บทความ
โบท็อกลดกลิ่นตัวได้จริงหรือ ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง ต้องระวังอะไรไหม
แชร์ :

โบท็อกลดกลิ่นตัวได้จริงหรือ ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง ต้องระวังอะไรไหม

โบท็อกลดกลิ่นตัว ลดกลิ่นตัวได้จริงไหม
อยากอ่านอะไร จิ้มที่หัวข้อได้เลย!

โบท็อกลดกลิ่นตัวหนึ่งในทางเลือกในการแก้ปัญหาสำหรับคนที่กลิ่นตัวแรง มีเหงื่อเยอะ ใช้อะไรก็ไม่ดีขึ้น แต่บางคนอาจจะยังมั่นไม่ใจว่าฉีดแล้วเห็นผลได้จริงไหม ยังมีความกังวลใจอยู่ ในบทความนี้ Vincent Clinic Aesthetic จะพามาเจาะลึกกับการฉีดโบท็อกลดกลิ่นตัวทั้งขั้นตอนวิธีการไปจนถึงการดูแลหลังฉีดค่ะ

Key Takeaway

  • โบท็อกลดกลิ่นตัวเป็นหัตถการทางการแพทย์ที่ช่วยลดเหงื่อและกลิ่นตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยนิยมฉีดบริเวณรักแร้ ฝ่ามือ หรือฝ่าเท้า เพื่อยับยั้งการทำงานของต่อมเหงื่อที่เป็นต้นตอของกลิ่นไม่พึงประสงค์
  • โบท็อกลดกลิ่นตัว เหมาะสำหรับผู้ที่มีเหงื่อออกมาก กลิ่นตัวแรง ลองวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล หรือแพ้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นตัว และต้องการผลลัพธ์ที่เห็นผลเร็วโดยไม่ต้องผ่าตัด
  • ข้อดีของโบท็อกลดกลิ่นตัวคือ ไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ ไม่ทิ้งรอยแผล เห็นผลเร็ว ปลอดภัยเมื่อฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ และผลลัพธ์อยู่ได้นาน 3 – 6 เดือน
  • โบท็อกลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัวมีข้อควรระวังอยู่ คือ ต้องทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น เพราะหากฉีดผิดเทคนิค อาจได้ผลลัพธ์ไม่เต็มประสิทธิภาพ และควรหลีกเลี่ยงการฉีดในผู้ที่แพ้สารโบท็อก
  • หลังการฉีดโบท็อกลดกลิ่นตัว ควรดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม เช่น งดออกกำลังกายหนัก งดใช้โรลออน และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกหรือโดนความร้อนสูงเป็นเวลา 1–2 สัปดาห์
  • หากดูแลถูกวิธีโบท็อกลดกลิ่นตัวสามารถช่วยแก้ปัญหาเหงื่อสะสมและกลิ่นตัวได้อย่างตรงจุด เพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเห็นผล

กลิ่นตัวเกิดจากอะไร?

กลิ่นตัวเป็นกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นจากร่างกาย โดยกลิ่นตัวมีอยู่ 2 ประเภท คือ กลิ่นตัวจากต่อมกลิ่น และกลิ่นตัวจากเหงื่อซึ่งต่างกันดังนี้

กลิ่นตัวจากต่อมกลิ่น 

ต่อมกลิ่นที่อยู่บริเวณรักแร้และอวัยวะเพศสามารถหลั่งสารฟีโรโมน ซึ่งโดยตัวมันเองอาจมีกลิ่นเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อผสมกับแบคทีเรียบนผิวหนังจะถูกเปลี่ยนเป็นสารที่มีกลิ่นแรง เช่น กรดไขมันสายสั้นและแอมโมเนีย

กลิ่นตัวจากเหงื่อ

บริเวณเท้าและมือที่เหงื่อออกมาก ประกอบกับความอับชื้นและการสะสมของแบคทีเรีย จะทำให้เกิดกลิ่นเหม็น และอาจพบว่าผิวหนังบริเวณดังกล่าวมีลักษณะเป็นหลุมหรือเสื่อมสภาพจากการย่อยสลายของเชื้อโรคนอกจากประเภทของกลิ่นตัวแล้ว ยังมีปัจจัยที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวจากหลายๆ ปัจจัย เช่น

