูดไขมันเหนียง | ใช้เครื่องมือสอดเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อดูดไขมันออกโดยตรง | คนที่มีไขมันสะสมค่อนข้างเยอะ | เหนียงลดลง คางสองชั้นหายไป | เห็นผลลัพธ์ของสัดส่วนที่ลดลงได้หลังทำ และจะค่อย ๆ ดีขึ้นจนเห็นผลลัพธ์ชัดเจนในช่วงประมาณ 1 – 3 เดือน | หลังทำอาจมีอาการบวม รอยช้ำ และรอยแผลขนาดเล็ก ซึ่งจะหายไปได้เอง แนะนำให้พักฟื้นประมาณ 3 – 7 วัน เพื่อให้รอยแผลสมานตัวดีขึ้นและร่างกายฟื้นตัวได้เต็มที่ |
เมโสแฟตเหนียง | ฉีดตัวยาสลายไขมันเฉพาะจุด | คนที่มีไขมันสะสมไม่เยอะมาก มีปริมาณไขมันน้อย | ลดไขมันเหนียงได้บางส่วน | สามารถเห็นผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงได้ ในช่วง 1–2 สัปดาห์หลังทำ | ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำอาจมีอาการบวมได้บ้าง |
**ตารางนี้เป็นเพียงการเปรียบเทียบเบื้องต้นเท่านั้น ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับรายบุคคล
วิธีดูแลตัวเองหลังร้อยไหมเหนียง
เพื่อให้หลังร้อยไหมเหนียงได้ผลลัพธ์ที่ดี เข้าที่ไว ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน และร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น แนะนำให้ดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยสามารถปฏิบัติตามรายละเอียดต่อไปนี้
- หลังทำในช่วง 2 – 3 วันแรกอาจมีอาการบวม แนะนำให้ประคบเย็นเพื่อช่วยบรรเทาอาการระบมและลดความบวมได้เร็วขึ้น
- ในช่วง 2 – 3 วันแรกหลังทำหรือในช่วงที่แผลจากเข็มร้อยไหมยังไม่หายดี ควรระวังไม่ให้โดนน้ำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ในช่วงประมาณ 1 – 2 สัปดาห์หลังทำ เพราะจะทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่และแผลหายช้า
- งดอาหารหมักดอง อาหารทะเล และอาหารรสจัด เพื่อลดโอกาสเกิดการอักเสบติดเชื้อให้น้อยลง
- งดกด นวด คลึง สัมผัสแรงๆ ทำเลเซอร์ อบซาวน่า หรือทำทรีทเม้นท์ บริเวณใบหน้าและตำแหน่งที่ทำการร้อยไหม เพื่อป้องกันไม่ให้ไหมหลุดหรือเคลื่อนไปในตำแหน่งอื่น ประมาณ 1 เดือน
- งดออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่ต้องขยับใบหน้าเยอะๆ ประมาณ 2 – 3 สัปดาห์หลังทำ
- ในช่วง 3 – 5 วันแรกหลังทำ ควรนอนหงายและยกศีรษะสูง เพื่อป้องกันการกดทับ ลดอาการบวมให้น้อยลง
- งดนอนตะแคงหรือนอนคว่ำในช่วง 3 – 5 วันแรก เพราะอาจทำให้ไหมเกิดการเสียดสี ถูกกดทับ กระตุ้นให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา
ร้อยไหมเหนียงราคาเท่าไหร่?
ราคาร้อยไหมเหนียงจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น จำนวนเส้นไหม ประเภทของไหม เทคนิคในการร้อยไหม ความซับซ้อนของปัญหา ความต้องการของคนไข้ และประสบการณ์ของแพทย์ เป็นต้น โดยร้อยไหมเหนียงราคาประมาณ 5,000 – 15,000 บาท แนะนำให้เข้ามาปรึกษากับแพทย์โดยตรงจะช่วยให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนมากที่สุด
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับร้อยไหมเหนียง
เพื่อให้เข้าใจการร้อยไหมเหนียงและช่วยตอบข้อสงสัยในหลายประเด็นให้กระจ่างมากขึ้น จึงได้รวบรวมเอาคำถามที่พบบ่อยมาไว้ในรายละเอียดต่อไปนี้ ใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ดังนี้
Q: ร้อยไหมเหนียงมีโอกาสที่ไหมจะทะลุหรือไม่?
A: โดยปกติอาการนี้พบได้น้อยหรือแทบจะไม่เกิดขึ้นเลย หากอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้มีประสบการณ์ เข้าใจในเทคนิคการร้อยไหมเป็นอย่างดี เลือกใช้ไหมที่มีคุณภาพผ่านการรับรองจากอย. แต่ในกรณีที่เกิดการทะลุของไหมนั้น อาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น ผิวบางเกินไป แพทย์ไม่มีประสบการณ์และไม่เข้าใจเทคนิคการร้อยไหมมากเพียงพอจึงวางแนวเส้นไหมผิดตำแหน่ง ใช้เส้นไหมราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่มีคุณภาพ จึงควรพิจารณาเลือกร้อยไหมเหนียงกับคลินิกที่น่าเชื่อถือและแพทย์มีประสบการณ์
Q: สามารถร้อยไหมเหนียงซ้ำได้ไหมถ้าเหนียงยังชัดอยู่?
