หน้าแก่ก่อนวัย เป็นปัญหาที่มีหลายคนต้องเจอ ซึ่งแม้อายุยังน้อย แต่ใบหน้ากลับดูเหนื่อยล้า หมองคล้ำ หรือเริ่มมี ริ้วรอย ก่อนถึงวัยที่ควรเป็น ทำให้หมดความมั่นใจ แม้จะพยายามพึ่งสกินแคร์แต่ผลลัพธ์กลับไม่ได้ดีอย่างที่หวังเอาไว้ ใบหน้ายังคงดูโทรม ไม่สดใสเหมือนเดิม ในบทความนี้ Vincent Clinic Aesthetic จะพามารู้เกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้หน้าแก่ก่อนวัย รวมถึงแนวทางในการแก้ไขปรับให้ผิวหน้ากลับมาอ่อนเยาว์ค่ะ
Key Takeaways
- หน้าแก่ก่อนวัย คือ ภาวะที่ใบหน้าดูโรย มีริ้วรอย ผิวหมองคล้ำ หย่อนคล้อย ทั้งที่อายุยังน้อย มักเกิดจากการเสื่อมของคอลลาเจนและอีลาสตินก่อนวัยอันควร
- สาเหตุหน้าแก่ก่อนวัย ได้แก่ แสงแดด ความเครียด นอนน้อย ดื่มน้ำน้อย อาหารหวานจัด บุหรี่ แอลกอฮอล์ พันธุกรรม ฮอร์โมนไม่สมดุล และพฤติกรรมการดูแลผิวที่ผิดวิธี
- สังเกตหน้าแก่ก่อนวัยได้ เช่น ผิวแห้ง ขาดน้ำ มีริ้วรอยแม้ไม่แสดงสีหน้า ผิวหย่อน รูขุมขนกว้าง สีผิวไม่สม่ำเสมอ ถุงใต้ตา ริมฝีปากบางลง
- วิธีป้องกันหน้าแก่ก่อนวัยนั้นควรนอนให้พอ ดื่มน้ำมากพอ ทาครีมกันแดดทุกวัน ลดเครียด เลี่ยงของหวาน แป้งขัดขาว บุหรี่ แอลกอฮอล์ และใช้สกินแคร์ที่เหมาะกับช่วงวัย
- หากดูแลผิวพื้นฐานไม่เพียงพอ อาจเลือกหัตถการทางการแพทย์ เช่น ฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ เครื่องยกกระชับ, ร้อยไหม, เลเซอร์, เมโสหน้าใส, Sculptra, Juvelook และการดริปวิตามิน เพื่อแก้หน้าแก่กว่าวัย
- การเลือกหัตถการรักษาหน้าแก่กว่าวัยควรขึ้นกับปัญหาที่มี เช่น ฟิลเลอร์เติมร่องลึก โบท็อกซ์ลดริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า เครื่องยกกระชับสำหรับหย่อนคล้อยเล็กน้อย ร้อยไหมสำหรับยกกระชับทันที
- เพื่อฟื้นฟูใบหน้าให้กลับมาอ่อนเยาว์อย่างได้ผล ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินปัญหาเฉพาะบุคคลและเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสภาพผิว
หน้าแก่ก่อนวัยคืออะไร?
