โบท็อกซ์ริ้วรอย ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง ต้องใช้กี่ยูนิตถึงเห็นผล?
โบท็อกซ์ริ้วรอย ตัวช่วยสำคัญในการต่อสู้กับริ้วรอยที่เกิดขึ้นบนใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะราคาไม่แพง สามารถทำได้ง่าย ใช้เวลาน้อย แต่สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยได้อย่างเห็นผลชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยตีนกา ร่องแก้ม ริ้วรอยหน้าผาก เป็นต้น ล้วนมีสาเหตุมาจากการขยับของกล้ามเนื้อจนทำให้เกิดรอยยับขึ้นได้ หากใครที่ยังสงสัยว่าฉีดโบช่วยลดริ้วรอยได้มากแค่ไหน ต้องฉีดบ่อยไหม ทำตำแหน่งไหนได้บ้าง สามารถติดตามอ่านรายละเอียดได้จากบทความนี้
โบท็อกซ์ริ้วรอย คืออะไร?
โบท็อกซ์ริ้วรอย คือ หัตถการที่ช่วยจัดการปัญหาริ้วรอยที่เกิดขึ้นบนผิวหน้าตามจุดต่าง ๆ ที่มีการขยับอยู่บ่อยครั้ง ด้วยการฉีดโบท็อก หรือ โบทูลินั่มท็อกซินเอ (Botulinum Toxic A) ที่ถูกสกัดมาจากแบคทีเรียที่ชื่อว่า Clostridium Botulinum ซึ่งออกฤทธิ์ระงับการทำงานของกล้ามเนื้อชั่วคราว ทำให้ผิวเรียบเนียน เต่งตึง ริ้วรอยลดเลือนลงอย่างเห็นได้ชัดมากกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยเช่น การทาครีม การทาเซรั่ม เป็นต้น
ทำไมต้องฉีดโบลดริ้วรอย? ริ้วรอยบนใบหน้าเกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง?
โบท็อกซ์ริ้วรอย เป็นอีกหนึ่งหัตถการที่ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน เพราะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้เวลาน้อย เห็นผลไว สามารถทำซ้ำได้เรื่อย ๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ ซึ่งจะเริ่มเห็นริ้วรอยได้ชัดเจนขึ้นตั้งแต่อายุประมาณ 25 ปีขึ้นไป เพราะโครงสร้างของผิวเริ่มอ่อนแอ กระบวนการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินเริ่มทำงานลดลง ประกอบกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตก็ส่งผลกับการเกิดริ้วรอยได้อีกด้วย หากสามารถป้องกันการเกิดริ้วรอยเบื้องต้นได้ จะทำให้ผิวหน้ามีปัญหาน้อยลงไม่ต้องฉีดโบในปริมาณที่มาก โดยสาเหตุการเกิดริ้วรอยบนใบหน้ามีปัจจัยและประเภท ดังนี้
ปัจจัยการเกิดริ้วรอย
- ปัจจัยจากอายุที่เพิ่มขึ้น ปกติแล้วร่างกายจะมีการผลิตสารต่าง ๆ ขึ้นมาเพ่อช่วยให้ผิวเต่งตึง ยืดหยุ่น มีความชุ่มชื้น เช่น คอลลาเจน อิลาสติน ไฮยาลูรอนิก แอซิด เป็นต้น เมื่ออายุเพิ่มขึ้นสารเหล่านี้ก็จะลดลงทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น ไม่ยืดหยุ่น เกิดปัญหาความหย่อนคล้อย ผิวมีริ้วรอยเพิ่มขึ้น
