บทความ
อาการแพ้ครีม เป็นแบบไหน สังเกตอย่างไร รักษาอาการแพ้ด้วยวิธีไหนบ้าง
แชร์ :

อาการแพ้ครีม เป็นแบบไหน สังเกตอย่างไร รักษาอาการแพ้ด้วยวิธีไหนบ้าง

อาการแพ้ครีมเป็นแบบไหน
อยากอ่านอะไร จิ้มที่หัวข้อได้เลย!

อาการแพ้ครีม เป็นปัญหาผิวที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีผิวบอบบางอยู่แล้ว หรือเพิ่งเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่โดยไม่รู้ตัวว่าไม่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง รู้ตัวอีกทีก็แสบคันหน้าไปแล้ว ในบทความนี้ Vincent Clinic Aesthetic จะพามารู้จักกับอาการแพ้ครีมอย่างละเอียด ตั้งแต่การสังเกตอาการเบื้องต้น สาเหตุที่ทำให้เกิดการแพ้ วิธีรักษาให้ผิวหายไว รวมถึงการเลือกครีมที่ปลอดภัยในอนาคต พร้อมคำแนะนำสำหรับคนที่สงสัยว่าแพ้ครีมควรทำยังไง หรือต้องพักผิวนานแค่ไหนถึงจะกลับมาใช้ครีมได้อีกเพื่อไม่ให้ผิวกลับมาแพ้ครีมอีกค่ะ

Key Takeaway

  • อาการแพ้ครีมคือปฏิกิริยาของผิวที่ตอบสนองต่อสารบางชนิดในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือเครื่องสำอาง ซึ่งอาจเกิดขึ้นทันทีหรือค่อย ๆ สะสม โดยแสดงอาการ เช่น ผื่นแดง คัน แสบ ลอก สิวผด หรืออักเสบ
  • สาเหตุหลักเกิดจากสารระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม พาราเบน หรือสารต้องห้าม เช่น สเตียรอยด์ ปรอท รวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์หลายตัวพร้อมกัน หรือครีมไม่มีมาตรฐาน
  • หากสงสัยว่าแพ้ครีมควรหยุดใช้ทันที ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า เลือกผลิตภัณฑ์บำรุงที่อ่อนโยน งดแต่งหน้า และหลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวแรง ๆ เพื่อให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น
  • อาการแพ้ครีมรุนแรง เช่น มีตุ่มหนอง ผิวบวมแดง ไม่ดีขึ้นภายใน 3 – 5 วัน ควรพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อป้องกันการลุกลามหรือเกิดรอยแผลถาวร
  • ผิวที่เคยแพ้ครีมสามารถฟื้นฟูกลับมาแข็งแรงได้ หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ควรใช้เวชสำอางในช่วงฟื้นฟู และเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบสำหรับผิวแพ้ง่าย
  • วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ เลือกครีมที่ผ่าน อย. ไม่มีสารต้องห้าม หลีกเลี่ยงการใช้หลายตัวพร้อมกัน และทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้จริงเสมอ

อาการแพ้ครีม คืออะไร?

อาการแพ้ครีม คืออาการที่ผิวเกิดปฏิกิริยาตอบสนองต่อส่วนประกอบบางชนิดในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว หรือเครื่องสำอาง ซึ่งสารเหล่านี้อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการระคายเคือง ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองผิดปกติ จนนำไปสู่อาการผิดปกติบนผิวหนัง เช่น คัน แดง ผดผื่น สิวขึ้น หรือแม้แต่บวมอักเสบในบางราย ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นจากการใช้ครีมสามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ 

  • การระคายเคือง (Irritation) เป็นปฏิกิริยาที่ผิวหนังแสดงออกทันทีหลังสัมผัสกับสารที่มีความรุนแรง เช่น กรด แอลกอฮอล์ หรือส่วนผสมที่มีความเข้มข้นสูง ซึ่งอาการมักเกิดเฉพาะบริเวณที่สัมผัสกับผลิตภัณฑ์ 
  • อาการแพ้ (Allergic Contact Dermatitis) เป็นผลจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ตอบสนองต่อสารที่แพ้ ซึ่งอาจใช้เวลาสะสมก่อนแสดงอาการ โดยมักจะไม่เกิดขึ้นในทันทีหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ แต่จะเกิดหลังจากใช้ไปสักระยะเมื่อผิวเริ่มอ่อนแอ

อาการแพ้ครีมเป็นแบบไหน

อาการแพ้ครีมมีลักษณะอย่างไร?