หน้าแก่ก่อนวัย คือ การที่ผิวหน้าดูเสื่อมสภาพเร็วกว่าวัยจริง แม้อายุยังไม่มาก แต่ใบหน้ากลับดูโรย ผิวหมอง ไม่สดใส และมีปัญหาผิวหน้าหลายอย่าง เช่น ผิวหย่อนคล้อย ใต้ตาลึก ร่องแก้มชัด รูขุมขนกว้าง และผิวแห้งกร้าน ซึ่งปัญหาเหล่านี้มักจะเกิดจากการเสื่อมของคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวลดน้อยลงพบได้เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น หรือประมาณ 30 ปีขึ้นไป ซึ่งบางคนเพิ่งอายุ 20 แต่มีปัญหาแบบนี้แล้วแปลว่าหน้าแก่กว่าวัยค่ะ
สาเหตุที่ทำให้หน้าแก่ก่อนวัย
ปัญหาหน้าแก่ก่อนวัยเป็นปัญหาที่สามารถพบได้ทั้งชาย และหญิง โดยสาเหตุที่ทำให้ปัญหานี้เกิดได้ทั้งจากปัจจัยภายใน และจากปัจจัยภายนอก ดังนี้
แสงแดดและรังสี UV
รังสี UVA และ UVB จากแสงแดดสามารถทำลายโครงสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินที่สำคัญในการพยุงผิวให้เต่งตึง เมื่อเสื่อมลงผิวจะขาดความยืดหยุ่น เกิดริ้วรอยง่าย รวมถึงความหมองคล้ำ จุดด่างดำ ฝ้า และกระ
นอนหลับไม่เพียงพอ
การนอนเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเพื่อซ่อมแซมเซลล์ผิวและสร้างเซลล์ใหม่ หากนอนหลับไม่เพียงพอหรือเข้านอนผิดเวลา ร่างกายจะขาดโอกาสฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติ ส่งผลให้ผิวโทรม หมองคล้ำ และแสดงสัญญาณของความเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน
ความเครียดสะสม
เมื่อเกิดความเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลในระดับสูง ทำให้เกิดอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการทำลายเซลล์ผิว ทั้งยังลดการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ส่งผลให้ผิวขาดความกระชับและเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
บุหรี่และแอลกอฮอล์
สารจากบุหรี่และแอลกอฮอล์จะทำลายสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ลดความสามารถในการฟื้นฟูผิว ทำให้ผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ และหมองคล้ำ นอกจากนี้บุหรี่ยังทำให้เส้นเลือดหดตัว ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงผิวได้น้อยลง ริมฝีปากจึงคล้ำลง และเกิดริ้วรอยรอบปากได้เร็วกว่าปกติ
ใช้เครื่องสำอางตลอดเวลา
การแต่งหน้าทุกวันโดยไม่ให้ผิวได้พัก หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง ทำให้ผิวเกิดการอุดตัน ขาดออกซิเจนและไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ตามธรรมชาติ ผลที่ตามมาคือ ผิวหมองคล้ำ แพ้ง่าย และเกิดริ้วรอยก่อนวัยโดยไม่รู้ตัว
ดื่มน้ำน้อย
น้ำคือส่วนสำคัญของโครงสร้างผิว หากร่างกายขาดน้ำเซลล์ผิวจะขาดความอิ่มฟู เกิดความแห้งกร้าน และดูเหี่ยวย่น ผิวหน้าจะขาดความเปล่งปลั่งและหมองคล้ำ การดื่มน้ำน้อยยังส่งผลต่อระบบขับถ่ายของเสีย ทำให้เกิดสารพิษสะสมที่อาจสะท้อนออกมาทางผิวหนัง
แสดงสีหน้าซ้ำๆ
การขมวดคิ้ว ยิ้ม หรือขยับใบหน้าซ้ำ ๆ ตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว จะสร้างรอยพับบนผิวซ้ำเดิม เมื่อทำเป็นเวลานาน ผิวจะสูญเสียความยืดหยุ่นบริเวณนั้น และเกิดริ้วรอยลึกที่ลบได้ยาก โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวแห้งหรือไม่ได้รับการบำรุงที่เหมาะสม