- ปัจจัยจากการแสดงสีหน้าและอารมณ์ สำหรับใครที่มักจะแสดงสีหน้า อารมณ์ อย่างหนักและทำบ่อย ๆ จะทำให้ริ้วรอยลึกขึ้นเรื่อย ๆ หากปล่อยปะละเลยจะกลายเป็นริ้วรอยถาวร เช่น การยิ้มเยอะ ๆ การขมวดคิ้ว หรือการเลิกคิ้วบ่อย ๆ เป็นต้น
- ปัจจัยจากแสงแดด ในแสงแดดนั้นมีรังสี UVA และ UVB ซึ่งส่งผลเสียกับผิวได้อย่างร้ายแรง สามารถทำลายคอลลาเจนและอิลาสตินที่อยู่ใต้ชั้นผิว กระตุ้นการเกิดปัญหาริ้วรอยได้ง่ายขึ้น
ประเภทของริ้วรอย
- ริ้วรอยตื้น เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับผิวชั้นบน เกิดจากผิวขาดน้ำมีความแห้ง อายุเพิ่มขึ้น อยู่ในห้องแอร์ตลอดเป็นประจำ
- ริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการหดตัวของกล้ามเนื้อจุดเดิมอยู่บ่อย ๆ ซึ่งผลกระทบทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นขยับกลายเป็นรอยพับที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ โดยเกิดขึ้นได้จาก การยิ้ม การเลิกคิ้ว หรือการขมวดคิ้ว หากไม่ลดปัจจัยการเกิดริ้วรอยให้ลดลงหรือทำการรักษาอย่างถูกต้อง จะทำให้กลายเป็นริ้วรอยที่ลึกขึ้นกว่าเดิม
- ริ้วรอยถาวร แม้ไม่ได้ขยับใบหน้าหรือแสดงอารมณ์ ริ้วรอยนั้นก็ยังปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ผิวหนังไม่คืนรูปเพราะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นหนังแท้ คอลลาเจนและอิลาสตินน้อยลงมาก ผิวจึงไม่มีความยืดหยุ่น รอยยับจึงไม่คืนรูป
โบท็อกซ์ริ้วรอย ฉีดตำแหน่งไหนได้บ้าง?
โบท็อกซ์ริ้วรอย สามารถฉีดได้หลายจุดทั่วใบหน้า เพราะกล้ามเนื้อบนหน้านั้นมีหลายมัดซึ่งให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป โดยมีจุดที่นิยมฉีดดังนี้
- ฉีดโบลดริ้วรอยรอบดวงตา บริเวณรอบดวงตาคือจุดที่สามารถเกิดริ้วรอยขึ้นได้ง่ายหลายรูปแบบ เช่น รอยตีนกา ริ้วรอยหางตา ริ้วรอยบนผิวรอบดวงตาอื่น ๆ เป็นต้น หลังฉีดแล้วริ้วรอยจะเริ่มจางลง ช่วยให้ใบหน้าดูสดใส หน้าดูเด็กลง
- โบท็อกลดริ้วรอย บริเวณร่องแก้ม สำหรับปัญหาร่องแก้มตื้น ๆ ที่ไม่ลึกมาก สามารถฉีดโบเพื่อช่วยแก้ไขได้ เป็นการยกกระชับแก้ความหย่อนคล้อย ริ้วรอยร่องแก้มจึงจางลงได้ ผิวเรียบเนียนเต่งตึง
- ฉีดริ้วรอยบริเวณหน้าผาก สำหรับใครที่มักจะแสดงสีหน้า อารมณ์ บ่อย ๆ จะทำให้ริ้วรอยบริเวณหน้าผากเริ่มลึกและชัดขึ้น การฉีดโบจะเข้าไปช่วยระงับการทำงานของกล้ามเนื้อทำให้การแสดงสีหน้าหรืออารมณ์ ไม่ก่อให้เกิดริ้วรอยขึ้นอีก
- โบท็อกลดริ้วรอยบริเวณระหว่างคิ้ว อีกหนึ่งตำแหน่งที่มักจะเกิดปัญหาผิวยับย่นเป็นรอยพับได้ง่าย ซึ่งเป็นตำแหน่งตรงกลางของใบหน้าจึงทำให้กลายเป็นจุดดึงสายตา ทำให้ใบหน้าดูโทรม ดูแก่กว่าวัย หลังฉีดโบจึงสามารถช่วยให้ผิวเรียบเนียน ลดการขยับตัวของกล้ามเนื้อ
โบท็อกริ้วรอย มีข้อดี-ข้อควรรู้ อะไรบ้าง?
