บทความ
สิว คืออะไร มีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง วิธีการรักษา ป้องกันได้ไหม?
แชร์ :

สิว คืออะไร มีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง วิธีการรักษา ป้องกันได้ไหม?

สิวคืออะไร
อยากอ่านอะไร จิ้มที่หัวข้อได้เลย!

สิว อีกหนึ่งความกังวลใจของใครหลายคน ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น การดูแลตัวเองที่ไม่เพียงพอ มลภาวะที่ต้องเผชิญในแต่ละวัน รวมไปถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต เป็นต้น หากไม่รีบรักษาหรือรักษาไม่ถูกวิธีจะทำให้เกิดปัญหาผิวตามมา ในบทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับสิวให้มากขึ้นทั้งเรื่องของปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวมีอะไร วิธีรักษามีอะไรบ้าง วิธีฟื้นฟูผิวที่เกิดปัญหาทำได้อย่างไร สามารถป้องกันได้ไหม ติดตามอ่านได้จากบทความนี้

สิว คืออะไร?

สิว (Acne) คือ การอักเสบที่เกิดขึ้นบนผิวหนังเป็นตุ่มนูนเกิดขึ้นที่บริเวณรูขุมขนและต่อมไขมันกลายเป็นสิวอุดตันหรือสิวผด หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำการรักษาหรือรักษาไม่ถูกวิธีจะทำให้เชื้อแบคทีเรียเกิดการขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เซลล์เม็ดเลือดขาวและเอนไซม์ที่ช่วยย่อยน้ำมันมารวมตัวที่บริเวณสิวมากขึ้น กระตุ้นให้สิวอุดตันกลายเป็นสิวอักเสบลักษณะเป็นตุ่มแดงมีหนอง ในบางกรณีอาจเกิดอาการอักเสบที่รุนแรงและกินบริเวณกว้างลึกลงไปถึงชั้นผิว กลายเป็น สิวหัวช้าง สามารถพบได้ทั่วไปทั้งบริเวณใบหน้า บริเวณหลัง รวมถึงบริเวณหน้าอก

สิว เกิดจากอะไรได้บ้าง?

การเกิดสิว สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยด้วยกัน มีทั้งสิ่งที่ควบคุมได้และไม่สามารถควบคุมได้ หากสามารถเข้าใจถึงสาเหตุได้จะช่วยให้หาวิธีป้องกันหรือหลีกเลี่ยงได้ง่ายขึ้น โดยมีปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาสิว ดังนี้

  • ปัจจัยจากฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง เป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่มักพบได้บ่อย เพราะเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของร่างกาย โดยเฉพาะในเพศชายที่ฮอร์โมนที่ทำให้เกิดสิวจะเข้าไปกระตุ้นต่อมไขมันให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้เกิดการผลิตไขมันในปริมาณที่มาก เป็นต้นเหตุของผิวมัน ผิวหยาบ เห็นรูขุมขนกว้าง จึงเกิดการอุดตันของรูขุมขนได้ง่ายกว่า ในกรณีของเพศหญิงมักจะพบสิวได้มากกว่าปกติในช่วงก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน ฮอร์โมนมีการพุ่งสูงขึ้นเกิดการบวมของรูขุมขน มีการคั่งน้ำในร่างกาย เกิดการอุดตันจนกลายเป็นสิวอักเสบ
  • ปัจจัยจากเครื่องสำอาง อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสิวเพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีโอกาสเข้าไปอุดตันรูขุมขนได้ จึงควรเลือกแบบที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง เน้นที่ส่วนประกอบเป็นน้ำ เลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบหรือใช้ให้น้อยลง
  • ปัจจัยจากอาหาร สำหรับอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล ของทอด ของมัน หรือมีรสหวานที่มากเกินไป นอกจากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพแล้วยังเพิ่มโอกาสของการเกิดสิวอักเสบให้มากขึ้นได้ สามารถสังเกตได้ด้วยตัวเองว่าช่วงไหนที่รับประทานอาหารชนิดใดบ่อย ๆ แล้วสิวขึ้นเยอะกว่าปกติ ให้หลีกเลี่ยงอาหารประเภทนั้นหรือทานให้น้อยลง แนะนำให้ปรับเปลี่ยนอาหารที่ทานให้หลากหลายครบ 5 หมู่จะดีต่อสุขภาพและร่างกาย
  • ปัจจัยจากการใช้ชีวิตประจำวัน ในกลุ่มคนที่พักผ่อนน้อย มีความเครียดสะสม สูบบุหรี่ สามารถส่งผลทำให้ฮอร์โมนในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงกระตุ้นให้เกิดสิวขึ้นได้ นอกจากนั้นกลุ่มของคนไม่ค่อยทำความสะอาดร่างกายอย่างเพียงพอหรือทำอย่างไม่ถูกวิธี ทำให้สิ่งสกปรกตกค้างและอุดตันตามรูขุมขน
  • ปัจจัยจากมลภาวะแวดล้อม อย่างเช่น ฝุ่นละออง ควัน มลภาวะทางอากาศ เป็นต้น สามารถกระตุ้นทำให้เกิดปัญหาสิวขึ้นได้ โดยเฉพาะในคนที่ผิวแพ้ง่าย นอกจากนั้น ในคนที่ต้องสวมหน้ากากอนามัยบ่อย ๆ เป็นเวลานาน ๆ ทำให้เกิดความอับชื้นภายใต้หน้ากากรวมถึงผิวเกิดการเสียดสี ส่งผลทำให้แบคทีเรียบริเวณรูขุมขนเจริญเติบโตได้มากขึ้น
  • ปัจจัยจากภาวะแอนโดรเจนมากเกินไป สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง โดยเฉพาะในช่วงวัยเจริญพันธุ์ของผู้หญิงส่งผลให้เกิดการผลิตน้ำมันมากกว่าปกติกระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบรุนแรงได้ ทั้งยังส่งผลกระทบกับสุขภาพร่างกายในเรื่องอื่น ๆ เช่น มีขนขึ้นตามร่างกายมากกว่าปกติ ผมร่วง ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือเกิดปัญหาศีรษะล้าน

