บูสผิวใสเป็นทางเลือกในการฟื้นฟูผิวที่ได้รับความนิยม ช่วยให้ผิวกลับมาสดใส มีออร่า และดูสุขภาพดีในระยะเวลาอันสั้น ไม่ว่าผิวจะมีสภาพแบบไหน มีสาเหตุหมองคล้ำ ดูโทรมจากสาเหตุอะไร การบูสผิวใสก็จะช่วยให้ผิวกลับมาแข็งแรงได้ ในบทความนี้ Vincent Clinic Aesthetic จะมาแนะนำให้รู้จักกับการบูสผิวใสว่าดีไหม ช่วยอะไร และมีวิธีไหนบ้าง
Key Takeaways
- บูสผิวใส คือวิธีดูแลผิวแบบเร่งด่วน เพื่อฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำให้กลับมากระจ่างใส ชุ่มชื้น และมีออร่าในระยะเวลาอันสั้น
- การบูสผิวใส เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ แห้งโทรม พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือผิวไวต่อมลภาวะ รวมถึงผู้ที่ต้องการเตรียมผิวก่อนออกงาน
- การบูสผิวใสสามารถทำได้ทุกช่วงวัย ตั้งแต่วัยรุ่นปลาย วัยทำงาน ไปจนถึงวัย 40+ ขึ้นไป โดยเลือกวิธีให้เหมาะกับผิวแต่ละวัย
- Booster ผิว ช่วยฟื้นฟูผิวในหลายด้าน เช่น ลดความหมองคล้ำ จุดด่างดำ เสริมเกราะผิวให้แข็งแรง เติมน้ำให้ผิว และช่วยให้เมคอัพติดทน
- ตัวเลือกในการบูสผิวมีทั้งแบบ ฉีดวิตามิน เมโส มาเด้คอลลาเจน Rejuran Gouri Skinvive ฯลฯ และแบบดูแลเอง เช่น เซรั่ม สครับผิว
- คนผิวแพ้ง่ายก็สามารถทำได้ หากอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ โดยเลือกสูตรบูสผิวที่ปลอดภัยและอ่อนโยน
- การดูแลหลังบูสผิว เช่น หลีกเลี่ยงแดด-เหงื่อ เติมความชุ่มชื้น และสังเกตอาการผิดปกติ จะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น
- ราคาการบูสผิวใสมีตั้งแต่ หลักร้อยถึงหลักหมื่น ขึ้นอยู่กับวิธีและตัวยาที่ใช้
บูสผิวใสคืออะไร
การบูสผิวใส คือ การดูแลผิวแบบเร่งด่วน กู้ผิวที่หมองคล้ำให้กลับมากระจ่างใส เรียบเนียน ไร้จุดด่างดำ เป็นผิวแบบ Skin Radiance โดยฟื้นฟูผิวจากภายในด้วยการเติมสารบำรุงผิว หรือ วิตามินที่จำเป็นให้ผิว ซึ่งการบูสผิวใสสามารถทำได้หลายวิธีไม่ว่าจะเป็นการทาสกินแคร์ การฉีดเข้าสู่ผิวโดยตรงค่ะ
ใครที่เหมาะกับการบูสผิวใส
- ผู้ที่มีผิวหมองคล้ำ ขาดความกระจ่างใส
- คนที่ใช้ชีวิตในเมือง เจอมลภาวะเป็นประจำ
- ผู้ที่มีผิวแห้ง ขาดน้ำ ขาดความชุ่มชื้น
- ผู้ที่มีปัญหาผิวจากการนอนดึก เครียด หรือพักผ่อนไม่พอ
- คนที่เพิ่งผ่านการเป็นสิว หรือมีรอยดำจากสิว
- ผู้ที่ต้องการเตรียมผิวก่อนออกงานหรือกิจกรรมสำคัญ
- ผู้ที่มีอายุเพิ่มขึ้นและเริ่มมีปัญหาผิวตามวัย
บูสผิวใสเหมาะกับช่วงอายุเท่าไหร่?
