เรตินอล ได้รับความนิยมนำไปใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเพื่อช่วยชะลอวัย ลดเลือนริ้วรอย แก้ปัญหาความหมองคล้ำ ช่วยให้ผิวสุขภาพดี เรียบเนียนมากขึ้น สามารถใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการบำรุงผิวให้ดียิ่งได้อีกด้วย ซึ่งหลายคนคงยังมีข้อสงสัยในบางเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคุณสมบัติเด่นของแต่ละประเภท ห้ามใช้คู่กับอะไร ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ใครที่ไม่ควรใช้ ผลข้างเคียงหลังใช้งานมีอะไรที่ควรระวัง และรายละเอียดอื่น ๆ สามารถติดตามอ่านได้จากบทความนี้
เรตินอล คืออะไร?
เรตินอล คือ อนุพันธ์ของวิตามินเอบริสุทธิ์ ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ เรตินอยด์ (Retinoids) มักจะถูกนำมาใช้ผสมกับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณเพื่อช่วยฟื้นฟูผิว กระตุ้นคอลลาเจน ผิวเรียบเนียนขึ้น ช่วยลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้น พบได้บ่อยในวัย 30 ปีขึ้นไป โดยมีการแบ่งประเภทตามโครงสร้างทางเคมี ความเข้มข้น ซึ่งมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป
เรตินอล เรตินอยด์ และเรตินัล ต่างกันอย่างไร
เรตินอล ที่ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยดูแลผิวพรรณ มีด้วยกันหลายประเภทซึ่งมีความแตกต่างกันออกไป ทั้งเรื่องของโครงสร้างทางเคมี ระดับความเข้มข้น รวมถึงคุณสมบัติบางประการ ดังนี้
- Retinyl esters ถูกจัดอยู่ในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ มักจะถูกนำมาใช้ผสมอยู่ในเครื่องสำอาง มีความเข้มข้นน้อยที่สุด อ่อนโยน ผิวแพ้ง่ายสามารถใช้ได้ โดยจะต้องอาศัยเอนไซม์บนผิวเพื่อทำปฏิกิริยาถึง 3 ครั้ง ถึงจะออกฤทธิ์ ทำให้เห็นผลลัพธ์ได้ช้า
- Retinol มีความเข้มข้นระดับปานกลาง มักถูกนำมาใช้ผสมอยู่ในเครื่องสำอางเพื่อช่วยในเรื่องของการยกกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอย ต้องใช้อย่างระมัดระวังเพราะอาจเกิดอาการระคายเคืองได้ง่าย โดยต้องอาศัยเอนไซม์บนผิวทำปฏิกิริยา 2 ครั้งจึงจะสามารถออกฤทธิ์ได้ หากใช้อย่างต่อเนื่องประมาณ 3 – 6 เดือน จะเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้
- Retinaldehyde หรือ เรตินัล (Retinal) มีความเข้มข้นระดับกลาง – มาก เห็นผลเร็วและมีฤทธิ์ที่แรงกว่าเรตินอล ช่วยลดเลือนริ้วรอย ร่องลึก ช่วยให้ผิวเรียบเนียน จัดอยู่ในกลุ่มของอนุพันธ์วิตามินเอที่ถูกผสมอยู่ในเครื่องสำอางแล้วจึงเปลี่ยนเป็น Retinoic Acid
- Retinoic acid หรือ Tretinoin คืออนุพันธ์วิตามินเอซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของยา รู้จักกันในชื่อว่า Retin-A สามารถออกฤทธิ์ได้ทันที นิยมนำมาใช้ในกระบวนการช่วยยับยั้งการเกิดสิว รักษาได้ทั้งสิวอุดตัน สิวอักเสบ และช่วยรักษาหลุมสิวได้ ผิวเรียบเนียนมากขึ้น แต่ด้วยความเข้มข้นที่สูงจึงมีโอกาสทำให้เกิดความระคายเคืองได้มาก ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น
- Adapalene ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของยา รู้จักกันในชื่อ Differin มีคุณสมบัติเด่นในเรื่องของการช่วยรักษาสิวโดยเฉพาะ สามารถใช้รักษาอาการอื่นตามดุลพินิจของแพทย์
- Tazarotene อยู่ในกลุ่มของยาที่มีความเข้มข้นสูง มักถูกนำมาใช้รักษาสิวและโรคสะเก็ดเงิน สามารถทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้ง่าย ต้องอยู่ภายใต้ดูแลโดยแพทย์เท่านั้น
เรตินอล มีกระบวนการทำงานอย่างไร?