  • อาหาร การบริโภคอาหารบางชนิด เช่น กระเทียม หัวหอม เครื่องเทศ หรืออาหารที่มีกลิ่นแรง อาจมีผลต่อกลิ่นตัว เนื่องจากสารบางชนิดจากอาหารเหล่านี้สามารถขับออกมาทางต่อมเหงื่อ
  • ฮอร์โมน กลิ่นตัวอาจรุนแรงขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น หรือในผู้ชายที่มีฮอร์โมนเพศชายสูง
  • ความเครียด เมื่อเกิดความเครียด ร่างกายจะกระตุ้นการทำงานของต่อมเหงื่อชนิดพิเศษซึ่งเกี่ยวข้องกับกลิ่นตัวโดยตรง
  • สุขภาพ ผู้ที่มีภาวะเหงื่อออกมากกว่าปกติ หรือมีปัญหาสุขภาพ เช่น การติดเชื้อที่ผิวหนัง โรคเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ หรือความผิดปกติของต่อมเหงื่อก็มีแนวโน้มที่จะมีกลิ่นตัวมากกว่าปกติ

โบท็อกลดกลิ่นตัวคืออะไร?

การฉีดโบท็อกเพื่อลดกลิ่นตัวคือวิธีทางการแพทย์ที่ใช้สารโบทูลินัม ท็อกซิน ชนิดเอ (Botulinum Toxin Type A) ซึ่งเป็นสารโปรตีนที่มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของระบบประสาท ซึ่งโบท็อกนั้นไม่ได้ช่วยเพียงแค่เรื่องความงามอย่างเดียว แต่ยังสามารถนำมาใช้เพื่อควบคุมเหงื่อส่วนเกินและลดกลิ่นตัวได้ โดยจำนวนยูนิตที่ใช้จะขึ้นอยู่กับพื้นที่โดยใช้ประมาณข้างละ 50 -100 ยูนิต ซึ่งบริเวณที่นิยมฉีดโบท็อกเพื่อลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัวมีอยู่ด้วยกันหลักๆ 3 บริเวณ คือ

โบท็อกลดเหงื่อฉีดจุดไหน

  • รักแร้ เป็นจุดที่พบเหงื่อออกมากและเป็นต้นเหตุของกลิ่นตัวที่รุนแรง การฉีดโบท็อกบริเวณนี้จึงช่วยลดทั้งเหงื่อและกลิ่นได้อย่างตรงจุด เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาใต้วงแขนเปียกชื้นจนเห็นเป็นวง หรือกลิ่นตัวแรงแม้จะดูแลความสะอาดเป็นประจำ
  • ฝ่ามือ เป็นจุดที่เกิดขึ้นได้เมื่อตื่นเต้นมากๆ หรือบางคนมีอาการมือเหงื่อเยอะแล้ว ไม่มั่นใจเวลาต้องจับมือกับคนอื่น
  • ฝ่าเท้า เป็นอีกจุดที่บางคนมีเหงื่อออกมากจนส่งผลต่อความมั่นใจหรือมีปัญหากลิ่นเท้า กลไกการลดเหงื่อและกลิ่นทำงานในลักษณะเดียวกันกับที่รักแร้

ขั้นตอนการทำโบท็อกลดกลิ่นตัว

  • ประเมินปริมาณโบท็อกที่ต้องใช้ แพทย์จะตรวจประเมินเพื่อดูพื้นที่ที่เหงื่อออกมาก พร้อมประเมินปริมาณยูนิตของโบท็อกที่ต้องใช้ให้เหมาะสม
  • เตรียมผิวก่อนทำหัตถการ ก่อนฉีดจะมีการทำความสะอาดผิวหนังบริเวณรักแร้ จากนั้นอาจทายาชา หรือประคบเย็นในบริเวณที่จะฉีดเพื่อลดความรู้สึกเจ็บขณะทำ
  • ฉีดโบท็อกเข้าชั้นผิวหนังตื้น แพทย์จะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดโบท็อกเข้าไปในชั้นผิวหนังตื้นๆ เป็นจุดเล็กๆ 20 – 30 จุด โดยแต่ละจุดจะห่างกันประมาณ 1 เซนติเมตร จุดละประมาณ 0.1 ยูนิต เพื่อให้โบท็อกกระจายตัวสม่ำเสมอ
  • ระยะเวลาในการทำหัตถการ การฉีดโบท็อกลดเหงื่อที่จะใช้เวลาในการทำอยู่ที่ประมาณ 20 – 30 นาทีต่อครั้ง เมื่อเสร็จแล้วสามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันได้ทันทีโดยไม่ต้องพักฟื้น