เมื่อผิวของเราตอบสนองต่อสารบางชนิดในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือเครื่องสำอางด้วยอาการผิดปกติ นั่นคือสัญญาณของอาการแพ้ครีม ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ที่มีผิวบอบบาง หรือผิวปกติ โดยอาการอาจเกิดขึ้นทันทีหลังจากใช้ หรือเกิดขึ้นภายหลังเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์นั้นไปสักระยะหนึ่งแล้วผิวเริ่มอ่อนแอลง โดยอาการแพ้ครีมมีลักษณะดังนี้

ผื่นแดง คัน หรือแสบร้อน

อาการพื้นฐานที่มักปรากฏเป็นอันดับแรกคือผื่นแดงบริเวณที่สัมผัสกับผลิตภัณฑ์ พร้อมกับความรู้สึกคันหรือแสบร้อน อาการเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากทาครีม และอาจลุกลามหากยังใช้ผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง

ผิวแห้ง ลอก เป็นขุย หรือเป็นสะเก็ด

ผิวที่มีอาการแพ้มักสูญเสียความชุ่มชื้นจนทำให้แห้งและลอกออกอย่างผิดปกติ อาจมีลักษณะเป็นสะเก็ดเล็ก ๆ หรือขุยบาง ๆ โดยมักพบร่วมกับความรู้สึกตึงผิวและไม่สบายผิว

สิวเห่อ สิวผด และตุ่มอักเสบ

อาการแพ้ครีมบางครั้งแสดงออกในรูปของ สิวผด หรือสิวอักเสบ ตุ่มแดงหรือตุ่มหนองเล็กๆ ขึ้นตามใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณที่ทาครีม ซึ่งทำให้หลายคนสับสนว่าเป็นสิวทั่วไป และเรียกกันอีกชื่อว่าสิวแพ้ครีม

ผิวคล้ำลง เกิดรอยดำหรือฝ้าร่วม

หากมีอาการแพ้ต่อเนื่องโดยไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิด จุดด่างดำ รอยแดง หรือกระตุ้นให้ฝ้าเกิดขึ้นได้ เนื่องจากการอักเสบเรื้อรังที่เกิดจากการแพ้ครีมไปกระตุ้นเซลล์เม็ดสีใต้ผิวหนัง

ตุ่มน้ำ ตุ่มหนอง หรือแผลแตก

ในผู้ที่มีอาการแพ้รุนแรงผิวหนังอาจเกิดตุ่มน้ำใสหรือตุ่มหนอง บางกรณีอาจถึงขั้นแตกเป็นแผลเล็ก ๆ หากพบอาการลักษณะควรรีบพบแพทย์ทันที ไม่ควรรักษาด้วยตัวเอง