Retinol หรือสารกลุ่มเรตินอยด์ที่ถูกนำไปใช้ผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ เมื่อทาลงบนผิวจะเข้าไปจับตัวกับเรตินอยด์ที่มีอยู่ในชั้นผิวหนังกำพร้า เข้าไปกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ผิวเพื่อให้ผิวหนาขึ้น กระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนให้เพิ่มขึ้น ช่วยกระตุ้นกระบวนการสังเคราะห์ Glycoaminoglycan ผิวจึงชุ่มชื้นมากขึ้น ระงับเอนไซม์ที่มีผลทำให้คอลลาเจนสลายตัว สามารถเข้าไปจับตัวกับเซลล์ที่กำลังอักเสบ ช่วยลดอาการอักเสบของสิวให้น้อยลง
เรตินอล ช่วยอะไรได้บ้าง?
เรตินอลมีคุณสมบัติเด่นที่หลากหลาย สามารถช่วยจัดการปัญหาผิวพรรณได้หลากหลาย ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของสิวหรือการผลัดเซลล์ผิวเท่านั้น โดยมีคุณสมบัติที่ช่วยดูแลผิวพรรณได้ ดังนี้
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวกระชับขึ้น
- ช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ ดูจางลง เช่น ริ้วรอยหน้าผาก รอยย่นระหว่างคิ้ว ริ้วรอยตีนกา เป็นต้น
- ช่วยลดจุดด่างดำ รอยดำที่เกิดจากสิว
- ช่วยให้ผิวกระจ่างใสมากขึ้น
- ช่วยแก้ปัญหาสิวที่เกิดขึ้นทั่วทั้งบริเวณใบหน้า บริเวณลำตัว บริเวณอก และบริเวณหลัง เช่น ลดการอักเสบของสิว ลดสิวอุดตัน แก้ปัญหาสิวหัวดำ เป็นต้น
- ช่วยควบคุมความมัน กระชับรูขุมขนให้เล็กลง
- ช่วยแก้ปัญหา หลุมสิว ให้ตื้นขึ้น
เรตินอล มีข้อควรระวังอะไรบ้าง?
เรตินอลเป็นสารที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองบนผิวขึ้นได้ จึงต้องถูกใช้อย่างถูกต้องอยู่ภายใต้การควบคุมที่เหมาะสม โดยมีข้อควรระวังดังนี้
- ห้ามใช้กับคนที่กำลังวางแผนตั้งครรภ์ สตรีมีครรภ์ หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร เนื่องจากสารกลุ่มวิตามินเอมีความเสี่ยงทำให้เกิดความผิดปกติในทารก
- ควรทาครีมกันแดดเป็นประจำและหลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดหรือโดนแดดบ่อย ๆ เพราะเรตินอลทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น
- ควรเริ่มใช้ในระดับความเข้มข้นน้อย โดยเลือกช่วงเวลาเป็นตอนกลางคืนก่อนนอนประมาณ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือจะใช้เป็นแบบวันเว้นวันในช่วงแรกที่เริ่มใช้ เพื่อให้ผิวได้ปรับตัวและช่วยลดอาการแพ้หรือระคายเคือง
- งดใช้ร่วมกับสารเรตินอยด์ประเภทอื่น ๆ หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดวิตามินซี AHA และ BHA จะยิ่งทำให้ ผิวแห้ง มากขึ้น เกิดอาการระคายเคืองที่รุนแรงตามมาได้
เรตินอล ยี่ห้อไหนดี?
สำหรับ เรตินอล ที่ถูกใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณตามท้องตลาดมีด้วยกันหลายยี่ห้อ ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็จะมีส่วนผสมอื่น ๆ เพิ่มเติมแตกต่างกันไป แนะนำให้เลือกแบบที่มีปริมาณความเข้มข้นของเรตินอลในระดับที่น้อยก่อน เพื่อช่วยลดอาการระคายเคืองผิวให้น้อยลง นอกจากนั้นสามารถดูจากส่วนผสมอื่นที่ช่วยดูแลและจัดการปัญหาผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เรตินอล ใช้คู่กับอะไรดี?
เรตินอล อาจทำให้ผิวแห้งหรือเกิดการผลัดเซลล์มากขึ้นได้ ดังนั้นแนะนำให้เลือกใช้คู่กับผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว เช่น มอยเจอร์ไรเซอร์ ไฮยาลูรอน เป็นต้น เพื่อช่วยลดความระคายเคืองและช่วยดูแลผิวพรรณในหลายมิติ
เรตินอล ห้ามใช้คู่กับอะไร?