ข้อดีของการใช้โบท็อกลดกลิ่นตัว

  • เห็นผลชัดเจนในการลดกลิ่นตัว เมื่อเหงื่อลดลงการสะสมของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นก็ลดลงตามไปด้วยทำให้กลิ่นตัวจางลง
  • ไม่ต้องผ่าตัดหรือทำหัตถการที่ซับซ้อน โบท็อกลดกลิ่นตัวเป็นหัตถการที่ไม่ต้องมีการผ่าตัด ไม่ต้องเปิดแผล ไม่ต้องใช้เวลานอนพัก
  • ไม่เจ็บ ไม่มีรอยแผลเป็น แพทย์ใช้เข็มขนาดเล็กฉีดสารเข้าสู่ชั้นผิวตื้น ซึ่งให้ความรู้สึกเจ็บน้อยมาก และไม่ทำให้เกิดแผลหรือรอยช้ำรุนแรง
  • ผลลัพธ์อยู่ได้นาน แม้ผลลัพธ์โบท็อกจะไม่ถาวรแต่สามารถลดเหงื่อ และกลิ่นตัวได้นานประมาณ 4 – 6 เดือน
  • ฟื้นตัวเร็วใช้ชีวิตได้ตามปกติ หลังฉีดสามารถกลับบ้านหรือกลับไปทำงานได้ทันที ไม่จำเป็นต้องหยุดงานหรือพักฟื้น
  • ไม่ต้องเตรียมตัวล่วงหน้า ฉีดโบท็อกไม่จำเป็นต้องมีการเตรียมตัวพิเศษ ไม่ต้องงดน้ำ งดอาหาร หรือเตรียมเอกสารทางการแพทย์มากมาย สามารถเข้ารับบริการได้ทันทีหลังจากผ่านการประเมินจากแพทย์
  • ช่วยเสริมความมั่นใจ เมื่อกลิ่นตัวลดลงและบริเวณรักแร้แห้งมากขึ้น ผู้เข้ารับการรักษาจะรู้สึกมั่นใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อชื้น กลิ่นตัวระหว่างวัน หรือความอับชื้นจากเหงื่ออีกต่อไป
  • คุ้มค่ากับราคา เมื่อเทียบกับวิธีรักษาอื่น เช่น การผ่าตัดต่อมเหงื่อหรือการเลเซอร์บางประเภท การฉีดโบท็อกถือว่าเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า ด้วยค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมาก และผลลัพธ์ที่ชัดเจน

ข้อเสียและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้โบท็อกลดกลิ่นตัว

  • ไม่ใช่วิธีรักษาแบบถาวร ต้องกลับมาฉีดซ้ำทุก 4 – 6 เดือนเพื่อคงผลลัพธ์ที่ไม่มีกลิ่นตัว ไม่มีเหงื่อเอาไว้
  • ต้องฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ ปลอดภัย หากฉีดกับแพทย์ไม่มีประสบการณ์อาจอันตรายได้
  • ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปริมาณเหงื่อ สภาพร่างกาย และเทคนิคการฉีด
  • มีผลข้างเคียงเล็กน้อย หลังทำอาจมีอาการบวม และรอยช้ำจากเข็ม ซึ่งจะค่อยๆ หายไปเองใช้เวลาไม่นาน

โบท็อกลดกลิ่นตัวอันตรายไหม?

การฉีดโบท็อกเพื่อลดกลิ่นตัวถือเป็นวิธีที่มีความปลอดภัยสูง หากดำเนินการโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ และภายใต้การควบคุมของสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน โบท็อกเป็นสารที่ได้รับการรับรองว่าสามารถใช้เพื่อลดเหงื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากทำโดยผู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ หรือเลือกใช้บริการในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน ความเสี่ยงก็อาจเพิ่มขึ้นได้ เช่น การใช้โบท็อกปลอม หรือไม่ได้คุณภาพ การฉีดผิดตำแหน่ง หรือการใช้ปริมาณยาที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง หรือเกิดผลข้างเคียงที่อันตรายได้

ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากโบท็อกลดกลิ่นตัว

หลังฉีดโบท็อกบริเวณรักแร้ เหงื่อจะเริ่มลดลงภายใน 3 – 7 วัน และกลิ่นตัวจะค่อย ๆ จางลงตามไปด้วย โดยสามารถลดได้มากถึงประมาณ 80% ทำให้รู้สึกแห้งสบายและมั่นใจมากขึ้นในชีวิตประจำวัน ผลลัพธ์จากการฉีดอยู่ได้นานประมาณ 3 – 4 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของโบท็อก เทคนิคของแพทย์ และการดูแลตัวเอง หากต้องการผลลัพธ์ต่อเนื่องควรกลับมาฉีดซ้ำทุกๆ 3 – 6 เดือน