แพ้ครีมหรือแค่สิวเห่อ? วิธีแยกความแตกต่าง

เมื่อเริ่มใช้ครีมใหม่แล้วสิวขึ้น หลายคนอาจสับสนว่ากำลัง “แพ้ครีม” หรือแค่ “สิวเห่อ” ซึ่งเกิดจากการผลัดเซลล์ผิว ความเข้าใจผิดอาจนำไปสู่การดูแลผิวที่ไม่ถูกต้อง และอาการไม่หายสักที โดยอาการแพ้ครีมมักเกิดเป็นผื่น ตุ่มแดงหรือตุ่มขาวเล็กๆ กระจายทั่วใบหน้า พร้อมอาการคัน แสบ หรือบวม หน้าแห้งลอกแดง และมักแสดงอาการทันทีหรือภายใน 1–3 วันหลังเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์นั้น ส่วนสิวเห่อมักเป็นสิวหัวขาวหรือสิวอุดตัน แต่อาจมีสิวอักเสบบ้าง เกิดได้จากการอุดตัน หรือแพ้ครีมรุนแรงจนขึ้นเยอะๆ โดยจะขึ้นเป็นจุดกว้างๆ ในบริเวณใกล้ๆ กัน ไม่มีอาการแสบหรือคันเหมือนกันอาการแพ้ครีม

สาเหตุของอาการแพ้ครีม

อาการแพ้ครีมเกิดจากการที่ผิวหนังมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารบางชนิดที่อยู่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือเครื่องสำอาง โดยสารที่ทำให้แพ้ครีม และสาเหตุอื่นๆ มีดังนี้

สารระคายเคืองที่พบได้บ่อย

ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมักมีสารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น น้ำหอม พาราเบน แอลกอฮอล์ และซัลเฟต แม้จะช่วยเพิ่มคุณสมบัติบางอย่างของผลิตภัณฑ์ เช่น กลิ่นหอม หรือความสะอาด แต่ในผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายอาจทำให้เกิดอาการคัน แสบ แดง และผิวลอกได้ง่าย

สารอันตรายที่ไม่ควรอยู่ในครีม

บางผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานอาจผสมสารต้องห้าม เช่น สเตียรอยด์ ปรอท หรือไฮโดรควิโนน สารเหล่านี้มักใช้เพื่อให้ผิวขาวใสอย่างรวดเร็ว แต่ส่งผลข้างเคียงรุนแรง เช่น ผิวบางลง ระคายเคืองง่าย เกิดสิวอักเสบ หรือถึงขั้นเป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง

ครีมปลอมหรือไม่ได้รับการรับรอง

ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีเลขจดแจ้ง อย. หรือไม่มีแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ อาจมีการผสมสารต้องห้ามหรือสารเจือปนที่ไม่ปลอดภัย การใช้ครีมประเภทนี้เสี่ยงต่อการแพ้อย่างรุนแรง หรือการสะสมของสารพิษในระยะยาว

การใช้หลายผลิตภัณฑ์พร้อมกัน

ใช้ครีมหลายชนิดโดยไม่เว้นระยะหรือไม่ทดสอบก่อน อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างส่วนผสม ส่งผลให้ผิวระคายเคือง เกิดอาการแพ้ หรือทำให้ผิวอ่อนแอลงจนเกิดสิวและผื่นได้ง่าย

สารออกฤทธิ์ที่อาจรุนแรงเกินไป

สารจำพวกกรด เช่น AHA, BHA, เรตินอล หรือวิตามินซี เมื่อใช้ในความเข้มข้นสูง หรือใช้กับผิวที่ไม่พร้อม อาจทำให้ผิวลอก แดง แห้ง หรือเกิดการอักเสบได้ โดยเฉพาะหากไม่ได้ใช้ควบคู่กับการบำรุงและป้องกันแสงแดด

สารให้ความชุ่มชื้นที่ก่อให้เกิดสิว

โกโก้บัตเตอร์ โคโค่นัทออยล์ หรือไอโซโพรพิล ปาล์มิเตท เป็นสารเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวที่อาจอุดตันรูขุมขนในผู้ที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย ทำให้เกิดสิวอุดตันหรือสิวอักเสบตามมา

น้ำมันหอมระเหยและสารจากธรรมชาติ

แม้จะเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น ทีทรีออยล์ เปปเปอร์มินต์ หรือกานพลู แต่สำหรับบางคนอาจทำให้ผิวระคายเคืองหรือเกิดอาการแพ้ โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวบอบบาง

สีย้อมและสารให้สี

ครีมและเครื่องสำอางบางชนิดมีการใส่สีเพื่อความสวยงาม แต่สีย้อมบางประเภท โดยเฉพาะสีแดงหรือสีเหลือง อาจกระตุ้นให้เกิดผื่นหรืออาการแพ้ในผู้ที่ไวต่อสีผสมอาหารหรือเคมี

สารกันเสีย

เพื่อยืดอายุผลิตภัณฑ์ ผู้ผลิตมักใช้สารกันเสีย เช่น พาราเบน หรือฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดผื่นผิวหนังอักเสบหากใช้ต่อเนื่อง หรือในปริมาณสูง โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิแพ้หรือโรคผิวหนังเดิมอยู่แล้ว

สารโลหะหนักในผลิตภัณฑ์

ในบางผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายหรือครีมที่ไม่มีมาตรฐาน อาจมีสารโลหะ เช่น อะลูมิเนียม หรือแม้แต่ตะกั่วเจือปน สารเหล่านี้ก่อให้เกิดการระคายเคือง ผื่นแดง หรือแม้แต่การสะสมของสารพิษในร่างกายได้ในระยะยาว

วิธีสังเกตก่อนใช้ครีมว่าอาจแพ้หรือไม่

ก่อนใช้ครีมใหม่ควรทดสอบการแพ้ด้วยการป้ายครีมเล็กน้อยลงที่บริเวณท้องแขนด้านในหรือหลังใบหู ซึ่งเป็นจุดที่มีผิวคล้ายใบหน้า จากนั้นรอสังเกตอาการอย่างน้อย 24–48 ชั่วโมง หากไม่มีอาการคัน บวม แดง หรือผื่นขึ้น แสดงว่าผิวอาจรับกับครีมได้ดี แต่สำหรับผู้ที่มี ผิวแพ้ง่าย หรือเคยแพ้ผลิตภัณฑ์อื่น ควรทดสอบต่อเนื่องประมาณ 7–10 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอาการสะสมหรือแสดงออกช้า หากมีอาการผิดปกติควรหยุดใช้ทันที

วิธีรักษาอาการแพ้ครีม

วิธีรักษาอาการแพ้ครีมให้หายไว

เมื่อผิวเกิดอาการแพ้จากการใช้ครีม ไม่ว่าจะเป็นผื่นแดง คัน ลอก หรือสิวเห่อขึ้น สิ่งสำคัญคือต้องดูแลอย่างถูกวิธีตั้งแต่แรก เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วและไม่ทิ้งร่องรอยระยะยาว โดยมีวิธีรักษาอาการแพ้ครีมดังนี้

หยุดใช้ครีมทันที

หากสงสัยว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่เป็นต้นเหตุของอาการแพ้ ควรหยุดใช้ทันที เพราะหากยังใช้ต่ออาการแพ้จะลุกลาม ผิวจะอ่อนแอลง และอาจเกิดการอักเสบรุนแรงตามมา

ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าหรือน้ำเกลือ

ใช้เพียงน้ำเปล่าหรือน้ำเกลือที่มีค่า pH เป็นกลางล้างหน้า หลีกเลี่ยงการใช้โฟมหรือคลีนเซอร์ที่มีสารเคมีรุนแรง เพราะอาจเพิ่มความระคายเคืองและทำลายเกราะป้องกันผิว

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่อ่อนโยน

ในช่วงที่ผิวระคายเคือง ควรเลือกใช้ครีมหรือโลชั่นที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม แอลกอฮอล์ สารกันเสีย หรือกรดผลัดเซลล์ เช่น AHA, BHA และเรตินอล เพราะจะทำให้ผิวอักเสบมากขึ้น ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาสำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ

เสริมความแข็งแรงให้ผิว

เลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีเซราไมด์ ยูเรีย หรือไฮยาลูโรนิก แอซิด เพื่อเติมความชุ่มชื้น ลดอาการแห้งตึง และช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น อาจเสริมด้วยการรับประทานวิตามิน เช่น วิตามินซี ซิงค์ หรือโอเมก้า-3 เพื่อซ่อมแซมผิวจากภายใน