การบูสผิวใสไม่ได้จำกัดเฉพาะคนที่มีปัญหาผิวชัดเจนเท่านั้น แต่สามารถเริ่มดูแลได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะผิวในแต่ละช่วงวัยมีความต้องการแตกต่างกัน การเลือกทำบูสผิวในช่วงอายุที่เหมาะสมจะช่วยป้องกันปัญหาผิวในอนาคต และส่งเสริมการฟื้นฟูผิวให้ดียิ่งขึ้น
- วัยรุ่นปลาย วัย 20+ ช่วงอายุนี้มักเผชิญกับปัญหาผิวจากฮอร์โมน เช่น สิว ผิวมัน ผิวหมองคล้ำจากการนอนดึก หรือการเรียนหนัก การบูสผิวใสจะช่วยให้ผิวแข็งแรง ลดการอักเสบ และฟื้นฟูรอยสิวได้ดีขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มดูแลผิวอย่างจริงจัง
- วัยทำงาน อายุ 30+ ในวัยนี้ปัญหาผิวที่พบบ่อยคือความหมองคล้ำจากความเครียด พักผ่อนน้อย และเริ่มมีสัญญาณของริ้วรอยบางจุด การบูสผิวจะช่วยเติมสารบำรุงให้ผิวกลับมาชุ่มชื้น ลดความแห้งกร้าน และทำให้ผิวดูอิ่มน้ำมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- วัย 40+ ขึ้นไป เมื่ออายุเข้าสู่ช่วง 40 ปีขึ้นไป ผิวจะเริ่มสูญเสียคอลลาเจนและอิลาสตินตามธรรมชาติ บูสผิวใสในวัยนี้จะช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวให้ดูสดใส ลดความหมองคล้ำสะสม และสามารถทำร่วมกับการยกกระชับหรือหัตถการอื่นได้เพื่อเสริมผลลัพธ์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
สรุปคือการบูสผิวใสเหมาะกับทุกช่วงวัย แต่ควรเลือกสูตรและเทคนิคให้เหมาะกับสภาพผิวในแต่ละช่วงอายุ และควรอยู่ภายใต้การประเมินของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
บูสผิวใสช่วยเรื่องอะไรบ้าง
บูสผิวใสเป็นวิธีที่สามารถช่วยฟื้นฟูผิว ปรับสภาพผิวให้ต่อสู้กับมลภาวะ สภาพอากาศ รวมถึงแก้ไขปัญหาผิวได้หลายๆ เรื่องดังนี้
ฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำให้กลับมากระจ่างใส การบำรุงผิวด้วยสารอาหารเข้มข้น ช่วยลดความหมองคล้ำ ปรับสีผิวให้ดูสม่ำเสมอ และช่วยให้ผิวกลับมามีออร่าธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัด เหมาะสำหรับผู้ที่เผชิญกับแสงแดดบ่อย หรือมีปัญหาผิวไม่สม่ำเสมอจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ
กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและซ่อมแซมผิวที่อ่อนแอ การบูสผิวช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างเซลล์ใหม่ได้เร็วขึ้น ลดการสะสมของเซลล์ผิวเก่าที่ทำให้ผิวดูหม่นหมอง อีกทั้งยังช่วยเสริมกระบวนการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหายจากมลภาวะหรือสารเคมี
ลดเลือนจุดด่างดำ รอยสิว และรอยแดง วิตามินและสารบำรุงผิวในขั้นตอนการบูส เช่น วิตามิน C, Niacinamide หรือ Arbutin มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินในผิว จึงสามารถช่วยลดเลือน จุดด่างดำ และ รอยสิว ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เติมความชุ่มชื้นและปรับสมดุลให้กับผิว ผิวที่ขาดความชุ่มชื้นมักจะดูแห้งกร้านและไม่สดใส การบูสผิวด้วยสารให้ความชุ่มชื้น เช่น Hyaluronic Acid จะช่วยเติมน้ำให้กับผิว ปรับสมดุลความชุ่มชื้น และทำให้ผิวดูนุ่มเด้ง มีสุขภาพดี
เสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงจากมลภาวะ ผิวที่ได้รับการบูสอย่างสม่ำเสมอจะมีโครงสร้างผิวที่แข็งแรงขึ้น สามารถป้องกันมลภาวะ แบคทีเรีย หรือสารระคายเคืองต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ช่วยลดโอกาสเกิดสิวหรือการอักเสบของผิว
แต่งหน้าง่ายขึ้น เมคอัพติดทน เพราะผิวมีความชุ่มชื้น และใสขึ้นจากการบูสผิว จะช่วยให้เมคอัพติดทนมากขึ้น ลดปัญหาเมคอัพตกร่อง และทำให้ผิวดูเรียบเนียนยิ่งขึ้นเมื่อลงเครื่องสำอาง
ข้อดี-ข้อเสียของการบูสผิวใส
การบูสผิวใสเป็นวิธีดูแลผิวที่ได้รับความนิยม เพราะให้ผลลัพธ์ชัดเจนในระยะสั้นและสามารถทำได้ต่อเนื่อง แต่เช่นเดียวกับทุกหัตถการ ย่อมมีทั้งข้อดีและข้อจำกัดที่ควรทราบก่อนตัดสินใจ
ข้อดีของการบูสผิวใส
- ผิวดูชุ่มชื้น กระจ่างใสขึ้นใน 3–7 วัน
- ลดอาการหมองคล้ำและรอยแดงจางลง
- ช่วยเติมวิตามินและสารบำรุงเข้าสู่ชั้นผิวได้ทันที
- เหมาะกับคนผิวแพ้ง่าย เพราะไม่ใช่สารเคมีแรง
- ไม่มีผลต่อโครงสร้างหน้า ไม่ต้องพักฟื้นนาน
ข้อเสียหรือข้อควรระวัง
- อาจมีรอยแดงหรือรอยเข็มเล็ก ๆ ชั่วคราว
- ต้องทำต่อเนื่องเพื่อคงผลลัพธ์
- หากผิวแพ้ง่ายมากอาจมีอาการระคายเคือง
- ไม่ใช่การรักษาสิวโดยตรง ต้องใช้ร่วมกับการดูแลอื่น
- ผลลัพธ์แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
สาเหตุที่ผิวหมองคล้ำไม่กระจ่างใสเกิดจากอะไร
ผิวหมองคล้ำไม่สดใส ดูโทรม ผิวอ่อนแอไม่แข็งแรงจนต้องมาฉีดบูสเตอร์ผิวใส เกิดได้จากหลายสาเหตุซึ่งมีทั้งสาเหตุจากภายนอก และภายใน โดยสาเหตุที่ทำให้หน้าหมองคล้ำมีดังนี้
- แสงแดดทำร้ายผิวลึกโดยไม่รู้ตัว แสงแดดมีรังสียูวีที่กระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดสีเมลานินมากเกินไป ทำให้ผิวคล้ำเสีย เกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำตามมา อีกทั้งยังทำลายคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวหย่อนคล้อย ขาดความยืดหยุ่น และเกิดริ้วรอยก่อนวัย
- มลภาวะสะสมทำให้ผิวอ่อนแอ สิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวัน เช่น ฝุ่นควัน ควันรถ และสารเคมีในอากาศ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผิวอ่อนแอลง ฝุ่นขนาดเล็กสามารถซึมเข้าสู่ผิว ทำให้ผิวระคายเคือง สูญเสียความชุ่มชื้น และทำให้เกิดจุดด่างดำ
