โบท็อกใต้ตาเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยบริเวณรอบดวงตาโดยไม่ต้องผ่าตัด ด้วยการใช้สาร Botulinum Toxin ฉีดเข้าไปบริเวณใต้ตา แต่หลายคนอาจมีคำถามว่าโบท็อกใต้ตาอันตรายไหม ฉีดแล้วผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน หรือมีราคาแพงหรือไม่ บทความนี้ Vincent Clinic Aesthetic จะพามารู้จักกับโบท็อกใต้ตาแบบเจาะลึกค่ะ
Key Takeaway
-
โบท็อกใต้ตาคือการฉีดสาร Botulinum Toxin A เข้าสู่กล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาเพื่อคลายกล้ามเนื้อชั่วคราว ลดริ้วรอยใต้ตาที่เกิดจากการแสดงสีหน้า
-
การฉีดโบท็อกใต้ตาไม่อันตรายหากทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ใช้โบท็อกแท้ที่ได้มาตรฐาน และคลินิกที่น่าเชื่อถือ
-
ผู้ที่เหมาะกับการฉีดโบท็อกริ้วรอยใต้ตาคือผู้ที่มีริ้วรอยเล็กๆ ใต้ตาเมื่อขยับกล้ามเนื้อ ต้องการฟื้นฟูผิวรอบตาให้ดูสดใสและดูเด็กลงโดยไม่ต้องผ่าตัด หรือพักฟื้นหลังทำ
-
ผู้ที่ไม่เหมาะกับโบท็อกใต้ตาคือผู้ที่มีถุงใต้ตาชัดจากไขมันหรือผิวหนังหย่อน กล้ามเนื้อตาอ่อนแรงแต่กำเนิด แพ้โบท็อก หรือมีโรคเกี่ยวกับระบบประสาท
-
ผลลัพธ์ของโบท็อกใต้ตาจะเริ่มเห็นได้ใน 3 – 5 วัน และเห็นผลชัดเต็มที่ใน 2 สัปดาห์ โดยจะอยู่ได้ประมาณ 4–6 เดือน โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ยี่ห้อโบท็อก และการดูแลหลังฉีด
-
การฉีดโบท็อกริ้วรอยใต้ตาไม่ควรฉีดถี่เกินไป ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 3 เดือนต่อครั้ง หากฉีดบ่อยเกินไปอาจเสี่ยงต่อการดื้อยา หรือทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงเกินความจำเป็น
-
ก่อนฉีดโบท็อกใต้ตาควรงดการใช้ยาและอาหารเสริมที่ทำให้เลือดแข็งตัวยาก เช่น แอสไพริน วิตามินอี น้ำมันปลา งดแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24–48 ชั่วโมง พักผ่อนให้เพียงพอ
-
หลังฉีดโบท็อกใต้ตาควรหลีกเลี่ยงการจับ ลูบ หรือนวดใต้ตาในช่วง 24 ชั่วโมงแรก งดนอนราบหรือคว่ำหน้าใน 3 – 4 ชั่วโมงแรก รวมถึงหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ร้อนจัด
-
หากมีรอยแดง รอยเข็ม หรือบวมเล็กน้อยหลังฉีด ถือว่าเป็นเรื่องปกติและจะค่อย ๆ หายไปเองใน 3–7 วัน โดยสามารถแต่งหน้าเบา ๆ ได้หลัง 4 ชั่วโมง
โบท็อกใต้ตาคืออะไร?
โบท็อกใต้ตา คือ การฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin A) เข้าไปในกล้ามเนื้อบริเวณใต้ตา เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อชั่วคราว โดยตัวยาจะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ส่งผลให้ริ้วรอยหรือรอยย่นใต้ตาที่เกิดจากการแสดงสีหน้าลดลง
โบท็อกใต้ตาเหมาะกับใคร?
-
ผู้ที่มีริ้วรอยเล็กๆ ใต้ตาหรือรอยย่นรอบดวงตาเมื่อขยับ เช่น หางตา หรือตีนกา
-
ผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยแบบไม่ต้องผ่าตัดหรือทำหัตถการที่รุนแรง
-
ผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้นต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและสามารถใช้ชีวิตประจำวันต่อได้ทันที
-
ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวรอบดวงตาให้ดูสดใส อ่อนเยาว์ขึ้น โดยยังคงความเป็นธรรมชาติ
ใครไม่เหมาะกับการฉีดโบท็อกใต้ตา?