หลีกเลี่ยงการรบกวนผิว

หยุดการขัดผิว สครับ หรือสัมผัสบริเวณที่แพ้ เพราะการเสียดสีจะยิ่งทำให้ผิวระคายเคืองและอักเสบมากขึ้น รวมถึงควรงดแต่งหน้าในช่วงที่ผิวอ่อนแอ เพื่อให้ผิวมีเวลาฟื้นตัวเต็มที่

ใช้ยาอย่างเหมาะสม

หากมีอาการคันมากหรือผิวอักเสบรุนแรง อาจใช้ยาทาภายนอก เช่น ครีมที่มีส่วนผสมของไฮโดรคอร์ติโซน หรือยาฆ่าเชื้อเฉพาะจุด โดยควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผิวหนัง และหลีกเลี่ยงการใช้ยารักษาสิวแรงๆ หากผิวยังบอบบางอยู่

ประคบเย็นเพื่อลดอาการ

การใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือประคบเย็นบริเวณที่แพ้วันละ 2–3 ครั้ง ช่วยลดอาการบวม แดง คัน หรือแสบผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องใช้ยาในเบื้องต้น

ปรึกษาแพทย์หากอาการไม่ดีขึ้น

หากอาการไม่ทุเลาภายใน 3–5 วัน หรือมีแนวโน้มแย่ลง เช่น ผิวบวมแดงมาก เกิดตุ่มน้ำ หรือมีอาการแสบไหม้ ควรพบแพทย์ผิวหนังทันที เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม ป้องกันการติดเชื้อหรือเกิดรอยแผลเป็นถาวร

ผิวจะแพ้ง่ายไปตลอดไหม? ฟื้นฟูแล้วกลับมาปกติได้ไหม?

อาการแพ้ครีมไม่ใช่ปัญหาถาวรถ้าได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง ผิวสามารถฟื้นฟูและกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมได้โดยผิวจะเริ่มฟื้นตัวภายใน 7–14 วัน แต่ก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการแพ้ และการดูแลผิวด้วย แนะนำให้หลีกเลี่ยงสารระคายเคืองทุกชนิด และใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิวเพื่อให้เกราะป้องกันผิวกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง 

แต่ถ้าละเลยการดูแลผิว ไม่หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ หรือครีมที่แพ้ มีการใช้สารที่รุนแรงในการรักษา นอกจากจะไม่ช่วยให้อาการแพ้ลดลงแล้ว ยังทำลายเกราะป้องกันผิวให้อ่อนแอ ซึ่งเมื่อเกราะป้องกันผิวอ่อนแอจะส่งผลให้เกิดสิว และอาการแพ้ได้ง่ายขึ้น

วิธีป้องกันไม่ให้แพ้ครีมอีก

หากรู้จักวิธีเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อย่างระมัดระวัง และเข้าใจสาเหตุที่อาจทำให้ผิวเกิดปฏิกิริยา รวมถึงรู้วิธีป้องกันก็จะช่วยลดอาการแพ้ครีมได้ดี ดังนี้

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรอง

เลือกครีมหรือสกินแคร์ที่ผ่านการทดสอบและรับรองโดยแพทย์ผิวหนัง หรือมีเลขจดแจ้งจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่สามารถตรวจสอบแหล่งผลิตได้อย่างชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงสารอันตรายหรือสารปนเปื้อนที่อาจทำให้ผิวเกิดอาการแพ้

หลีกเลี่ยงสารที่เคยก่อให้เกิดอาการแพ้

หากเคยแพ้สารบางชนิด เช่น น้ำหอม แอลกอฮอล์ พาราเบน หรือสารกันเสีย ควรอ่านฉลากส่วนผสมให้ละเอียด และเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมเหล่านั้น 

ทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้

ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกครั้งควรทดลองทาในปริมาณเล็กน้อยบริเวณที่ผิวบอบบาง เช่น ท้องแขนด้านใน หรือหลังใบหู จากนั้นรอดูอาการเป็นเวลา 24–48 ชั่วโมง หากไม่มีผื่นแดงหรืออาการระคายเคืองจึงเริ่มใช้บนใบหน้าได้อย่างปลอดภัย

หลีกเลี่ยงการทดลองหลายผลิตภัณฑ์พร้อมกัน

ควรใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ทีละชนิด โดยเว้นระยะอย่างน้อยหนึ่งถึงสองสัปดาห์ เพื่อให้สามารถแยกแยะได้ว่าถ้ามีอาการแพ้ครีมนั้นเกิดจากผลิตภัณฑ์ใด 

หลีกเลี่ยงครีมที่ไม่มีมาตรฐานหรือแหล่งผลิตไม่ชัดเจน

ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีฉลากส่วนผสม ไม่มีวันหมดอายุ หรือไม่มีเลข เพราะมีความเสี่ยงสูงต่อการเจือปนสารอันตรายที่อาจทำให้ผิวอักเสบหรือแพ้ได้โดยไม่รู้ตัว

บำรุงผิวให้แข็งแรงอยู่เสมอ

ผิวที่มีเกราะป้องกันดี มีความชุ่มชื้นเพียงพอ และไม่ขาดสมดุล จะมีโอกาสแพ้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ น้อยลง ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง ดื่มน้ำมาก ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ผิวมีความต้านทานต่อสิ่งกระตุ้นจากภายนอก

ครีมแบบไหนที่ควรระวัง?

การเลือกใช้ครีมบำรุงผิวอย่างไม่ระมัดระวังอาจทำให้ผิวเกิดการแพ้ ระคายเคือง หรือได้รับผลข้างเคียงในระยะยาว โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวบอบบาง หรือเคยมีประวัติแพ้ผลิตภัณฑ์บางประเภท ซึ่งครีมที่ควรหลีกเลี่ยงมีดังนี้

ครีมที่ไม่มีฉลากหรือเลขจดแจ้ง

ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีฉลากชัดเจน หรือไม่มีเลข อย. ไม่สามารถตรวจสอบแหล่งผลิต ส่วนผสม หรือวันหมดอายุได้ ซึ่งอาจซ่อนส่วนผสมที่อันตรายหรือผิดกฎหมายเอาไว้ และก่อให้เกิดการแพ้ได้ง่าย

ครีมเร่งผลลัพธ์ โฆษณาเกินควร

ครีมที่บอกว่าเห็นผลเร็ว เช่น ทำให้หน้าขาวใสทันใจ มักมีการผสมสารอันตรายอย่างสเตียรอยด์ ปรอท หรือกรดความเข้มข้นสูง ที่ทำให้ผิวบางลง เกิดสิวเห่อ ผิวไวต่อแสง และเกิดปัญหาผิวเรื้อรังได้ในระยะยาว

ครีมที่ซื้อจากแหล่งไม่ชัดเจน หรือรับต่อมาจากผู้อื่น

แม้จะเป็นครีมที่คนรู้จักแนะนำ หรือเห็นรีวิวในสื่อโซเชียล แต่หากไม่มีข้อมูลแหล่งผลิตที่น่าเชื่อถือ ก็อาจมีการผสมสารที่ไม่ปลอดภัยโดยไม่ระบุไว้ในฉลาก

ครีมที่มีส่วนผสมที่เสี่ยงต่อการแพ้

บางส่วนผสมในครีมอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองหรืออุดตันรูขุมขน โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ตัวอย่างของสารเหล่านี้ ได้แก่