- ผิวขาดความชุ่มชื้นจากอากาศแห้งและสารเคมี สภาพอากาศที่มีความชื้นต่ำ หรืออุณหภูมิเย็นจัด จะดูดเอาน้ำในผิวออกไป ทำให้ผิวแห้ง แตกเป็นขุย และสูญเสียความเรียบเนียน ความแห้งนี้ทำให้ผิวดูหมองอย่างเห็นได้ชัด
- นอนน้อยพักผ่อนไม่พอ ผิวฟื้นฟูตัวเองไม่ได้เต็มที่ การนอนหลับไม่สนิท หรือนอนไม่พอทำให้ร่างกายฟื้นฟูผิวไม่ได้เต็มที่ ส่งผลให้ผิวไม่สดใสเกิดรอยคล้ำใต้ตา สีผิวไม่สม่ำเสมอ และยังทำให้หลั่งฮอร์โมนที่ช่วยซ่อมแซมผิวในช่วงกลางคืนก็จะลดลง
- ความเครียดเรื้อรังส่งผลต่อสมดุลผิว ความเครียดทำให้เกิดความไม่สมดุลของฮอร์โมน โดยเฉพาะคอร์ติซอล ซึ่งมีผลต่อการทำงานของต่อมไขมัน ผิวอาจผลิตน้ำมันมากเกินไป นำไปสู่การอุดตันของรูขุมขน เกิดสิว ผิวมัน และความหมองคล้ำ
- ใช้ผลิตภัณฑ์ผิดวิธี หรือเลือกสกินแคร์ไม่เหมาะกับสภาพผิว การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมกับผิวอาจทำให้ผิวระคายเคือง ผิวลอก หรือไวต่อแสงมากขึ้น เช่น การใช้วิตามินซีร่วมกับกรดผลไม้ หรือเรตินอลร่วมกับสารที่มีฤทธิ์รุนแรง อาจทำให้ผิวบางและเกิดรอยคล้ำได้
- อายุเพิ่มขึ้น ทำให้ผิวผลัดเซลล์ได้ช้าลง เมื่ออายุมากขึ้น การผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวจะลดลง ทำให้ผิวบางลง หย่อนคล้อย และดูหมองคล้ำได้ง่าย
วิธีบูสผิวใสมีอะไรบ้าง
เพื่อให้ผิวกระจ่างใส ฉ่ำวาวราวกับผิวกระจกมีทั้งวิธีเติมสารบำรุงเข้าสู่ผิวโดยตรงดูแลผิวจากภายใน และวิธีที่ดูแลผิวด้วยตัวเอง โดยแต่ละวิธีจะผลลัพธ์ได้ไม่เท่ากันบางวิธีเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ แต่บางทีต้องรอสักพักถึงจะเริ่มเห็นผล
- วิตามินผิว เป็นการเติมวิตามินที่มีประโยชน์ต่อผิวเข้าสู่ร่างกายโดยตรงผ่านการฉีด หรือการดริป ช่วยฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำให้กลับมาดูสดใส ซึ่งวิตามินที่ใช้ส่วนใหญ่คือวิตามินซี ซึ่งมีคุณสมบัติลดการเกิดเม็ดสีผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และเสริมภูมิคุ้มกันให้ผิวดูแข็งแรงขึ้นในภาพรวม
อ่านเพิ่มเติม : ดริปวิตามิน คืออะไร อันตรายไหม ช่วยเรื่องอะไร ต้องทำบ่อยไหม?
- เมโสหน้าใส (Mesotherapy) เป็นการฉีดสารบำรุงเข้าชั้นผิวโดยตรง มีสูตรหลากหลายตามปัญหาผิว เช่น สูตรลดสิว สูตรเพิ่มความชุ่มชื้น หรือสูตรปรับผิวขาวกระจ่างใส โดยตัวยาหลักประกอบด้วยวิตามินหลายชนิด โคเอนไซม์ และกรดอะมิโน ช่วยบูสผิวให้ดูอิ่มน้ำ กระจ่างใส และลดแห้งกร้านของผิวได้อย่างรวดเร็ว
อ่านเพิ่มเติม : ฉีดเมโสหน้าใส ฟื้นฟูผิวแบบเร่งด่วน อันตรายไหม ฉีดกี่ครั้งเห็นผล?