-
ผู้ที่มีภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงตั้งแต่กำเนิดอาจเสี่ยงต่อเปลือกตาตกหรือการมองเห็นผิดปกติ
-
ผู้ที่เคยแพ้หรือมีผลข้างเคียงรุนแรงจากการฉีดโบท็อกมาก่อน เช่น อาการบวมแดง กล้ามเนื้ออ่อนแรงมากผิดปกติ
-
ผู้ที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เพื่อความปลอดภัยต่อทารกควรหลีกเลี่ยงในช่วงนี้
-
ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบประสาทหรือภูมิคุ้มกัน เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง
-
ผู้ที่มีถุงใต้ตาหย่อนชัดเจนจากไขมันหรือผิวหนัง การฉีดโบท็อกอาจทำให้กล้ามเนื้อพยุงถุงใต้ตาอ่อนแรงลง ส่งผลให้ถุงยิ่งชัดขึ้น
โบท็อกใต้ตาเห็นผลเมื่อไหร่? อยู่ได้นานไหม?
โบท็อกใต้ตาจะเริ่มออกฤทธิ์ภายในประมาณ 3 – 5 วันหลังฉีด และเห็นผลชัดเจนเต็มที่เมื่อครบ 2 สัปดาห์ โดยผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 4 – 6 เดือน ก่อนที่ตัวยาจะค่อยๆ สลายไปตามธรรมชาติ ซึ่งระยะเวลาการคงผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปในแต่ละคนโดยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ยี่ห้อของโบท็อกที่ใช้ พฤติกรรมการใช้กล้ามเนื้อรอบดวงตา ความถี่ในการแสดงสีหน้า รวมถึงการดูแลตัวเองหลังฉีด
โบท็อกใต้ตาอันตรายไหม? ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
โบท็อกใต้ตาไม่อันตรายหากฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน และทำกับคลินิกที่เชื่อถือได้ อย่างไรก็ตามบริเวณใต้ตาเป็นจุดที่บอบบาง หากฉีดผิดตำแหน่งหรือใช้ปริมาณไม่เหมาะสมอาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น อาการบวม เขียว ช้ำในระยะแรก รวมถึงกล้ามเนื้ออ่อนแรงชั่วคราว ทำให้ฉีดโบท็อกแล้วตาตก เกิดอาการตาปรือ ใต้ตาดูแข็ง หรือแสดงสีหน้าได้ไม่เป็นธรรมชาติ
แล้วถ้ามีถุงใต้ตาชัดเจน ร่วมกับริ้วรอยใต้ตาการฉีดโบท็อกอาจทำให้กล้ามเนื้อที่พยุงถุงใต้ตาอ่อนแรง ส่งผลให้ถุงใต้ตายิ่งหย่อนชัดขึ้น หรือถ้าทำในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน เผลอใช้โบท็อกปลอม อาจเสี่ยงต่อผลข้างเคียงรุนแรง เช่น ตาตกรุนแรง ติดเชื้อ ดื้อโบท็อกได้
ขั้นตอนการฉีดโบท็อกใต้ตาเป็นอย่างไร?
การฉีดโบท็อกใต้ตาเป็นหัตถการที่ใช้เวลาไม่นาน โดยกระบวนการทั้งหมดต้องผ่านการวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
-
ปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด เข้าพบแพทย์เพื่อประเมินปัญหาริ้วรอยใต้ตา สภาพผิว และโครงสร้างใบหน้าโดยรวม เพื่อวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
-
เลือกยี่ห้อโบท็อกที่เหมาะสม แพทย์จะแนะนำชนิดของโบท็อกที่เหมาะกับปัญหา และงบประมาณที่คนไข้ต้องการ ซึ่งแต่ละยี่ห้อแตกต่างกันในด้านประสิทธิภาพ ความเร็วในการออกฤทธิ์ ระยะเวลาของผลลัพธ์ และราคา
-
เตรียมผิวก่อนฉีด ก่อนฉีดจะมีการทำความสะอาดบริเวณใต้ตาเพื่อลบเครื่องสำอาง สิ่งสกปรก จากนั้นอาจแปะยาชา หรือประคบน้ำแข็งเพื่อลดความรู้สึกเจ็บระหว่างฉีด
-
ฉีดโบท็อกเข้าสู่กล้ามเนื้อใต้ตา แพทย์จะใช้เทคนิคเฉพาะเพื่อฉีดในจุดที่เหมาะสม ให้ตัวยากระจายตัวได้ดี และได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติที่สุด
-
กลับบ้านและใช้ชีวิตได้ตามปกติ หลังฉีดสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที ไม่ต้องพักฟื้น แต่ควรดูแลให้ดีหลังฉีดโบท็อกใต้ตา เพื่อป้องกันการเคลื่อนตัวของยา หรือโบท็อกทำงานได้ไม่เต็มที่
ต้องฉีดโบท็อกใต้ตาบ่อยแค่ไหน? ถ้าหยุดฉีดจะเป็นอย่างไร?