Banner รอยสิว3

สิว มีกี่แบบ?

สิว ปัญหากังวลใจของใครหลายคนซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยสามารถแบ่งประเภทของสิวได้ 2 ประเภทหลัก ดังนี้

  • สิวไม่อักเสบ 

สิวไม่อักเสบ สามารถแบ่งย่อยออกไปได้อีก 2 ประเภท คือ

  • สิวหัวดำ (Blackheads) เป็นสิวอุดตัวหัวเปิดที่มีลักษณะเป็นตุ่มนูนที่มีขนาดเล็กอาจมีสีเหลืองหรือมีสีดำ ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุที่อยู่ชั้นในของรูขุมขน หากกดหรือบีบก็สามารถเอาออกได้ แต่มีโอกาสที่จะอักเสบหรือเป็นรอยสิวขึ้นได้
  • สิวหัวขาว (Whiteheads) เป็นสิวอุดตันชนิดหัวปิด มีสีขาวขนาดเล็กขึ้นตามผิวหนัง ตัวสิวแน่น กดหรือบีบได้ยาก เพราะรากสิวอยู่ลึกกว่าสิวหัวดำ ซึ่งสามารถพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบได้ เพราะมีโอกาสติดเชื้อได้มากกว่า
  • สิวอักเสบ

สิวอักเสบ สามารถแบ่งย่อยลงไปได้อีก 4 ประเภท ดังนี้

  • สิวตุ่ม (Red papules) เป็นลักษณะของสิวที่มีขนาดเล็ก เป็นตุ่มสีแดง เป็นระยะแรกของสิวอักเสบ เมื่อสัมผัสแล้วจะรู้สึกเจ็บ
  • สิวหนอง (Pustules) เป็นลักษณะคล้ายกับสิวตุ่มแต่มีหนองสีขาวอยู่ตรงกลาง เกิดจากการติดเชื้อรุนแรง
  • สิวอักเสบลึก (Nodules) เป็นลักษณะของสิวที่มีขนาดใหญ่เกิน 8 mm หรืออาจพบเป็นลักษณะของหัวสิวหลายหัวอยู่ติดกัน เกิดการอักเสบรุนแรง มีอาการเจ็บได้แม้ไม่ต้องสัมผัส เกิดขึ้นได้จากการที่รักษาสิวไม่ถูกวิธี เช่น บีบ กด เป็นต้น ทำให้แบคทีเรียหรือน้ำมันที่อยู่ในสิวกระจายตัวใต้ชั้นผิว ทำให้สิวเกิดอาการอักเสบ บวมแดง ได้อย่างรุนแรง
  • สิวซีสต์ (Cyst) เป็นสิวที่มีความอักเสบอย่างรุนแรง เกิดจากการปล่อยให้สิวชนิดอักเสบลึกลุกลามไม่รักษาหรือรักษาไม่ถูกวิธี กระทบไปถึงโพรงรูขุมขนแตกออกจนแบคทีเรียและเศษเซลล์ไหลเข้าไปสู่ผิวชั้นใน ทำให้เกิดการอักเสบขนาดใหญ่และอยู่ในผิวชั้นลึก กลายเป็นก้อนหนองที่มีขนาดใหญ่อาจมีเลือดปนได้ มีโอกาสสูงที่จะกลายเป็น หลุมสิว หรือรอยแผลเป็นถาวรในอนาคต

สิว สามารถเกิดขึ้นบริเวณใดได้บ้าง?