- มาเด้คอลลาเจน เป็นตัวที่มีสารหลายๆ อย่าง เช่น วิตามิน คอลลาเจน แร่ธาตุ และมีเทคนิคการฉีดเข้าสู่ผิวด้วยการฉีด บนใบหน้า 16 จุด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของระบบน้ำเหลือง ขับของเสียออกจากผิว ช่วยลดสิว ผื่น และการอักเสบ พร้อมทั้งฟื้นฟูผิวที่อ่อนแอให้กลับมาแข็งแรง ลดความหมองคล้ำ และปรับผิวให้เนียนสม่ำเสมอ
อ่านเพิ่มเติม : มาเด้คอลลาเจน คืออะไร ช่วยให้หน้าใสจริงไหม ทำไมต้องฉีดมาเด้ 16 จุด
- Rejuran จะเป็นการบำรุงผิวด้วยสารสกัดจาก DNA ของปลาแซลมอน ซึ่งมีส่วนช่วยในการซ่อมแซมเซลล์ผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และลดเลือนริ้วรอย วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีรอยดำจากสิว รูขุมขนกว้าง หรือผิวที่เสื่อมสภาพมลภาวะ
อ่านเพิ่มเติม : Rejuran ช่วยบูสต์ผิวฉ่ำวาว Glass Skin สวยดังใจ สไตล์สาวเกาหลี
- Gouri เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจาก หรือที่รู้จักกันในชื่อไหมน้ำ มีส่วนประกอบหลักเป็น PCL เมื่อฉีดเข้าสู่ผิวจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ ทำให้ผิวแน่นขึ้น อิ่มฟู และบูสผิสให้ดูเปล่งปลั่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อ่านเพิ่มเติม : Gouri คืออะไร ดีไหม อันตรายหรือเปล่า ฉีดจุดไหนบ้าง ราคาเท่าไร
- Belotero Revive เป็นสารเติมเต็มไฮยาลูรอนิกที่มีจุดเด่นคือการฟื้นฟูผิวให้ดูอิ่มน้ำ โดยมีส่วนผสมของไฮยาลูโรนิกแอซิดร่วมกับกลีเซอรอล ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวในระยะยาว เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง ขาดน้ำ หรือเริ่มมีริ้วรอยตื้น ๆ ทำให้ผิวดูสดใสขึ้นหลังฉีด
อ่านเพิ่มเติม : Belotero revive คืออะไร ช่วยผิวเรื่องอะไรบ้าง ต้องฉีดกี่ครั้ง
- Juvelook เป็นนวัตกรรมใหม่จากเกาหลีที่ผสานคุณสมบัติของสารเติมเต็มกับสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง ผิวกระจ่างใสสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก และยังช่วยยกกระชับผิว ลดริ้วรอยได้
อ่านเพิ่มเติม : Juvelook ช่วยเรื่องอะไร แตกต่างจากสกินบูสเตอร์ตัวอื่นอย่างไร?
- Skinvive เป็นฟิลเลอร์สำหรับฉีดในผิวชั้นตื้น เหมาะสำหรับเพิ่มความชุ่มชื้น ความฉ่ำวาวให้ผิว หลังฉีดจะรู้สึกได้ทันทีว่าผิวดูเรียบเนียน สุขภาพผิวดีขึ้นทันที แก้ปัญหาหน้าแห้งกร้าน หน้าโทรมไม่สดใสได้ดี
อ่านเพิ่มเติม : Skinvive คืออะไร ฉีดแล้วช่วยเรื่องอะไร หน้าฉ่ำวาวไหม ราคาเท่าไร
- Sculptra ใช้สาร Poly-L-Lactic Acid ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังอย่างลึกซึ้ง เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวที่เริ่มหย่อนคล้อย ยกกระชับผิว ผิวเสียสมดุลจากอายุที่เพิ่มขึ้น และต้องการผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานอย่างเป็นธรรมชาติ
อ่านเพิ่มเติม : Sculptra ยกกระชับและฟื้นฟูผิว กี่ครั้งเห็นผล ดีกว่าวิธีอื่นไหม?