แนะนำให้ฉีดโบท็อกใต้ตาห่างกันทุกๆ 3 เดือน เพื่อให้คงผลลัพธ์ที่ดีเอาไว้ต่อเนื่อง และลดความเสี่ยงต่อการดื้อยา ไม่ควรฉีดถี่เกินไป และไม่ควรเว้นระยะนานเกิน 6 เดือน เพราะถ้าหยุดฉีดหรือเว้นนานเกินกล้ามเนื้ออาจกลับมาทำงานเต็มที่ และริ้วรอยใต้ตาจะค่อย ๆ กลับมา
ต้องเตรียมตัวและดูแลอย่างไรก่อน – หลังฉีดโบท็อกใต้ตา?
การฉีดโบท็อกริ้วรอยใต้ตาแม้จะเป็นหัตถการที่ปลอดภัย แต่ก็ต้องอาศัยการเตรียมตัว การดูแลอย่างถูกวิธีทั้งก่อน และหลังฉีด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง แรวมถึงตัวยาออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ โดยมีวิธีการดังนี้
วิธีเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกใต้ตา
-
หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแอสไพริน ยากลุ่ม NSAIDs รวมถึงอาหารเสริมหรือวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา โสม ใบแปะก๊วย กระเทียม โดยควรงดอย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ก่อนฉีด
-
งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจเพิ่มโอกาสเกิดรอยช้ำหรือบวม ควรงดอย่างน้อย 24 – 48 ชั่วโมงก่อนทำฉีดโบท็อกใต้ตา
-
แจ้งแพทย์หากมีโรคประจำตัว ยาที่ใช้อยู่ เพื่อแพทย์จะได้ประเมินได้ว่าสามารถฉีดโบท็อกใต้ตาได้หรือไม่ และควรหยุดยาตัวไหนก่อนฉีดไหม
-
พักผ่อนให้เพียงพอ ในคืนก่อนวันฉีดไม่ควรอดนอน หรือนอนดึก เพื่อให้ร่างกายพร้อมที่จะรับโบท็อก ไม่เกิดอาการข้างเคียงหลังฉีด
-
เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน คลินิกต้องมีใบอนุญาตรับรอง และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านการใช้โบท็อก และรู้โครงสร้างใบหน้าเป็นอย่างดี
-
ตรวจสอบโบท็อกที่ใช้ทุกครั้งว่าเป็นของแท้ โบท็อกต้องได้มาตรฐานอย. มีเลขล็อต ข้อมูลทั้งหมดต้องตรงกันระหว่างขวด และกล่อง หรือใช้วิธีสแกน QR code เพื่อเช็กผลิตภัณฑ์ก่อนฉีด
วิธีดูแลหลังฉีดโบท็อกใต้ตา
-
หลีกเลี่ยงการจับ ลูบ หรือกดนวดบริเวณใต้ตา เพราะอาจทำให้ตัวยาเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งที่ไม่ต้องการ ในช่วง 24 ชั่วโมงหลังฉีดจึงไม่ควรจับใต้ตา
-
ไม่ควรนอนราบ นอนคว่ำ หรือก้มหัวต่ำกว่าระดับอก เพื่อป้องกันการกระจายตัวยาผิดตำแหน่ง ควรงดนอน ในช่วง 3–4 ชั่วโมงแรกหลังฉีด
-
งดกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อน ใช้ความร้อน เช่น การเข้าซาวน่า ทำเลเซอร์ ออกกำลังกายหนัก หรืออยู่กลางแดดร้อนจัด เป็นเวลา 1–3 วันหลังฉีด
-
งดดื่มแอลกอฮอล์และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะอาจรบกวนกระบวนการออกฤทธิ์ของโบท็อก ควรงดไปก่อนในช่วง 2 – 3 วันแรก
-
ควรขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเล็กน้อย เช่น ขยับตาหรือยิ้มเบาๆ เพื่อช่วยกระจายตัวยาให้เข้าสู่กล้ามเนื้อได้ดีขึ้น
-
หากมีอาการบวม แดง ไม่ควรกด หรือจับ อาการเหล่านี้เป็นอาการที่เกิดขึ้นเองตามปกติ และมักจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมง ถ้าสัมผัสแรงๆ หรือกดตัวยากระจายไปผิดที่ได้
โบท็อกใต้ตากับหัตถการอื่น ต่างกันอย่างไร?