รับประทานอาหารหวาน หรือแป้งขัดขาวมากเกินไป
อาหารที่มีน้ำตาลหรือแป้งขัดขาวจะกระตุ้นกระบวนการ Glycation ในร่างกาย ซึ่งน้ำตาลจะไปจับกับโปรตีนคอลลาเจนและอีลาสติน กลายเป็นสารที่เร่งให้เซลล์เสื่อมสภาพ ผิวจึงหย่อนคล้อย แห้งกร้าน และมีริ้วรอยเร็วกว่าปกติ
พันธุกรรม
แม้จะดูแลผิวอย่างดีแต่บางคนก็ยังพบว่าหน้าดูแก่เร็วกว่าคนรอบข้าง ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรมที่มีผลต่อกระบวนการเสื่อมของเซลล์ผิวโดยตรง หากระบบสร้างคอลลาเจนของร่างกายทำงานได้ไม่เต็มที่ หรือมีการสูญเสียโปรตีนในอัตราสูง ผิวจึงเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติแม้ยังอายุไม่มาก
ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล
เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายจะผลิตฮอร์โมนน้อยลง โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศที่มีบทบาทต่อผิว เช่น เอสโตรเจนในผู้หญิง เมื่อฮอร์โมนลดลงจะทำให้ผิวบางลง แห้ง และหย่อนคล้อยได้ง่าย นอกจากนี้ภาวะพร่องฮอร์โมนหรือฮอร์โมนไม่สมดุลจากโรคหรือความเครียดเรื้อรัง ก็เร่งการเกิดริ้วรอยอย่างเห็นได้ชัด
อักเสบเรื้อรังในร่างกาย
แม้จะไม่มีอาการแสดงชัดเจน แต่การอักเสบภายในระดับเซลล์ เช่น จากอาหารแปรรูป มลภาวะ หรือความเครียดสะสม จะส่งผลต่อสมดุลของร่างกายโดยรวม ทำให้เซลล์ทำงานลดลง ผิวจึงดูโรยรา เหนื่อยล้า และขาดชีวิตชีวาอย่างต่อเนื่อง
สภาพแวดล้อม
ฝุ่นละออง สภาพอากาศสามารถส่งผลให้ผิวสกปรก และทำลายคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ หน้าหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด เกิดริ้วรอยร่องลึกบนผิว รวมถึงทำให้ผิวหมองคล้ำ ขาดความชุ่มชื้น ผิวจึงดูแก่กว่าวัย
มีวิธีเช็กหน้าแก่ก่อนวัยอย่างไร ลักษณะในแต่ละช่วงอายุ
ปัญหาหน้าแก่ก่อนวัยไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะจากอายุที่มากขึ้น แต่สะสมจากพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ หากเข้าใจลักษณะของใบหน้าในแต่ละช่วงวัย จะช่วยให้เราปรับการดูแลได้ตรงจุด
หน้าแก่ก่อนวัย 20 ปีขึ้นไป
ผิวโทรม ขอบตาดำ หรือใต้ตาคล้ำจากการพักผ่อนไม่เพียงพอแม้ผิวยังแข็งแรง แต่การนอนดึก ใช้หน้าจอนาน หรือความเครียดสะสม มักทำให้ผิวดูเหนื่อย โทรม ใต้ตาหมองคล้ำ ผิวขาดน้ำและเริ่มหมอง แม้ยังไม่มีริ้วรอยชัดเจน
หน้าแก่ก่อนวัย 30 ปีขึ้นไป
เริ่มมีร่องแก้ม ใต้ตาลึก โครงหน้าเปลี่ยน คอลลาเจนลดลง ผิวเริ่มสูญเสียความแน่น รูขุมขนเริ่มเห็นชัด กรอบหน้าดูนุ่มนวลน้อยลง ผิวไวต่อแสง มีฝ้าหรือจุดด่างดำเพิ่มขึ้น
หน้าแก่ก่อนวัย 40 ปีขึ้นไป
ผิวหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด แต่งหน้าไม่ติด ความยืดหยุ่นของผิวลดลงชัดเจน ใต้ตาหย่อน หนังตาตก รูปหน้าตอบลง ร่องลึกเด่นชัด ผิวแห้ง หมอง และอาจเริ่มมีถุงใต้ตาแม้จะพักผ่อนพอ
วิธีสังเกตตัวเองว่าหน้าแก่เกินวัยหรือไม่
การสังเกตสัญญาณของผิวหน้าไม่จำเป็นต้องรอให้ริ้วรอยปรากฏชัดเจน เพราะอาการบางอย่างสามารถแสดงล่วงหน้าได้ และสามารถบ่งชี้ถึงปัญหาผิวที่อาจพัฒนาไปเป็นภาวะหน้าแก่ก่อนวัยได้ในอนาคต