ฉีดโบลดริ้วรอย เป็นอีกหนึ่งหัตถการที่สามารถช่วยดูแลปัญหาผิวไม่เรียบเนียนได้อย่างเห็นผล โดยมีทั้งข้อดีและข้อควรรู้ ดังนี้
ข้อดี ฉีดลดริ้วรอย
- ใช้เวลาน้อย ได้ผลชัดเจน ไม่ต้องพักฟื้น กลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพราะไม่ใช่การผ่าตัด
- ช่วยปรับผิวเรียบเนียน แก้ปัญหาริ้วรอย รอยพับ หน้าดูเด็กลง
- ชะลอการเกิดริ้วรอยบนใบหน้าในอนาคตไม่ให้เพิ่มขึ้นหรือมีน้อยลง
- ช่วยป้องกันไม่ให้ริ้วรอยเล็ก ๆ กลายเป็นริ้วรอยที่มีความลึกหรือกลายเป็นริ้วรอยถาวร
ข้อควรรู้ ฉีดลดริ้วรอย
- ผลลัพธ์ไม่ได้อยู่ถาวร โดยเฉลี่ยกล้ามเนื้อที่ถูกระงับการทำงานชั่วคราวจะเริ่มกลับมาทำงานได้อีกครั้งในช่วงประมาณ 3 – 4 เดือนหลังทำ ขึ้นอยู่กับระดับปัญหา ปริมาณกล้ามเนื้อ จำนวนยูนิตที่ใช้ รวมไปถึงตำแหน่งที่ฉีด
หลังฉีดโบริ้วรอยต้องดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง?
- หลังฉีดโบในช่วง 30 นาทีแรก ควรขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเพื่อให้เซลล์ประสาทได้ดูดซึมตัวยาเข้าไปให้ได้มากที่สุด
- หลีกเลี่ยงการใช้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดหรือใช้ให้น้อยลง เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อขยับบ่อยจะทำให้เลือดไปไหลเวียนบริเวณนั้นได้ดีขึ้นตัวยาที่สะสมในเซลล์ประสาทสลายไว กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ส่งผลให้กล้ามเนื้อกลับมาทำงานได้เร็วกว่าที่ควรจะเป็น
- งดสัมผัสหน้าบ่อย ๆ นวดหน้า คลึงผิว หรือการสัมผัสแรง ๆ ในช่วง 7 – 14 วันแรกหลังฉีด เพราะจะทำให้ตัวยาเคลื่อนตำแหน่งไปในจุดอื่นที่ไม่ต้องการ ขัดขวางการดูดซึมของตัวยา
- งดนอนราบ งดนอนตะแคง ในช่วง 4 ชั่วโมงแรกหลังทำ เพราะจะทำให้ตัวยากระจายตัวไปสู่กล้ามเนื้อตำแหน่งอื่นที่ไม่ต้องการ เพราะอาจทำให้เกิดอาการปากเบี้ยว หนังตาตก ตามมาได้
- งดการทำหัตถการที่ใช้ความร้อน เช่น ทำเลเซอร์ผิว หรือเครื่องยกกระชับอื่น ๆ เป็นต้น ในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังฉีด เพราะความร้อนมีผลทำให้ตัวยาสลายไปได้ไว ออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่
- งดการโดนความร้อน เช่น แสงแดด อบซาวน่า ซาวน่า การออกกำลังกายที่หนักเกินไป เป็นต้น เพราะความร้อนและการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกายมีผลกับการสลายตัวของตัวยาเร็วขึ้น รวมถึงการเอาบริเวณที่ฉีดโบไปอยู่ใกล้กับความร้อน เช่น กระทะ เตาไฟ หม้อต้ม เป็นต้น ในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังทำ
- งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมีผลกับการขยายตัวของหลอดเลือดซึ่งมีผลรบกวนการกระจายตัวของตัวยา นอกจากนั้นยังมีผลให้รอยแผลจากเข็มหายช้า เกิดอาการบวมช้ำขึ้นได้
โบท็อกซ์ริ้วรอย ฉีดกี่วันเห็นผล? ผลลัพธ์อยู่ได้นานกี่เดือน?