การฉีดโบท็อกใต้ตาเป็นหนึ่งในวิธีลดเลือนริ้วรอยที่ได้รับความนิยม แต่ก็ไม่ใช่ทางเลือกเดียวในการแก้ปัญหาใต้ตา ยังมีหัตถการอื่นที่ใช้ร่วมกัน หรือเลือกแทนกันได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของปัญหาที่ต้องการแก้ไข
โบท็อกใต้ตา VS ฟิลเลอร์ใต้ตา
โบท็อกใต้ตาเหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยเล็กๆ หรือริ้วรอยตื้นที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เช่น รอยย่นใต้ตาเวลาแสดงสีหน้า การฉีดโบท็อกจะช่วยคลายกล้ามเนื้อ ทำให้ผิวดูเรียบขึ้น ริ้วรอยใต้ตาจางลง เหมาะสำหรับการป้องกัน และลดเลือนริ้วรอยระยะเริ่มต้น โดยจะเห็นผลภายใน 1–2 สัปดาห์ และผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 4 – 6 เดือน
ในขณะที่ฟิลเลอร์ใต้ตาจะเหมาะกับปัญหาที่ลึกกว่า เช่น ร่องใต้ตา เบ้าตาลึก หรือใต้ตาดูโทรม ซึ่งเกิดจากการสูญเสียไขมันหรือคอลลาเจน ฟิลเลอร์จะทำหน้าที่เติมเต็มส่วนที่ยุบตัว ทำให้ผิวกลับมาเรียบและอิ่มฟู โดยจะเห็นผลทันทีหลังฉีด และอยู่ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน
โบท็อกใต้ตา VS เลเซอร์ลดถุงใต้ตา
โบท็อกใต้ตาใช้เพื่อลดเลือนริ้วรอยตื้นที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ โดยจะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวชั่วคราว ส่งผลให้ผิวใต้ตาเรียบขึ้น แต่ไม่สามารถแก้ไขถุงใต้ตาที่เกิดจากไขมัน หรือผิวหนังส่วนเกินได้ และในบางกรณีอาจทำให้กล้ามเนื้อที่พยุงถุงใต้ตาอ่อนแรง จนถุงดูหย่อนชัดเจนกว่าเดิม
ส่วนเลเซอร์ลดถุงใต้ตาเป็นหัตถการที่ใช้พลังงานเลเซอร์กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและกระชับผิวใต้ตา ช่วยให้ผิวดูเรียบขึ้น และลดความชัดของถุงใต้ตาได้ในระดับหนึ่ง เหมาะสำหรับผู้ที่มีถุงใต้ตาเล็กน้อย หรือผิวหย่อนเบาๆ แต่ไม่ได้แก้ปัญหาถุงใต้ตาโดยตรงเท่าการรักษาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ หรือการผ่าตัด
ฉีดโบท็อกใต้ตาราคาเท่าไหร่?