การเกิดสิวนั้นสามารถเกิดขึ้นบนผิวหนังได้ทุกบริเวณในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าคือจุดที่พบได้บ่อยในตำแหน่งของ หน้าผาก จมูก และคาง หรือที่เรียกกันว่า T – Zone เพราะบริเวณนี้มีต่อมไขมันอยู่มากกว่าจุดอื่น ๆ นอกจากใบหน้าจะมีบริเวณหลัง หน้าอก รวมไปถึงบริเวณคอ ไหล่ หรือต้นแขน ได้อีกด้วย 

การรักษาสิวมีอะไรบ้าง?

การรักษาสิว ที่นิยมใช้กันจะเน้นไปในเรื่องของการช่วยลดรอยสิวหรือช่วยป้องกันการเกิดสิวใหม่ ซึ่งมีวิธีการรักษาดังนี้

  • รักษาด้วยการกดสิว ช่วยให้หัวสิวอุดตันหลุดออกได้ไวขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดการพัฒนาเป็นสิวอักเสบ ซึ่งต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อจนกลายเป็นสิวอักเสบตามมาหรืออาจกลายเป็นรอยสิว หลุมสิว จุดด่างดำ ตามมา
  • รักษาด้วยการใช้ยาทาสิว ช่วยรักษาสิวอุดตัน ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย มักใช้กับคนที่มีปัญหาไม่รุนแรง โดยมักจะนิยมใช้ benzoyl peroxide หรือ Retinoid อนุพันธุ์วิตามิน A เป็นต้น ซึ่งออกฤทธิ์ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลลืผิวเก่า ลดการอุดตันในรูขุมขน กระตุ้นคอลลาเจน
  • รักษาด้วยการทานยา ในกลุ่มที่มีปัยหาสิวระดับปานปลาง การทานยารักษาสิงร่วมกับยาทาจะช่วยเสริมประสิทธิภาพให้เพิ่มขึ้น เช่น Tetracyclin, Macrolides, Amoxycilin เป็นต้น ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นต้นตอของความอักเสบ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
  • รักษาด้วยการฉีดสิว วิธีการนี้จะเป็นการใช้ยาที่อยู่ในกลุ่มของสเตียรอยด์นำมาฉีดเข้าไปที่ใต้หัวสิว สามารถช่วยรักษาสิวประเภท สิวอักเสบแบบตุ่ม สิวหนอง สิวอักเสบลึก สิวซีสต์ หรือสิวหัวช้าง ซึ่งอาจทำให้เกิดลักษณะของรอยบุ๋มรอบ ๆ จุดที่ฉีด ซึ่งสามารถพัฒนากลายเป็นรอยแผลเป็น เกิดอากรผิวช้ำ หรืออักเสบได้ จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์โดยตรง
  • รักษาด้วย Chemical Peeling วิธีนี้คือการใช้สารเคมีที่มีความเป็นกรด เช่น AHA BHA TCA เป็นต้น นำมาทาที่ผิวหนังบริเวณที่เป็นสิวทำให้ผิวลอกหลุดออก กระตุ้นการซ่อมแซมชั้นผิวขึ้นมาใหม่ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อีกด้วย ลดการเกิดสิว แต่ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสมเพราะหากใช้ในความเข้มข้นที่สูงเกินไปอาจทำร้ายผิวได้มากกว่าการรักษาสิว จึงต้องดูแลโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงเท่านั้น
  • รักษาด้วยการฉีดเมโสหน้าใส เป็นการฉีดตัวยาที่มีสารสกัดเข้มข้นซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผิวพรรณ ช่วยให้ผิวแข็งแรง ผิวกระจ่างใส ลดเลือนจุดด่างดำ รอยสิว รวมไปถึงช่วยลดอาการอักเสบที่เกิดขึ้นบริเวณผิวหน้า เช่น สิว ได้อีกด้วย ช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพให้แข็งแรงขึ้น ขับสารพิษที่สะสมในผิว ช่วยลดปัจจัยการเกิดสิวให้ลดลง
  • รักษาด้วยการใช้เลเซอร์ ในส่วนของเลเซอร์ที่นำมาใช้จะเป็นการช่วยจัดการจุดด่างดำ รอยสิว หรือแก้ปัญหาหลุมสิวให้ตื้นขึ้น ซึ่งเลเซอร์ที่ได้รับความนิยมใช้ในปัจจุบัน คือ Discovery Pico สามารถช่วยดูแลผิวพรรณกระจ่างใส กระตุ้นคอลลาเจน ปรับ Skin Texture ให้เรียบเนียนมากขึ้น หากทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง นอกจากเรื่องสิวแล้วยังช่วยลดเลือน ฝ้า กระ ได้อีกด้วย 
  • รักษาด้วยการฉีดฟิลเลอร์หลุมสิว อีกเทคนิคที่ช่วยฟื้นฟูผิวจากปัญหาหลุมสิวให้ตื้นขึ้นคือการฉีดฟิลเลอร์ ใช้เวลาในการรักษาน้อย เห็นผลเร็ว แต่การฉีดสารเติมเต็มจะใช้ได้กับหลุมสิวบางประเภทเท่านั้น