การดูแลตัวเองหลังการทำโบท็อกลดกลิ่นตัว

เพื่อให้ผลลัพธ์หลังจากฉีดโบท็อกลดกลิ่นอยู่ได้นาน เห็นผลชัดได้ชัดเจน ควรดูแลหลังฉีดให้ถูกวิธี โดยมีวิธีดูแลดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการเกา กด นวด หรือสัมผัสแรงๆ บริเวณที่ฉีด อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการกระจายตัวของยาไปยังตำแหน่งที่ไม่ต้องการ
  • งดใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย เช่น โรลออนหรือสเปรย์ เป็นเวลา 1 วัน หลังฉีด เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคือง
  • งดออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เช่น ยกเวท วิ่ง หรือกิจกรรมกลางแจ้ง อย่างน้อย 1 วันหลังฉีด
  • งดอบซาวน่า อบตัว หรืออยู่ในสถานที่ที่มีความร้อนสูง เช่น อบไอน้ำ หรืออบสมุนไพร เป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพราะอุณหภูมิสูงอาจลดประสิทธิภาพของโบท็อก
  • งดทำเลเซอร์ หรือทรีตเมนต์ในบริเวณที่ฉีดโบท็อกลดกลิ่นตัว เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนผิวบริเวณที่ฉีดควรงดทำเลเซอร์ เช่น  Pico laser ประมาณ 2 สัปดาห์ 
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ ไวน์ เหล้า หรือน้ำหมัก เป็นเวลา 1 – 2 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้รอยช้ำหายช้าลงและกระทบต่อการฟื้นตัวของร่างกาย
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดองหรืออาหารรสจัด เช่น ปลาร้า หน่อไม้ดอง มะม่วงดอง เป็นเวลา 2 สัปดาห์ เนื่องจากอาจกระตุ้นกลิ่นตัวในบางราย
  • ดื่มน้ำมากขึ้น วันละประมาณ 1.5 – 2 ลิตร เพื่อช่วยให้ระบบในร่างกายสมดุล และช่วยให้ฤทธิ์ของโบท็อกอยู่ได้นาน
  • รักษาความสะอาดบริเวณรักแร้อย่างอ่อนโยน หลีกเลี่ยงสบู่แรงหรือการขัดถูรุนแรง โดยเฉพาะในช่วง 1 – 2 สัปดาห์แรก

โบท็อกลดกลิ่นตัวเหมาะกับใคร

โบท็อกลดกลิ่นตัวเหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่มีเหงื่อออกมากกว่าปกติบริเวณรักแร้ ไม่ว่าจะจากสภาพอากาศ การใช้ชีวิต หรือมีภาวะเหงื่อออกผิดปกติ (Hyperhidrosis)
  • ผู้ที่ประสบปัญหากลิ่นตัวแรงจากเหงื่อสะสม โดยเฉพาะในจุดที่อับชื้น เช่น ใต้วงแขนที่มักมีการสะสมของแบคทีเรียจนเกิดกลิ่นตัว
  • ผู้ที่เคยลองใช้ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อหรือระงับกลิ่นตัว เช่น โรลออน สเปรย์ หรือครีมแล้วไม่ได้ผล ยังมีปัญหากลิ่นตัวอยู่
  • ผู้ที่แพ้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นตัว หรือแพ้เหงื่อตัวเองจนทำให้เกิดอาการการระคายเคือง หรือผื่นคัน เป็นตุ่มๆ บริเวณรักแร้
  • ผู้ที่ต้องออกงาน พบปะผู้คน หรือเข้าสังคมบ่อย ต้องการความมั่นใจเมื่อต้องแต่งกายโดยเปิดเผยวงแขน
  • ผู้ที่ไม่ต้องการให้เสื้อมีคราบเหงื่อ มีปัญหาเปียกชื้นที่รักแร้ ช่วงใต้วงแขนเปียกเหงื่อจนสามารถมองเห็นได้
  • ผู้ที่ต้องการวิธีที่เห็นผลเร็ว ไม่อยากผ่าตัด คอยดูแลแผล หรือพักฟื้นหลังทำ ต้องการใช้ชีวิตได้ตามปกติทันที
  • ผู้ที่กลัวการผ่าตัดต่อมเหงื่อ เพราะโบท็อกลดเหงื่อเจ็บน้อย และไม่มีแผลเป็นถาวรให้คอยกังวลใจ
  • ผู้ที่มีเหงื่อออกมากจากกรรมพันธุ์ มีประวัติครอบครัวที่มีภาวะเหงื่อออกผิดปกติ ที่แก้ปัญหาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล
  • ผู้ที่มีกลิ่นตัวแรงจากปัญหาสุขภาพ เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน หรือปัญหาฮอร์โมนที่ส่งผลต่อการทำงานของต่อมเหงื่อและกลิ่นตัว