ฉีดโบท็อกใต้ตาราคาประมาณ 3,000 – 10,000 บาท ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ยี่ห้อของโบท็อก ปริมาณยูนิตที่ใช้ ความเชี่ยวชาญของแพทย์ และมาตรฐานของแต่ละคลินิก ก่อนที่จะตัดสินใจฉีดถ้าเห็นว่าโบท็อกมีราคาถูกมากจนเกินไปควรเช็กให้ดีก่อนฉีดว่าเป็นของแท้ หากเป็นโบท็อกปลอมอาจ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโบท็อกใต้ตา (FAQ)
Q: โบท็อกใต้ตาอยู่ได้นานแค่ไหน?
A: โบท็อกใต้ตาอยู่ได้ประมาณ 4–6 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้ พฤติกรรมการแสดงสีหน้า และการดูแลหลังฉีด หากต้องการผลลัพธ์ต่อเนื่องควรฉีดซ้ำทุกๆ 3 – 6 เดือน
Q: โบท็อกใต้ตากับฟิลเลอร์ใต้ตาต่างกันยังไง?
A: โบท็อกใต้ตาใช้ลดริ้วรอยจากการขยับกล้ามเนื้อ ส่วนฟิลเลอร์ใต้ตาใช้เติมเต็มร่องลึกหรือแก้ปัญหาตาโหลที่เกิดจากการยุบตัวของผิว
Q: โบท็อกใต้ตาช่วยลดถุงใต้ตาได้ไหม?
A: โบท็อกใต้ตาไม่ได้ช่วยลดถุงใต้ตาโดยตรง เพราะออกฤทธิ์กับกล้ามเนื้อ ไม่ได้แก้ไขปัญหาจากไขมันหรือผิวหนังที่หย่อนคล้อย และหากฉีดผิดตำแหน่งอาจทำให้กล้ามเนื้อพยุงถุงใต้ตาอ่อนแรงส่งผลให้ถุงใต้ตายิ่งชัดขึ้น
Q: ฉีดโบท็อกใต้ตาบ่อยๆ จะเป็นอันตรายหรือไม่?
A: ฉีดโบท็อกใต้ตาไม่เป็นอันตรายหากเว้นระยะห่างอย่างน้อย 3 เดือนต่อครั้ง แต่หากฉีดบ่อยเกินไป เช่น ฉีดทุกเดือนอาจเสี่ยงต่อการดื้อยา ทำให้โบท็อกไม่ออกฤทธิ์ หรือเห็นผลน้อยลงในอนาคต
Q: โบท็อกใต้ตาทำให้ตาดูโตขึ้นได้ไหม?
A: โบท็อกใต้ตาไม่ได้ทำให้ตาดูโตขึ้นโดยตรง แต่สามารถช่วยให้ผิวรอบดวงตาเรียบเนียน ทำให้ดวงตาดูสดใส และดวงตาเปิดขึ้นเล็กน้อย
Q: โบท็อกใต้ตาต้องฉีดกี่ยูนิต?
A: ฉีดโบท็อกลดริ้วรอยใต้ตาใช้ประมาณ 25 ยูนิต แต่ปริมาณอาจปรับตามปัญหา และการประเมินของแพทย์ แต่ไม่ควรใช้มากเกินไปเพราะอาจทำให้ตาแข็งหรือดูไม่เป็นธรรมชาติ
Q: หลังฉีดโบท็อกใต้ตาอาการบวมช้ำกี่วันถึงหาย?
A: หลังฉีดโบท็อกใต้ตาอาจมีรอยเข็ม หรืออาการบวมช้ำเล็กน้อยซึ่งจะค่อยๆ หายไปภายใน 3 – 7 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลหลังฉีดของแต่ละคน
สรุป
โบท็อกซ์ใต้ตาสามารถช่วยลดริ้วใต้ตาที่เกิดขึ้นเมื่อแสดงสีหน้า เช่น ยิ้ม หัวเราะให้จางลง โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ หากฉีดกับแพทย์ที่เชี่ยวชาญประเมินปริมาณได้เหมาะกับปัญหา แต่ถ้ามีถุงใต้ตาร่วมด้วยการฉีดโบท็อกใต้ตาต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะสามารถทำให้ถุงใต้ตาหย่อนคล้อยกว่าเดิมได้ หากใครที่ต้องการแก้ริ้วรอยใต้ตา หรือฉีดโบท็อก สามารถเข้ามาปรึกษากับ Vincent Clinic Aesthetic ที่จะมีแพทย์ที่มีประสบการณ์คอยให้คำแนะนำอย่างละเอียดค่ะ