โบท็อกซ์ริ้วรอย หลังฉีดประมาณ 3 – 4 วัน ตัวยาจะเริ่มออกฤทธิ์ จะสามารถเห็นผลลัพธ์ผิวที่เรียบเนียนเต่งตึงมากขึ้น โดยจะสามารถเห็นผลได้เต็มที่ในอีก 1 – 2 สัปดาห์หลังฉีด ริ้วรอยต่าง ๆ ทั้งบริเวณหน้าผาก บริเวณรอบดวงตา บริเวณระหว่างคิ้ว บริเวณร่องแก้ม เป็นต้น ซึ่งผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้ประมาณ 4 – 5 เดือน หลังฉีด หากใครที่ต้องการให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานขึ้นสามารฉีดซ้ำได้อีกอย่างน้อยใน 3 เดือน ควรให้แพทย์เป็นผู้ออกแบบการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละรายบุคคล เพราะหากฉีดถี่เกินไปมีโอกาสทำให้ดื้อโบได้ หรือหากเว้นระยะห่างที่มากเกินไปจะทำให้กล้ามเนื้อกลับมาทำงานตามปกติและอาจจะต้องใช้จำนวนยูนิตที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งปริมาณของยูนิตที่มากเกิไปก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการดื้อโบได้เช่นกัน
โบท็อกซ์ริ้วรอย ใช้กี่ยูนิต?
- บริเวณหน้าผาก ตำแหน่งนี้โดยเฉลี่ยจะฉีดอยู่ที่ประมาณ 15 – 20 ยูนิต เพื่อให้หน้าผากเรียบเนียน ลดเลือนริ้วรอย ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ
- บริเวณระหว่างคิ้ว ในจุดนี้จะฉีดอยู่ที่ประมาณ 6 – 15 ยูนิต ช่วยลดเลือนริ้วรอยขมวดคิ้วให้จางลง ผิวเรียบเนียน
- บริเวณหางตา เฉลี่ยปริมาณการฉีดอยู่ที่ประมาณ 15 – 20 ยูนิต สามารถช่วยลดเลือนรอยตีนกาให้จางลงได้
ฉีดโบลดริ้วรอย ราคาเท่าไหร่?
โบท็อกซ์ริ้วรอยนั้น มีราคาที่ต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ฉีด ปริมาณยูนิต หรือยี่ห้อที่ใช้ โดยจะต้องอยู่ภายใต้การวินิจฉัยของแพทย์มากประสบการณ์ ซึ่งจะเป็นผู้ประเมินและออกแบบการรักษาให้เหมาะกับปัญหา สภาพผิว และความต้องการของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป
ฉีดโบท็อกลดริ้วรอย กี่วันเห็นผล?
ฉีดโบท็อก ลดริ้วรอย จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ความตึงของผิวในช่วง 3 – 4 วันแรกหลังทำ และจะเห็นผลเต็มที่ใน 1 – 2 สัปดาห์ ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้ประมาณ 4 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความเร็วในการฟื้นตัวของกล้ามแต่ละคนที่ไม่เท่ากัน
สรุป
โบท็อกซ์ริ้วรอย หัตถการดูแลผิวพรรณแก้ปัญหาริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังฉีดสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องพักฟื้น นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงการเกิดริ้วรอยให้น้อยลงด้วย เช่น การแสดงสีหน้าอารมณ์ที่มากเกินไป การขมวดคิ้วบ่อย ๆ เป็นต้น แต่หากว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แนะนำให้ฉีดโบเป็นประจำตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้ผลลัพธ์หน้าตึง ผิวเรียบเนียน หน้าดูเด็กลง คงอยู่ได้นานขึ้น และไม่เกิดผลข้างเคียงอย่างอาการดื้อโบตามมา หากใครที่สนใจอยากฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยหรือเพื่อปรับรูปหน้า สามารถเข้ามาปรึกษาทีมแพทย์มากประสบการณ์ของ Vincent Clinic ได้เลย เพื่อให้แพทย์ช่วยประเมินปัญหาและออกแบบการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละรายบุคคลมากที่สุด