เรตินอล ไม่ควรใช้คู่กับสารเรตินอยด์ประเภทต่าง ๆ รวมไปถึงกรดวิตามินซี AHA BHA และเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ เพราะต่างก็ออกฤทธิ์ทำให้กระบวนการผลัดเซลล์ผิวเพิ่มมากขึ้น หากใช้ร่วมกันจะยิ่งทำให้ผิวแห้งหนัก เกิดอาการระคายเคืองอย่างรุนแรง กลายเป็นปัญหาผิวพังตามมาในอนาคต
นอกจากเรตินอล วิธีไหนช่วยดูแลผิวได้ดีอีกบ้าง?
เรตินอล เป็นสารที่ต้องใช้อย่างถูกต้องเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาผิวตามมา ซึ่งวิธีการดูแลผิวพรรณยังสามารถทำได้ด้วยหลากหลายวิธีที่ไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงขึ้นกับผิว ดังนี้
- ฉีดฟิลเลอร์ (Filler) วิธีนี้คือการฉีด Hyaluronic Acid เข้าไปที่ผิวเพื่อช่วยเติมเต็มส่วนขาดหายไป ทั้งยังสามารถเป็น Skin Booster ได้อีกด้วย เพราะมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดี มีโมเลกุลที่เล็ก กลืนเข้ากับได้ง่าย ผิวจึงมีความเนียนนุ่ม อิ่มฟูเต่งตึง ผิวฉ่ำวาวอิ่มน้ำ รูขุมขนเล็กลง ทั้งยังช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้นได้อีกด้วย หลังฉีดสามารถเห็นผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้ทันทีหลังทำ (ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละรายบุคล) ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น
- Sculptra เป็นวิธีการฉีด PLLA หรือ Poly-L-Lactic acid ซึ่งเป็น Collagen biostimulator เข้าไปใต้ชั้นผิวลึกเพื่อเข้าไปช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนให้เพิ่มขึ้นมาทดแทนคอลลาเจนเดิมที่เสื่อมสภาพลงไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น สามารถช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวได้อย่างล้ำลึกจากภายใน ผิวจึงยกกระชับ มีความอิ่มฟู ปัญหาร่องลึกและริ้วรอยต่าง ๆ แลดูจางลง
- Juvelook คือการฉีด Hybrid Biostimulator ประกอบไปด้วย 2 ส่วนประกอบสำคัญ ได้แก่ Poly D-L-Lactic Acid (PDLLA) ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ Collagen Biostimulator อีกส่วนผสมคือ Non – crosslinked Hyaluronic Acid เมื่อฉีดเข้าสู่ชั้นผิวจะช่วยกระตุ้นกระบวนการทำงานของคอลลาเจนและอิลาสตินให้เพิ่มขึ้น ผิวยืดหยุ่นขึ้น ริ้วรอยบนผิวจางลง ผิวฉ่ำวาวชุ่มชื้นมากขึ้น ใต้ตากระจ่างสดใส
- Rejuran คือสารสกัด Polynucleotide ที่มีความเข้มข้นและมีความบริสุทธิ์สูง สกัดมาจาก DNA ของแซลมอนที่อาศัยอยู่ในทะเลตามธรรมชาติ มีความใกล้เคียงกับดีเอ็นเอของมนุษย์มากถึง 98 % ช่วยฟื้นฟูผิวได้อย่างล้ำลึกจากภายใน ผิวกระจ่างใส สีผิวสม่ำเสมอขึ้น รูขุมขนกระชับ ผิวชุ่มชื้นฉ่ำวาว ไม่เกิดผลข้างเคียงกับร่างกายและผิวพรรณ
สรุป
เรตินอล เป็นสารที่ช่วยจัดการปัญหาเรื่องของริ้วรอย สิว และความหมองคล้ำ ให้ดีขึ้น สามารถใช้ควบคู่กับครีมบำรุงต่าง ๆ อย่าง มอยเจอร์ไรเซอร์หรือไฮยาลูรอน เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นลดการระคายเคือง ที่อาจเกิดขึ้นได้หลังใช้งาน จึงจำเป็นต้องใช้ให้ถูกวิธี ซึ่งการใช้งานต้องใช้อย่างถูกวิธีเพื่อไม่ให้เกิดอาการแพ้ ผิวแห้งลอก หรืออาการระคายเคืองตามมา สำหรับใครที่อยากฟื้นฟูผิวพรรณให้กลับมาแข็งแรงสุขภาพดี โดยไม่ต้องผ่าตัด แนะนำให้เข้ามาปรึกษากับทีมแพทย์มากประสบการณ์ของ Vincent Clinic เพื่อให้แพทย์ได้ประเมินจากปัญหาและสภาพผิวจริงของคนไข้ นำไปเป็นข้อมูลสำหรับออกแบบการรักษาให้เหมาะกับแต่ละรายบุคคลมากที่สุด