- ผิวแห้งขาดน้ำ และไวต่อแสง รู้สึกว่าผิวหน้าแสบง่ายเมื่อโดนแดด หรือผิวบางจนมองเห็นเส้นเลือดใต้ผิวได้ชัด จากโครงสร้างผิวอ่อนแอลง และขาดความชุ่มชื้น
- เริ่มมีริ้วรอยถาวร เห็นรอยที่หน้าผาก หางตา หรือ ร่องแก้ม แม้ในเวลาที่ทำหน้านิ่งๆ หมายถึงผิวของคุณสูญเสียความยืดหยุ่น และเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว
- ผิวหย่อนคล้อย บริเวณใต้ตา แก้ม หรือแนวกราม เริ่มหย่อนคล้อย ถึงแม้จะเล็กน้อยแต่ก็บ่งชี้ถึงการลดลงของอีลาสตินในผิวอย่างชัดเจน ทำให้ใบหน้าดูมีอายุ
- รูขุมขนขยายกว้างและผิวหยาบ ผิวที่เคยเรียบเนียนเริ่มมีลักษณะหยาบกร้าน รูขุมขนกว้าง และผลิตน้ำมันมากเกินไป อาจเป็นผลจากการเสื่อมของโครงสร้างผิว
- สีผิวไม่สม่ำเสมอ จุดด่างดำชัดเจน เมื่อมีจุดสีน้ำตาลที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น ฝ้า กระ หรือ จุดด่างดำ อาจเป็นผลจากการที่ผิวไม่สามารถปกป้องตัวเองจากแสง UV ได้ดี
- ถุงใต้ตาและหนังตาตก บวมบริเวณใต้ตาแม้จะนอนหลับเพียงพอ หรือหนังตาดูหย่อนและปิดขอบตาบนมากกว่าที่เคย
- ริมฝีปากบางลงและแห้งกร้าน ริมฝีปากที่เคยอวบอิ่มเริ่มบางและดูซีดจางลง พร้อมกับความชุ่มชื้นที่ลดลง จากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงคอลลาเจนเสื่อม
วิธีป้องกันหน้าแก่ก่อนวัยด้วยตัวเอง
แม้ผิวจะแก่ขึ้นตามวัย แต่การเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร มักเกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่เราทำซ้ำโดยไม่รู้ตัว หากเริ่มต้นดูแลอย่างถูกต้องก็จะสามารถป้องกันไม่ให้หน้าแก่ก่อนวัยได้
พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับให้ตรงเวลา
การนอนหลับในช่วงเวลา 4 ทุ่มถึงตีสอง คือช่วงที่ร่างกายซ่อมแซมเซลล์ได้ดีที่สุด โดยเฉพาะการผลิตโกรทฮอร์โมนที่ช่วยฟื้นฟูผิวอย่างลึกซึ้ง การนอนดึกหรือนอนไม่พอจะทำให้ผิวขาดการฟื้นตัว
ลดความเครียด
ความเครียดเรื้อรังทำให้ร่างกายหลั่งคอร์ติซอลมากเกินไป ซึ่งกระตุ้นการเสื่อมของเซลล์ผิว ทำให้เกิดริ้วรอย ความหมองคล้ำ และผิวขาดความยืดหยุ่น การพักจิตใจให้สดใส เช่น การทำสมาธิ อ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายจะช่วยรักษาสมดุลฮอร์โมนในร่างกายได้ดี
หลีกเลี่ยงแสงแดด ใช้ครีมกันแดดทุกวัน
การใช้ครีมกันแดดที่มี SPF และ PA เหมาะสมกับกิจกรรมในแต่ละวัน จะช่วยชะลอความเสื่อมของผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และควรทาก่อนออกแดดประมาณ 20 นาที รวมถึงทาซ้ำทุก 2–3 ชั่วโมงหากต้องอยู่กลางแจ้งนาน
ดื่มน้ำให้เพียงพอ
น้ำคือปัจจัยสำคัญในการคงความอิ่มฟูให้ผิว การดื่มน้ำน้อยจะทำให้ผิวแห้ง ขาดน้ำ และเกิดริ้วรอยได้ง่าย ควรดื่มน้ำสะอาดประมาณ 2–3 ลิตรต่อวัน เพื่อรักษาความสมดุลของเซลล์ผิวและระบบขับของเสียในร่างกายให้ทำงานได้เต็มที่
เลือกกินอาหารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
อาหารบางชนิดช่วยป้องกันผิวจากการเสื่อมสภาพได้อย่าง ฟักทอง แครอท ส้ม เบอร์รี่ ธัญพืช ถั่วต่าง ๆ และปลาไขมันดี เช่น แซลมอน แมคเคอเรล ทูน่า ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน ซี อี และโอเมก้า-3 ที่ช่วยฟื้นฟูผิว ลดการอักเสบ และเสริมสร้างคอลลาเจนจากภายใน