- Radiesse เป็นฟิลเลอร์ที่มีส่วนประกอบหลักเป็นแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ ช่วยเติมเต็มริ้วรอย พร้อมกระตุ้นโครงสร้างผิวให้กลับมาแข็งแรง ผิวจะดูแน่น กระชับ ลดความหย่อนคล้อย และมีความกระจ่างใส
อ่านเพิ่มเติม : Radiesse คืออะไร ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ต้องฉีดกี่ครั้ง ราคาเท่าไร
- เซรั่ม สำหรับผู้ที่ยังไม่พร้อมหรือไม่สะดวกเข้ารับบริการทางการแพทย์ การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีความเข้มข้นของสาร active สูง เช่น วิตามินซี กลูตาไธโอน หรือกรดไฮยาลูโรนิก ก็สามารถเป็นทางเลือกในการฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียนและสว่างใสขึ้นได้
- ขัดผิว สครับผิว เป็นการการผลัดเซลล์ผิวด้วยการสครับ การขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพออกเป็นประจำ จะช่วยให้ผิวเปิดรับสารบำรุงได้ดีขึ้น ลดการอุดตันของรูขุมขน และทำให้ผิวหน้าดูกระจ่างใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว
ประสบการณ์จริง คนที่เคยบูสผิวใสรู้สึกอย่างไร?
การบูสผิวใสเหมาะกับหลากหลายสถานการณ์ในชีวิตประจำวันที่ผิวของเราต้องเผชิญกับความเครียด แสงแดด หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ การเลือกบูสผิวในช่วงเวลาที่เหมาะสมสามารถช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาดูสดใส อิ่มน้ำ และสุขภาพดีได้อย่างเห็นผล
กรณีที่ 1 : หลังพักผ่อนไม่เพียงพอ ผิวโทรมจากการนอนดึก
ในช่วงที่ต้องทำงานหนักหรือพักผ่อนน้อย ผิวมักหมองคล้ำ แห้งง่าย และขาดความชุ่มชื้น การบูสผิวใสด้วยสารบำรุงเข้มข้นจะช่วยฟื้นฟูผิวให้สดใส ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นภายในไม่กี่วัน
กรณีที่ 2 : เตรียมผิวก่อนออกงานสำคัญ
สำหรับใครที่มีงานแต่ง งานสัมภาษณ์ หรือออกกล้อง การบูสผิวใสล่วงหน้า 5–7 วันจะช่วยให้ผิวดูฟู ฉ่ำวาว และเมคอัพติดทนโดยไม่ต้องแต่งหน้าหนา
กรณีที่ 3 : หลังกลับจากกิจกรรมกลางแจ้งหรือทริปทะเล
ผิวที่โดนแดดจัดหรือคลื่นลมมักจะแห้งลอกหรือหมองคล้ำ การบูสผิวใสหลังทริปจะช่วยลดการอักเสบ ฟื้นฟูผิวที่ถูกทำร้าย และเติมน้ำให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น
กรณีที่ 4 : เมื่อต้องการฟื้นฟูผิวหลังทำเลเซอร์
หากเพิ่งทำเลเซอร์หรือหัตถการที่ทำให้ผิวไวต่อแสง การบูสผิวใสสามารถช่วยลดการระคายเคือง และเสริมการฟื้นฟูให้ผิวกลับมาแข็งแรงได้เร็วขึ้น
การบูสผิวใสไม่จำเป็นต้องรอให้ผิวพังเสียก่อนจึงจะทำได้ แต่สามารถใช้เป็นหนึ่งในวิธีดูแลผิวตามช่วงเวลาหรือโอกาสสำคัญต่าง ๆ ได้เช่นกัน หากเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมและทำภายใต้การดูแลของแพทย์ ก็จะช่วยให้ผิวของคุณฟื้นฟูได้เร็วและคงความสดใสได้นานยิ่งขึ้น
การดูแลตัวเองหลังบูสผิวใส
แม้การบูสผิวใสจะเป็นหัตถการที่ไม่ต้องพักฟื้น แต่ช่วง 3–7 วันหลังทำ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ควรดูแลผิวอย่างเหมาะสม เพื่อให้เซลล์ผิวฟื้นตัวได้ดีที่สุด และผลลัพธ์ของการบำรุงอยู่ได้นานขึ้น
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ผิวอักเสบ
หลังบูสผิว ควรหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่อาจทำให้ผิวระคายเคืองหรืออักเสบ เช่น
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และควรหลบแดดโดยตรงในช่วง 3 วันแรก
- งดแต่งหน้าใน 24 ชั่วโมงแรกหลังทำ
- หลีกเลี่ยงการล้างหน้าด้วยน้ำร้อนหรือใช้ผลิตภัณฑ์สครับผิว
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก
เติมความชุ่มชื้นและบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ
หลังจากการบำรุงเข้มข้นเข้าสู่ผิวแล้ว ควรช่วยเสริมผลลัพธ์ด้วยการบำรุงต่อเนื่อง ดังนี้
- ใช้เจลว่านหางจระเข้ หรือมอยเจอร์ไรเซอร์สูตรอ่อนโยนเป็นประจำ
- ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1.5–2 ลิตร เพื่อช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน
- ทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไปทุกเช้า แม้ไม่ได้ออกกลางแจ้ง.