  • กรดผลัดเซลล์ผิว (Acids) เช่น AHA, BHA ซึ่งหากมีความเข้มข้นสูงเกินไป อาจทำให้ผิวแห้ง ลอก แสบ หรือเกิดอาการอักเสบ
  • น้ำหอมสังเคราะห์ (Fragrance) เป็นสารที่พบได้บ่อยในเครื่องสำอาง ซึ่งอาจทำให้ผิวเกิดผื่น แดง หรือคัน 
  • สารโลหะหนัก (Metals) เช่น นิกเกิล อะลูมิเนียม และตะกั่ว ซึ่งบางครั้งแฝงอยู่ในผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อหรือครีมบางชนิด อาจทำให้เกิดอาการแพ้หรือสะสมในร่างกาย
  • น้ำมันหอมระเหย (Essential Oils) แม้จะมาจากธรรมชาติ แต่ในบางคนสามารถกระตุ้นการแพ้ โดยเฉพาะชนิดที่มีกลิ่นแรง เช่น เปปเปอร์มินต์ กานพลู หรืออบเชย
  • สารให้ความชุ่มชื้นบางประเภท (Emollients) เช่น ลาโนลิน, โคโคนัทบัตเตอร์, หรือไอโซโพรพิล ปาล์มิเตต อาจทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนและเป็นสิว
  • สารซักฟอก (Sulfates) มักพบในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เช่น แชมพูหรือโฟมล้างหน้า อาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองได้ในผู้ที่มีผิวบอบบาง

ผิวแพ้ง่ายควรใช้ครีมแบบไหน?

ผู้ที่มี ผิวแพ้ง่าย ควรเลือกครีมหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจำเป็นต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะผิวมีแนวโน้มเกิดการระคายเคืองจากสารต่าง ๆ ได้ง่ายกว่าผิวทั่วไป โดยควรเลือกครีม เช่น 

  • ครีมที่ไม่มีน้ำหอม แอลกอฮอล์ สีสังเคราะห์ และพาราเบน เพื่อลดโอกาสระคายเคือง
  • ใช้เวชสำอางหรือผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าเหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย
  • เลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบว่า ไม่ก่อให้เกิดสิว (Non-Comedogenic) และ ไม่กระตุ้นอาการแพ้ (Hypoallergenic)
  • มองหาส่วนผสมที่ช่วยปลอบประโลมผิว เช่น ว่านหางจระเข้, ไนอาซินาไมด์, อัลลันโทอิน
  • ใช้ครีมที่มีสารเติมความชุ่มชื้น เช่น เซราไมด์, ไฮยาลูโรนิก แอซิด, กลีเซอรีน, ยูเรีย
  • เน้นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ให้แข็งแรง
  • หลีกเลี่ยงครีมที่มีส่วนผสมผลัดเซลล์ผิวเข้มข้น เช่น AHA, BHA หรือเรตินอล ในช่วงที่ผิวยังอ่อนแอ

คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับอาการแพ้ครีม (FAQ)

Q: ถ้าไม่แน่ใจว่าแพ้ครีมหรือไม่ ควรทำอย่างไรดี?
A: ควรหยุดใช้ครีม และสังเกตอาการถ้าหยุดใช้แล้วสภาพผิวดีขึ้นมีโอกาสแพ้ครีมตัวนั้นสูง และควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสารที่แพ้

Q: แพ้ครีมจากร้านค้าออนไลน์ ต้องทำยังไง?
A: หยุดใช้ทันที และหากอาการรุนแรงควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรักษา แนะนำให้เก็บครีมเอาไว้เพื่อไปแจ้งกับอย. ให้อย.ตรวจสอบส่วนผสมค่ะ

Q: ครีมออร์แกนิกหรือธรรมชาติแท้ ยังมีโอกาสแพ้ได้ไหม?
A: ได้ เพราะบางคนมีอาการแพ้สารสกัดจากธรรมชาติได้ ถ้ากลัวเกิดอาการแพ้ควรทดสอบก่อนใช้จริง 

Q: แพ้ครีมแล้วสามารถล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าอย่างเดียวได้ไหม?
A: ถ้ามีอาการการแพ้ครีมควรล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าอย่างเดียวในช่วงแรก และค่อยๆ ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน

Q: จำเป็นต้องใช้เวชสำอางไหมถ้าเคยแพ้ครีม?
A: ควรใช้เวชสำอางในช่วงที่ผิวยังบอบบาง เพราะอ่อนโยนและลดโอกาสแพ้ซ้ำได้ เมื่อผิวแข็งแรงแล้วจึงค่อยกลับไปใช้ผลิตภัณฑ์ทั่วไป โดยต้องทดสอบก่อนใช้ทุกครั้ง

Q: ผิวที่เคยแพ้ครีมมาก่อน จะกลับมาใช้ครีมทั่วไปได้อีกไหม?
A: สามารถกลับมาใช้ครีมทั่วไปได้หากฟื้นฟูผิวจนแข็งแรงแล้ว แต่ควรเริ่มอย่างระมัดระวังไม่ใช้ครีมแรงๆ และทดสอบก่อนใช้ทุกครั้ง

Q: หากแพ้ครีมตอนตั้งครรภ์หรือให้นมลูก ต้องระวังอะไรเป็นพิเศษ?
A: แนะนำให้รีบไปพบแพทย์ไม่ควรรักษาเอง และใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับคนท้อง ก่อนเลือกใช้ครีมควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง

Q: ใช้ครีมแบรนด์เดิมมาตลอด อยู่ ๆ ก็แพ้ขึ้นมา เป็นเพราะอะไร?
A: อาจเกิดจากการที่ผิวอ่อนแอลง ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง ส่วนผสมในสูตรเปลี่ยน หรือใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นที่ทำให้ผิวระคายเคืองมากขึ้น

Q: แพ้ครีมสามารถทำทรีตเมนต์หน้าได้ไหม?
A: หากผิวยังมีอาการแพ้หรือระคายเคืองควรงดทำทรีตเมนต์ก่อน เพราะอาจทำให้ผิวอักเสบหนักขึ้น แนะนำให้รอผิวหายดีก่อนแล้วจึงค่อยทำ

Q: แพ้ครีมต้องใช้เวลารักษานานแค่ไหนถึงจะหายสนิท?
A: ใช้เวลาประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ หากดูแลถูกวิธี แต่บางรายอาจนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและสภาพผิว

ควรพบแพทย์เมื่อใด?

หากอาการแพ้ครีมไม่ทุเลาลงภายในเวลาอันสั้น หรือมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ควรรีบพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม ป้องกันไม่ให้ปัญหาผิวลุกลามหรือเกิดรอยแผลถาวร ควรพบแพทย์ทันทีหากมีอาการดังนี้

  • ผื่นบวม แดง แสบ หรือคันกระจายทั่วใบหน้า
  • มีตุ่มหนอง แผลเปิด หรือร่องรอยติดเชื้อ
  • ผิวเริ่มตกสะเก็ด แห้งลอกผิดปกติ หรือคล้ำลงอย่างรวดเร็ว
  • อาการไม่ดีขึ้นภายใน 3–5 วัน แม้หยุดใช้ครีมแล้ว
  • มีอาการคันหรือแสบอย่างรุนแรง จนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน

สรุป

อาการแพ้ครีมสามารถเกิดได้บ่อยกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย และสามารถเกิดกับคนที่ผิวปกติ แต่ผิวอยู่ในช่วงอ่อนแอได้ ซึ่งถ้าเกิดอาการแพ้ครีมควรหยุดใช้ครีมทันที ถ้าใช้ต่อจะยิ่งเกิดอาการแพ้มากขึ้นทำให้เกราะป้องกันผิวเสื่อมสภาพได้ ใครที่กำลังมีปัญหาแพ้ครีม ไม่รู้ว่าจะรักษาอย่างไรดี หรือรักษาด้วยตัวเองแล้วไม่หาย สามารถเข้ามาปรึกษากับ Vincent Clinic Aesthetic โดยจะมีแพทย์ที่มีประสบการณ์คอยให้คำแนะนำ คอยดูแลค่ะ

Scroll to Top