A: หลังร้อยไหมเหนียงไปแล้วผลลัพธ์ยังไม่ชัดเจนหรือยังมีความหย่อนคล้อยอยู่ แพทย์อาจประเมินและเพิ่มจำนวนเส้นไหม เพื่อทำร้อยไหมเสริมในจุดที่จำเป็น แต่ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์เพื่อให้ผิวฟื้นตัวก่อนทำซ้ำ แต่ถ้าหากในกรณีของคนที่มีเหนียงเนื่องจากไขมันสะสมมากเกินไป แพทย์อาจพิจารณาเลือกใช้วิธีการอื่นที่ได้ผลลัพธ์มากกว่า เช่น HIFU ดูดไขมัน เป็นต้น โดยเว้นระยะห่างก่อนทำตามที่แพทย์เห็นสมควร
Q: ผิวบอบบาง แพ้ง่าย สามารถร้อยไหมเหนียงได้ไหม?
A: ในกรณีของคนที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย หากไม่ได้มีประวัติแพ้วัสดุที่ใช้ทำเส้นไหม หรือผิวไม่ได้บางมากจนเกินไป ก็ยังสามารถร้อยไหมได้ตามปกติ เพียงแต่แพทย์อาจจะต้องมีความระมัดระวังเพิ่มขึ้น เลือกชนิดของไหมและเทคนิคที่ใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละรายบุคคลมากที่สุด
Q: ร้อยไหมเหนียงกับ HIFU อันไหนเห็นผลเร็วกว่ากัน?
A: ในส่วนของการร้อยไหมเหนียงสามารถเห็นผลลัพธ์ของเหนียงที่ลดลง ผิวเรียบตึงกระชับ กรอบหน้าชัด หลังทำได้บางส่วนและจะค่อย ๆ หายบวมจนเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้นในช่วงประมาณ 1 – 2 สัปดาห์หลังทำ ส่วน HIFU จะเห็นผลลัพธ์ได้หลังทำประมาณ 20% ซึ่งผลลัพธ์จะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นผลชัดเจนประมาณ 2 – 3 เดือนหลังทำ
Q: หลังร้อยไหมเหนียงสามารถแต่งหน้าได้เมื่อไหร่?
A: หลังร้อยไหมเหนียงในช่วงประมาณ 1 – 2 วันแรก แนะนำให้งดเว้นการแต่งหน้าหรือทาครีมบริเวณเหนียงหรือในตำแหน่งที่ร้อยไหม เนื่องจากรอยเข็มยังไม่หายดี หากมีสิ่งสกปรกตกค้างหรืออุดตันที่รอยเข็มอาจเกิดอาการอักเสบและติดเชื้อได้
Q: ร้อยไหมเหนียงใช้ไหมกี่เส้น?
A: สำหรับการร้อยไหมเหนียงปกติจะใช้อยู่ที่ประมาณ 4 – 6 เส้น ขึ้นอยู่กับประเภทของไหม ระดับความรุนแรงของปัญหา สภาพผิว และเทคนิคที่ใช้ เป็นต้น โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินเลือกใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละรายบุคคลมากที่สุด
Q: ต้องหยุดงานไหมหลังร้อยไหมเหนียง?
A: หลังร้อยไหมเหนียงไม่จำเป็นต้องหยุดงาน เพราะเป็นหัตถการที่ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ได้มีการผ่าตัดหรือเปิดแผลใหญ่ แต่อาจมีอาการบวมได้บ้างเล็กน้อยในช่วง 3 – 5 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลตัวเองหลังทำของแต่ละคนที่แตกต่างกัน
Q: ถ้าเคยร้อยไหมจมูกหรือหน้ามาก่อน ยังสามารถร้อยไหมเหนียงได้ไหม?
A: หากใครที่เคยร้อยไหมในตำแหน่งอื่นบนใบหน้ามาก่อน สามารถที่จะร้อยไหมเหนียงได้ เนื่องจากเป็นการร้อยไหมคนละตำแหน่ง อย่างไรก็ตามควรแจ้งประวัติการร้อยไหมให้แพทย์ทราบเพื่อวางแผนในการรักษาที่เหมาะสม
สรุป
ร้อยไหมเหนียงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการแก้ปัญหาเหนียง คางสองชั้น หรือผิวใต้คางหย่อนคล้อยแบบไม่ต้องผ่าตัด สามารถเห็นผลลัพธ์ได้เร็ว ไม่ต้องพักฟื้น ช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินให้เพิ่มขึ้นเพื่อช่วยพยุงชั้นผิวให้ยกกระชับ เหนียงหาย ใต้คางเรียบเนียนเต่งตึง เหมาะกับคนที่มีปัญหาเหนียงจากผิวที่หย่อนคล้อย สำหรับใครที่อยากปรับรูปหน้า อยากแก้ปัญหาเหนียงให้หายไป แนะนำให้เข้ามาปรึกษาได้ที่ Vincent Clinic Aesthetic เพื่อรับการประเมินโดยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์และออกแบบการรักษาเฉพาะรายบุคคล