หลีกเลี่ยงของหวาน แป้งขัดขาว และไขมันทรานส์
น้ำตาลและแป้งขัดขาวมากเกินไปจะกระตุ้นกระบวนการ Glycation ในร่างกาย ทำให้โครงสร้างคอลลาเจนเสื่อมลงและเกิดริ้วรอยได้เร็วขึ้น เช่นเดียวกับไขมันไม่ดีที่ส่งผลให้ผิวหมองและอักเสบจากภายใน ควรลดอาหารแปรรูป ขนมขบเคี้ยว และเลือกทานอาหารจากธรรมชาติมากขึ้น
ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวให้เหมาะกับช่วงวัย
ผิวแต่ละวัยมีความต้องการต่างกัน วัย 20 ควรเน้นเติมความชุ่มชื้นและกันแดด วัย 30 ควรเริ่มใช้เซรั่มต้านริ้วรอย หรือวิตามินซี วัย 40 ควรเสริมการฟื้นฟูผิวอย่างเข้มข้น เช่น เรตินอล เปปไทด์ และไนอาซินาไมด์ ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และลดเลือนริ้วรอย
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เร่งผิวเสื่อม
การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป รวมถึงการดื่มคาเฟอีนต่อเนื่อง ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น เซลล์เสื่อมเร็วขึ้น และลดประสิทธิภาพในการสร้างคอลลาเจน หากเลิกหรือจำกัดพฤติกรรมเหล่านี้ได้ จะช่วยให้ผิวแข็งแรงและดูอ่อนกว่าวัยอย่างเห็นได้ชัด
ล้างหน้าอย่างอ่อนโยน ไม่ถูแรง
ควรล้างหน้าอย่างเบามือ เพราะการถูหน้าแรงเกินไปอาจทำให้โครงสร้างผิวเสียหาย โดยเฉพาะอีลาสตินใต้ผิว ควรใช้คลีนเซอร์ที่อ่อนโยน ไม่ทำให้ผิวแห้งตึง และหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์หรือสารกัดผิวแรง
หลีกเลี่ยงการสครับหน้าบ่อย
การผลัดเซลล์ผิวควรทำอย่างพอดี สัปดาห์ละ 1–2 ครั้งก็เพียงพอ การสครับบ่อยหรือใช้เม็ดสครับขนาดใหญ่เกินไปจะทำให้ผิวบางลง ระคายเคืองง่าย และเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น
วิธีทางการแพทย์ที่ช่วยฟื้นฟูหน้าแก่ก่อนวัย
เมื่อการดูแลผิวด้วยวิธีธรรมดาเริ่มไม่เพียงพอ หัตถการทางการแพทย์จึงเป็นทางเลือกสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูสดใส อ่อนเยาว์ และย้อนวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
ฟิลเลอร์
การ ฉีดฟิลเลอร์ เป็นการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) เข้าไปเพื่อเติมเต็มร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา มุมปาก หรือขมับ อีกทั้งยังช่วยกักเก็บน้ำใต้ผิว ทำให้ผิวดูฉ่ำวาว สามารถเห็นผลทันทีหลังฉีด และสลายได้เองตามธรรมชาติอย่างปลอดภัย
โบท็อกซ์
หัตถการ ฉีดโบท็อก จะช่วยยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อชั่วคราว เหมาะสำหรับลดริ้วรอยที่เกิดจากการขยับซ้ำ ๆ เช่น หน้าผาก ระหว่างคิ้ว และหางตา ช่วยให้ใบหน้าดูผ่อนคลายและอ่อนเยาว์ โดยจะเริ่มเห็นผลใน 5–7 วัน และอยู่ได้นานประมาณ 3 – 6 เดือน
เครื่องยกกระชับผิว
เครื่องยกกระชับจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวกระชับขึ้น แก้ปัญหาหนังตาตก กรอบหน้าไม่ชัด หรือผิวหย่อนคล้อย หลังเห็นผลทันทีบางส่วน และชัดเจนขึ้นใน 2–3 เดือน อยู่ได้นาน 6 เดือนถึง 2 ปีขึ้นกับเครื่องและสภาพผิว โดยมีเครื่อง เช่น