สังเกตอาการผิดปกติและรีบพบแพทย์
แม้ผลข้างเคียงจะเกิดได้น้อย แต่ก็ควรสังเกตอาการผิดปกติหลังทำ เช่น
- ผิวบวม แดง คัน หรือมีผื่นนานเกิน 2 วัน
- มีตุ่มน้ำหรืออาการระคายเคืองที่ไม่หายไปเอง
- หากรู้สึกไม่สบายผิวผิดปกติ แนะนำให้พบแพทย์ทันทีเพื่อประเมินอาการ.
การดูแลหลังบูสผิวใสอย่างถูกวิธี จะช่วยให้ผิวกลับมาชุ่มชื้น กระจ่างใส และฟื้นตัวเร็วขึ้น ที่สำคัญยังช่วยให้ผลลัพธ์ของการบำรุงคงอยู่ได้นาน และลดโอกาสเกิดอาการไม่พึงประสงค์อีกด้วย
บูสผิวใสราคาเท่าไร
ราคาของการบูสผิวใสจะขึ้นอยู่กับวิธีการที่เลือกใช้ โดยบูสผิวใสมีราคาตั้งแต่ 100 – 40,000 บาท สำหรับวิธีการบูสผิวใสด้วยการใช้เซรั่มหรือขัดผิวจะมีราคาค่อนข้างถูกเข้าถึงได้ง่าย แต่ต้องใช้ระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์นานกว่าวิธีทางการแพทย์ ส่วนวิธีบูสผิวใสทางการแพทย์จะค่อนข้างราคาสูง แต่เห็นผลลัพธ์ไวค่ะ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการบูสผิวใส (Booster ผิว)
รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการบูสผิวใส ทั้งเรื่องผลลัพธ์ ความปลอดภัย ราคา และการดูแลหลังทำ ตอบครบแบบเข้าใจง่าย เหมาะกับทุกคนที่กำลังมองหาวิธีฟื้นฟูผิวอย่างเร่งด่วน
Q : การบูสผิวใสเหมาะกับทุกสภาพผิวหรือไม่?
A : เหมาะกับเกือบทุกสภาพผิว รวมถึงผิวแห้ง ผิวโทรม และผิวแพ้ง่าย หากเลือกสูตรที่อ่อนโยนและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ แต่ในกรณีที่ผิวมีอาการอักเสบ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนรับบริการ
Q : ถ้าไม่เคยฉีดอะไรมาก่อนเลย สามารถเริ่มที่บูสผิวใสได้หรือไม่?
A : ได้แน่นอนค่ะ เพราะการบูสผิวเป็นวิธีดูแลผิวที่ไม่รุนแรง ไม่เปลี่ยนโครงสร้างผิว และไม่มีสารที่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรง เหมาะกับผู้ที่เพิ่งเริ่มดูแลผิวเป็นอย่างยิ่ง
Q : ขั้นตอนการบูสผิวใช้เวลานานเท่าไร?
A : โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 15–30 นาทีต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้ เช่น เมโสหน้าใสใช้เวลาน้อยกว่า Rejuran หรือ Skin Booster ที่มีขั้นตอนละเอียดกว่า
Q : หลังฉีดบูสผิวใส สามารถแต่งหน้าได้ไหม?
A : ควรงดแต่งหน้าในช่วง 24 ชั่วโมงแรก เพื่อให้ผิวมีเวลาฟื้นฟูเต็มที่ หลังจากนั้นสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ และควรเน้นใช้ผลิตภัณฑ์อ่อนโยนต่อผิวในช่วงแรก
Q : หากหยุดทำบูสผิวไป ผิวจะกลับไปหมองคล้ำเหมือนเดิมหรือเปล่า?
A : ผิวอาจกลับมาหมองคล้ำได้หากไม่มีการดูแลอย่างต่อเนื่อง แต่จะไม่แย่กว่าก่อนทำ การบำรุงต่อเนื่องและหลีกเลี่ยงปัจจัยทำร้ายผิว เช่น แสงแดด จะช่วยให้ผิวคงความใสได้นานขึ้น
Q : บูสผิวใสกับสกินบูสเตอร์ แตกต่างกันอย่างไร?
A : บูสผิวใสเป็นชื่อเรียกรวมของการเติมสารบำรุงเข้าสู่ผิว ส่วนสกินบูสเตอร์ เช่น Skinvive, Juvelook เป็นเทคโนโลยีเฉพาะที่ช่วยให้ผลลัพธ์ลึกขึ้น อยู่ได้นาน และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนมากกว่า
Q : ต้องเตรียมตัวยังไงก่อนบูสผิว?
A : ควรล้างหน้าให้สะอาด งดใช้ครีมที่มีกรดผลไม้หรือเรตินอลล่วงหน้า 2–3 วัน และแจ้งแพทย์หากมีประวัติแพ้สารบางชนิด หรืออยู่ระหว่างรับการรักษาผิวหน้าอื่น ๆ
Q : หลังทำบูสผิวควรดูแลตัวเองอย่างไร?
A : หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด งดการสครับหรือแต่งหน้าใน 24 ชั่วโมงแรก ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์อย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำมาก ๆ และทาครีมกันแดดทุกวัน จะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานและผิวฟื้นตัวได้ดีขึ้น
Q : บูสผิวใสเหมาะกับผู้ชายไหม?
A : เหมาะมากค่ะ โดยเฉพาะผู้ชายที่มีผิวโทรมจากการนอนดึก ทำงานหนัก หรือเจอมลภาวะ ผิวจะดูใสขึ้นโดยไม่ต้องใช้เมคอัพ ช่วยเสริมความมั่นใจแบบเป็นธรรมชาติ
Q : ราคาบูสผิวใสเริ่มต้นเท่าไหร่?
A : ราคาขึ้นอยู่กับสูตรและเทคโนโลยีที่เลือก เช่น เมโสทั่วไปอาจเริ่มต้นหลักพัน ส่วนสูตรเฉพาะอย่าง Rejuran หรือ Gouri อาจมีราคาสูงถึงหลักหมื่น แนะนำให้เข้ารับคำปรึกษาเพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกโปรแกรมที่เหมาะที่สุด
สรุป
บูสผิวใสช่วยปรับให้ผิวกระจ่างใส ฟื้นฟูผิวเสียได้อย่างรวดเร็ว แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะขึ้นกับวิธีการที่ใช้หากเลือกวิธีที่สามารถทำด้วยตัวเองง่ายๆ อย่างการทาเซรั่ม ขัดผิว หรือจะเลือกทำหัตถการที่สามารถบูสผิวใสได้รวดเร็วอย่างการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน ฉีดวิตามิน หากต้องการบูสผิวแต่ไม่รู้ว่าจะเลือกวิธีไหนดี สามารถเข้ามาปรึกษากับ Vincent Clinic Aesthetic ก่อนได้ค่ะ