สิว เกิดขึ้นแล้วดูแลอย่างไร?

สิว ไม่ว่าจะเป็นประเภทไหนหรือเป็นมากหรือน้อย ล้วนต้องดูแลทันทีและดูแลอย่างถูกวิธี เพื่อช่วยลดโอกาสที่ลุกลามกลายเป็นปัญหารุนแรงตามมา โดยสามารถดูแลตัวเองได้ดังนี้

  • ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีความอ่อนโยน โดยไม่เกินวันละ 2 ครั้ง เพื่อป้องผิวระคายเคืองจากความชุ่มชื้นที่สูญเสียไป
  • งดบีบหรือกดสิว เพราะมีโอกาสทำให้เกิดปัญหาหลุมสิวตามมา แนะนำให้ทำกับผู้เชี่ยวชาญ
  • หากเป็นสิวแล้วต้องแต่งหน้า แนะนำให้แต่งแบบบางอ่อนไม่โบ๊ะหน้าหนา เพราะจะยิ่งทำให้สิวมีโอกาสอุดตันมากขึ้น
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพราะจะทำให้เกิดการอุดตันได้มากขึ้น เน้นไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่ส่วนผสมเป็นน้ำจะช่วยลดปัญหาให้น้อยลง
  • ควรทำความสะอาดผิวให้ถูกต้องทุกวัน เพื่อป้องกันการอุดตันรูขุมขน หรือเครื่องสำอางตกค้างบนผิว

Banner รอยสิว2

สิว ป้องกันได้ไหม?

การเกิดสิว สามารถป้องกันได้ด้วยการควบคุม หลีกเลี่ยงหรือลดปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว เพื่อป้องกันไม่ให้สิวผุดขึ้นบนใบหน้า หรือลดโอกาสการเกิดสิวซ้ำในอนาคต โดยสามารถปฏิบัติได้ตามนี้

  • ล้างหน้าให้สะอาดเป็นประจำ ใช้ผลิตภัณฑ์เช็ดสิ่งสกปรกบนใบหน้าก่อนลงครีมบำรุง
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคน ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง
  • สระผมเป็นประจำ เพื่อช่วยจัดการครบสกปรก ลดไขมัน ต้นเหตุของการเกิดสิว
  • รักษาความสะอาดของร่างกายและสิ่งรอบตัว เช่น ปลอกหมอน ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น เพื่อลดการสะสมของแบคทีเรีย
  • ควรหลีกเลี่ยงการโดนแดดเพราะจะทำให้ผิวเกิดการอักเสบระคายเคืองได้ หมั่นทาครีมกันแดดเป็นประจำ
  • ดูแลผิวให้แข็งแรงอยู่เสมอ เมื่อผิวสุขภาพดีมีความแข็งแรง จะช่วยให้ผิวทนต่อความอักเสบหรือระคายเคืองได้ดีขึ้น เช่น ดื่มน้ำให้เพียงพอ พักผ่อนให้เพียงพอ ทานผักผลไม้และอาหารที่มีประโยชน์ ทานวิตามิน อาหารเสริม เป็นต้น

สรุป

สิว นับว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน หากเป็นแล้วต้องรีบรักษาให้เร็วและถูกวิธี ซึ่งเป็นเรื่องที่ง่ายมากขึ้นในปัจจุบันเพราะมีนวัตกรรมที่สามารถช่วยรักษา ป้องกัน และฟื้นฟูผิวจากปัญหาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ  สามารถเลือกทำได้ตามความต้องการหรือความเหมาะสมกับแต่ละรายบุคคลมากที่สุด หากใครที่มีปัญหาผิวพรรณเสื่อมโทรมจากปัญหาสิว ไม่ว่าจะเป็น จุดด่างดำ รอยสิว หลุมสิว ผิวไม่เรียบเนียน แนะนำให้เข้ามาปรึกษาทีมแพทย์มากประสบการณ์ของ Vincent Clinic ที่พร้อมให้บริการด้วยนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกครั้งที่เข้ามารับบริการจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีและมีความปลอดภัยกลับไปเสมอ

Scroll to Top