- HIFU ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงลงลึกถึงชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวมีความกระชับขึ้น
- Ulthera ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงส่งพลังงานลงชั้นผิว มีจุดเด่นคือเห็นชั้นผิวผ่านหน้าจอแบบเรียลไทม์ ทำให้ยิงพลังงานแม่นยำ
- Thermage ใช้คลื่นความถี่วิทยุส่งความร้อนลงไปในชั้นผิว เพื่อกระชับผิวชั้นลึก และลดไขมันใต้ให้ลดน้อยลง
ร้อยไหม
การ ร้อยไหม คือการใช้เส้นไหมละลายที่มีเงี่ยงดึงผิวให้ยกขึ้นทันที พร้อมกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนใหม่ในระยะยาว เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยบริเวณกรอบหน้า แก้ม หรือลำคอ โดยผลลัพธ์จะชัดเจนขึ้นใน 3–6 เดือน และอยู่ได้ประมาณ 12 – 24 เดือน
เมโสหน้าใส หรือ Skin Booster
การฉีด เมโสหน้าใส หรือสกินบูสเตอร์จะเป็นการเติมวิตามิน แร่ธาตุ หรือสารอาหารที่ประโยชน์เข้าสู่ชั้นผิวโดยตรง เพื่อฟื้นฟูเซลล์ผิว ให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มฟู ลดความหมองคล้ำ และรูขุมขนดูเล็กลง เหมาะสำหรับคนที่ผิวขาดน้ำ หน้าดูเหนื่อยล้า หรือมีริ้วรอยเล็กๆ ปรากฏให้เห็นก่อนวัย
เลเซอร์กระตุ้นคอลลาเจน
เลเซอร์ เช่น Q-Switch, Fractional, Picosecond หรือ CO2 มีคุณสมบัติกระตุ้นคอลลาเจน ลดจุดด่างดำ ริ้วรอยเล็ก ๆ และปรับผิวให้กระจ่างใสขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือมีบาดแผล เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับผิวให้เรียบเนียนและดูสุขภาพดีขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป
Sculptra
Sculptra เป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เมื่อฉีดเข้าสู่ชั้นผิวลึกจะกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ให้ผลิตคอลลาเจนขึ้นใหม่ ทำให้ผิวแน่นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะกับคนที่ผิวขาดวอลลุ่ม หรือเริ่มมีสัญญาณหย่อนคล้อย ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12 – 24 เดือน
Juvelook
หัตถการ Juvelook เป็นสารที่รวมระหว่างกรดไฮยาลูรอนิกกับ PDLLA ช่วยเติมเต็มร่องได้พร้อมๆ กับกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวทำให้หลังฉีดผิวจะดูชุ่มชื้น ริ้วรอยลดลง และผิวค่อยๆ กระชับขึ้นตามจำนวนคอลลาเจนในชั้นผิว เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยเยอะและต้องการฟื้นฟูคุณภาพผิวแบบทั่วถึง
ดริปวิตามินผิว
การ ดริปวิตามิน เข้าสู่กระแสเลือดเป็นอีกหนึ่งวิธีช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน โดยเฉพาะวิตามินซี กลูต้าไธโอน หรือคอลลาเจนแบบโมเลกุลเล็ก ซึ่งช่วยให้ผิวดูสดใส ลดความหมองคล้ำ และเพิ่มภูมิคุ้มกันของเซลล์ผิว เหมาะสำหรับผู้ที่พักผ่อนน้อย ผิวโทรมจากภาวะเครียด หรือฟื้นตัวหลังเลเซอร์
ผ่าตัดดึงหน้า
การผ่าตัดดึงหน้าเป็นการศัลยกรรมเพื่อยกกระชับชั้นผิวลึก เหมาะกับผู้ที่มีอายุเยอะและผิวหย่อนชัดเจน จนหัตถการทั่วไปไม่สามารถให้ผลลัพธ์ได้เต็มที่ หลังทำจะเห็นผลชัดและอยู่ได้นาน แต่ก็มีความเสี่ยงสูง ใช้เวลาพักฟื้นนาน และมีค่าใช้จ่ายมากกว่าหัตถการอื่นๆ
หน้าแก่ก่อนวัยควรเลือกวิธีไหนดี?