โบท็อกลดกลิ่นตัวไม่เหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่เคยมีประวัติแพ้สารโบทูลินัม ท็อกซิน หากเคยมีอาการแพ้รุนแรง เช่น ผื่น หายใจลำบาก หรือหน้าบวมหลังการฉีดไม่ควรฉีดเด็ดขาด
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางประเภท โดยเฉพาะโรคระบบประสาทและกล้ามเนื้อ เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือผู้ที่มีปัญหาทางเดินหายใจเรื้อรัง เพราะอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบประสาทในบางกรณี
  • ผู้ที่สุขภาพโดยรวมไม่แข็งแรง หรือกำลังป่วยหนัก เช่น มีการติดเชื้อรุนแรง มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ หรืออยู่ในระหว่างการรักษาโรคที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด ก็ควรหลีกเลี่ยงการฉีดชั่วคราว
  • ผู้หญิงที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ถึงแม้ยังไม่มีหลักฐานที่ชี้ชัดว่าโบท็อกมีอันตรายต่อทารก แต่แนะนำให้เลื่อนการฉีดออกไปก่อนเพื่อความปลอดภัย

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับโบท็อกลดกลิ่น

Q: โบท็อกลดกลิ่นตัวเจ็บไหม?
A: เจ็บเพียงเล็กน้อย ขณะฉีดอาจรู้สึกเหมือนเข็มจิ้มเบาๆ แต่ปกติแล้วจะมีทายาชาหรือประคบเย็นก่อนฉีดทำให้ความเจ็บลดลง

Q: ผลลัพธ์จากการทำโบท็อกลดกลิ่นตัวเห็นผลเมื่อไหร่?
A: ผลลัพธ์จากการฉีดโบท็อกลดกลิ่นตัวจะเริ่มเห็นภายใน 3 – 7 วัน เหงื่อจะค่อยๆ ลดลง และกลิ่นตัวจะจางลง

Q: โบท็อกลดกลิ่นตัวอยู่ได้นานแค่ไหน?
A: โบท็อกลดกลิ่นตัวอยู่ได้นานประมาณ 3 – 4 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ฉีด ยี่ห้อที่ใช้ และการดูแลตัวเองหลังทำ

Q: ผลข้างเคียงจากการทำโบท็อกลดกลิ่นตัวมีอะไรบ้าง?
A: ผลข้างเคียงจากการทำโบท็อกลดกลิ่นตัวอาจมีอาการบวม ช้ำ บริเวณที่ฉีด ซึ่งมักหายได้เองภายในไม่กี่วัน

Q: หลังการทำโบท็อกลดกลิ่นตัวสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้ไหม?
A: หลังการทำโบท็อกลดกลิ่นตัวสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายและกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมากใน 24 ชั่วโมงแรก

Q: ราคาในการทำโบท็อกลดกลิ่นตัวประมาณเท่าไหร่?
A: โบท็อกลดกลิ่นตัวราคาประมาณ 1,000 – 15,000 บาทต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้ ปริมาณยูนิต และราคาของแต่ละคลินิก

Q: การทำโบท็อกลดกลิ่นตัวปลอดภัยหรือไม่?
A: โบท็อกลดกลิ่นตัวปลอดภัย หากฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน

Q: สามารถทำโบท็อกลดกลิ่นตัวพร้อมกับการทำศัลยกรรมอื่นๆ ได้ไหม?
A: สามารถทำโบท็อกลดกลิ่นตัวพร้อมกับศัลยกรรมอื่นได้ เช่น โบท็อกจุดอื่นๆ หรือฉีดฟิลเลอร์ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อความปลอดภัย

สรุป

โบท็อกลดกลิ่นตัวจะฉีดเป็นจุดเล็กๆ เพื่อให้ตัวยากระจายตัวทั่วถึงสามารถลดการเกิดเหงื่อ และกลิ่นตัวได้อย่างดี เหมาะกับคนที่มีปัญหาเหงื่อเยอะ กลิ่นตัวแรง แต่เพื่อผลลัพธ์ที่ต่อเนื่องต้องกลับมาฉีดโบท็อกลดกลิ่นตัวซ้ำหากโบท็อกเริ่มสลาย ถ้าใครที่มีปัญหากลิ่นตัว รำคาญเสื้อผ้าช่วงวงแขนเปียกอยู่บ่อยๆ สามารถเข้ามาปรึกษากับ Vincent Clinic Aesthetic โดยจะมีแพทย์ที่มีประสบการณ์คอยให้คำแนะนำกับแต่ละคนไข้อย่างละเอียดค่ะ

Scroll to Top