การเลือกวิธีฟื้นฟูผิวหน้าที่แก่ก่อนวัยควรดูจากสภาพผิว และปัญหาเฉพาะจุดที่มีหากมีร่องลึก การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มให้ใบหน้าอิ่มฟูทันที ส่วนผู้ที่มีริ้วรอยเมื่อแสดงสีหน้า เช่น ริ้วรอยหน้าผาก หรือหางตา โบท็อกซ์ จะช่วยคลายกล้ามเนื้อและให้ผิวดูเรียบขึ้น
แต่ถ้าผิวเริ่มหย่อนแต่ยังไม่มากการใช้เครื่องยกกระชับอย่าง Ulthera, Hifu หรือ Thermage จะฟื้นฟูผิวให้กลับมามีความกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ถ้าต้องการยกกระชับผิวทันทีโดยไม่ผ่าตัด การร้อยไหมก็เป็นอีกหนึ่งวิธีเหมาะ และถ้ามีผิวบาง ซูบโทรม หรือเริ่มเสื่อม การฉีด Sculptra, Juvelook จะช่วยฟื้นฟูคอลลาเจน และเติมน้ำให้ผิวแน่นฟูอย่างเป็นธรรมชาติ
ปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนฟื้นฟูหน้าแก่ก่อนวัยอย่างตรงจุด
การฟื้นฟูหน้าให้กลับมาดูอ่อนเยาว์ต้องเข้าใจต้นตอของปัญหาในแบบเฉพาะบุคคล เพราะบางคนอาจหน้าแก่กว่าวัยเพราะหน้าโทรมจากพักผ่อนน้อย ขณะที่อีกคนมีปัญหาความหย่อนคล้อยหรือโครงหน้าที่เปลี่ยนไปตามวัย ดังนั้นการปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยวิเคราะห์ปัญหาที่มีได้อย่างตรงจุด และวางแผนแก้ไขให้เหมาะสมกับปัญหาที่มี คืนความสดใสให้ผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับหน้าแก่ก่อนวัย
Q: ถ้าอายุน้อยแต่ดูหน้าแก่ ต้องรีบทำหัตถการเลยไหม?
A: ควรเริ่มจากปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสาเหตุ และเลือกวิธีฟื้นฟูที่เหมาะสม ไม่จำเป็นต้องรีบทำหัตถการทันทีหากยังสามารถปรับพฤติกรรมหรือดูแลผิวได้ก่อน
Q: หน้าแก่เพราะน้ำหนักลดเร็ว จะแก้ได้ไหม?
A: สามารถฟื้นฟูได้ด้วยหัตถการเติมเต็ม เช่น ฟิลเลอร์ หรือกระตุ้นคอลลาเจนอย่าง Sculptra และ HIFU เพื่อให้ผิวกลับมากระชับและอิ่มฟูอีกครั้ง
Q: ถ้าผิวหน้าดูโทรมแต่ไม่มีริ้วรอย ถือว่าแก่ก่อนวัยไหม?
A: แม้ไม่มีริ้วรอย แต่หากผิวหน้าหมอง โทรม ขาดน้ำ ก็ถือเป็นสัญญาณเริ่มต้นของความแก่ก่อนวัยที่ควรรีบฟื้นฟู ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้
Q: ฟื้นฟูหน้าแก่ก่อนวัยแบบไม่ฉีด ไม่ผ่าตัด มีทางเลือกอะไรบ้าง?
A: มีหลายวิธีทั้งเลือกทั้งการใช้เครื่องยกกระชับอย่าง HIFU, Thermage, Ulthera, หรือการทาครีม หรือเซรั่มให้ผิวชุ่มชื้น
Q: ผู้ชายที่หน้าแก่ก่อนวัย แก้ได้เหมือนผู้หญิงไหม?
A: ผู้ชายที่หน้าแก่ก่อนวัยสามารถฟื้นฟูได้เช่นเดียวกับผู้หญิง แต่แนะนำให้เลือกวิธีที่เหมาะกับโครงหน้าและสภาพผิวที่มีเพื่อผลลัพธ์ออกมาตรงตามความต้องการ
Q: มีวิธีไหนที่เห็นผลเร็วโดยไม่ต้องพักฟื้นไหม?
A: หัตถการที่เห็นผลเร็วและไม่ต้องพักฟื้น เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ เครื่องยกกระชับ หรือการร้อยไหม สามารถทำแล้วใช้ชีวิตประจำวันต่อได้ทันที
Q: ทำสกินแคร์ทุกวันแล้ว แต่ยังหน้าโทรม ต้องเสริมอะไรเพิ่มไหม?
A: อาจต้องเสริมด้วยหัตถการบำรุงลึก เช่น ฉีดเมโสหน้าใส สกินบูสเตอร์ หรือดริปวิตามินผิว เพื่อฟื้นฟูผิวจากภายใน
Q: หน้าแก่ก่อนวัยต้องแก้ทั้งหน้า หรือทำเฉพาะจุดได้?
A: สามารถฟื้นฟูเฉพาะจุดได้ โดยแพทย์จะประเมินก่อนหากประเมินแล้วปัญหาไม่ได้เกิดทั่วทั้งใบหน้า เช่น หน้าแก่กว่าวัยเพราะใต้ตาลึก สามารถเติมแค่ฟิลเลอร์ใต้ตาก็ช่วยให้หน้ากลับมาอ่อนเยาว์ได้
Q: ทำหัตถการไปแล้ว จะกลับมาแก่ก่อนวัยอีกไหม?
A: ผิวอาจกลับมาเสื่อมตามวัยได้หากไม่ดูแลต่อเนื่อง จึงควรรักษาผลลัพธ์ด้วยการบำรุงผิว ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต และเข้ารับหัตถการซ้ำตามคำแนะนำแพทย์
Q: จำเป็นต้องทำหัตถการทุกปีไหมถึงจะไม่แก่ก่อนวัย?
A: ไม่จำเป็นต้องทำทุกปี เพราะหัตถการแต่ละแบบระยะเวลาอยู่ได้นานไม่เท่ากัน และยังขึ้นอยู่กับสภาพผิว วิธีดูแลตัวเองด้วย หากดูแลดีอาจไม่ต้องกลับมาทำหัตถการอีก หรือระยะเวลาที่ต้องกลับมาทำหัตถการนานขึ้น
สรุป
ปัญหาหน้าแก่ก่อนวัยเกิดขึ้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทั้งหน้าแก่ก่อนวัยผู้ชาย และหน้าแก่ก่อนวัยผู้หญิง โดยปัญหานี้เกิดได้จากปัจจัยภายนอกอย่างสภาพอากาศ และแสงแดด หรือปัจจัยภายในอย่างความเครียด พฤติกรรมการใช้ชีวิต แต่หน้าแก่ก่อนวัยสามารถแก้ได้ด้วยการดูแลตัวเองด้วยการทาครีมบำรุง ปรับพฤติกรรม หรือทำหัตถการเพื่อฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก หากใครที่กำลังมีปัญหากังวลผิวหน้าอยากปรับสภาพผิว แก้ให้หน้ากระชับขึ้น สามารถเข้ามาปรึกษากับ Vincent Clinic Aesthetic ที่แพทย์ที่มีประสบการณ์จะประเมินปัญหาของคนไข้อย่างละเอียด และให้คำแนะนำ พร้อมวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมที่สุดค่ะ