นโยบายบริษัท เรื่องนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

คำนำ
บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (“บริษัท”) ตระหนักถึงความสำคัญของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จึงได้จัดทำนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลขึ้น เพื่อให้พนักงานภายในองค์กรรับทราบและปฏิบัติตามเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยนโยบายนี้ได้อธิบายถึงวิธีการที่บริษัทปฏิบัติต่อข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การเก็บรวบรวม การจัดเก็บรักษา การใช้ การเปิดเผย รวมถึงสิทธิต่าง ๆ ของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น รวมถึงเพื่อแจ้งให้เจ้าของข้อมูลได้รับทราบถึงนโยบายในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท บริษัทจึงประกาศนโยบายฯ ดังต่อไปนี้

1. ข้อมูลส่วนบุคคล
1.1 คำนิยาม
         บริษัท หมายถึง บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
         ข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง ข้อมูลใด ๆ ที่เกี่ยวกับบุคคลธรรมดาที่ทำให้สามารถระบุถึงตัวบุคคลธรรมดานั้นได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม โดยไม่รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ถึงแก่กรรม
          ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว หมายถึง ข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ความเชื่อในลัทธิ ศาสนาหรือปรัชญา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ ความพิการ ข้อมูลสหภาพแรงงาน ข้อมูลพันธุกรรม  ข้อมูลชีวภาพ (เช่น การสแกนลายนิ้วมือ การสแกนใบหน้า เป็นต้น) หรือข้อมูลอื่นใดซึ่งกระทบต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในทำนองเดียวกันตามที่คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลประกาศกำหนด
           การประมวลผล หมายถึง การกระทำหรือดำเนินการใดๆ กับข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งครอบคลุมถึงการเก็บรวบรวม การใช้ หรือการเปิดเผยด้วยการส่ง หรือกระจายข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆ
           เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง บุคคลธรรมดาซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัท เก็บรวบรวม ใช้หรือเปิดเผย ซึ่งประกอบด้วย
                    (1) ลูกค้าบุคคลธรรมดา
                    (2) คู่ค้าบุคคลธรรมดา
                    (3) กรรมการ ผู้บริหาร ที่ปรึกษา หุ้นส่วน ผู้ถือหุ้น ผู้รับมอบอำนาจ ตัวแทน ผู้แทน
                    (4) พนักงาน ผู้ปฏิบัติงาน ลูกจ้าง
                    (5) ผู้เข้าชมเว็บไซต์ แพลตฟอร์มออนไลน์ หรือช่องทางการสื่อสารอื่นๆ ซึ่งควบคุมโดยบริษัท
                    (6) บุคคลอื่นๆ ที่บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ผู้สมัครงาน ครอบครัวของพนักงาน ผู้รับผลประโยชน์ในกรมธรรม์ประกันภัย ผู้ค้ำประกันการทำงาน เป็นต้น
          ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง บุคคลหรือนิติบุคคลที่มีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม การใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
          ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง บุคคลหรือนิติบุคคลซึ่งดำเนินการเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม การใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามคำสั่งหรือในนามของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ บุคคลหรือนิติบุคคลซึ่งดำเนินการดังกล่าวไม่เป็นผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
1.2 ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีการเก็บรวบรวม
         บริษัท อาจมีการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ดังต่อไปนี้
  ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป:
       1) ข้อมูลส่วนตัว ได้แก่ ชื่อและนามสกุล วันเดือนปี สถานที่เกิด สถานภาพ ข้อมูลตามที่ระบุในบัตรประจำตัวประชาชนและหนังสือเดินทาง สำเนาบัตรประชาชน หรือหมายเลขบัตรประชาชน
       2) ข้อมูลติดต่อ ได้แก่ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ Line ID ช่องทางติดต่อในสื่อสังคมออนไลน์ สถานที่ทำงานตำแหน่งงาน หน่วยงานหรือองค์กร
       3) ข้อมูลการชำระเงิน เช่น บัญชีธนาคาร รายละเอียดของบัตรเครดิต/เดบิต หรือธนาคารออนไลน์
       4) ข้อมูลการเข้ารับบริการ เช่น ข้อมูลหัตถการ ข้อมูลการนัดหมายแพทย์ ภาพจากกล้องวงจรปิด (CCTV
       5) ข้อมูลสถิติ เช่น จำนวนการเข้าชมเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของบริษัท
       6) ข้อมูลด้านสุขภาพ ข้อมูลชีวภาพ (เช่น ข้อมูลภาพจำลองใบหน้า เป็นต้น) ข้อมูลพันธุกรรม รายงานที่เกี่ยวกับสุขภาพ การใช้ยา แพ้ยา แพ้อาหาร และการวินิจฉัย
       7) ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานระบบอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ email หมายเลขไอพี (IP Address) ประเภทของโปรแกรมบราวเซอร์ (Browser) และคุกกี้ (Cookies) ประวัติการสนทนาในแอปพลิเคชันต่าง ๆ
       8) ข้อมูลที่ท่านได้ให้ไว้เมื่อท่านติดต่อ หรือร่วมกิจกรรมใด ๆ กับบริษัท เป็นต้น
   ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว
                    บริษัท ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ได้แก่ ภาพสแกนใบหน้า หมู่โลหิต ศาสนา เพื่อการให้บริการของบริษัท ซึ่งบริษัทจะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่านโดยตรง ทั้งนี้ เว้นแต่กฎหมายจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

2. วัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม หรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
        บริษัท เก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
     1) เพื่อประโยชน์ในการให้หรือรับบริการทางการแพทย์ รวมถึงการติดตามผลการให้บริการ และบริการภายหลังการขาย
     2) เพื่อการทำธุรกรรมทางการเงิน ทางบัญชี และภาษี
     3) การค้นคว้า หรือการวิจัย
     4) เพื่อประโยชน์ในการจัดทำฐานข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์และนำเสนอบริการหรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ ของบริษัทและบริษัทในกลุ่ม หรือบุคคลที่เป็นผู้จำหน่าย เป็นตัวแทน หรือมีความเกี่ยวข้องกับบริษัท
     5) เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงคุณภาพในการดำเนินงาน การให้บริการ และการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัท
     6) เพื่อการวิเคราะห์และติดตามการใช้บริการทางเว็บไซต์ และวัตถุประสงค์ในการตรวจสอบย้อนหลังในกรณีที่เกิดปัญหาการใช้งาน
     7) เพื่อการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของบริษัท
     8) เพื่อวัตถุประสงค์ในการควบคุมการเข้าถึง การป้องกันและระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของท่านหรือบุคคลอื่น การควบคุมและป้องกันโรคติดต่อ และเพื่อประโยชน์ในการดูแลรักษาความปลอดภัย ของบริเวณอาคาร ภายในอาคาร และพื้นที่ของบริษัท
     9) เพื่อการตลาดและการโฆษณาบริการ/ผลิตภัณฑ์ โดยบริษัทจะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่านก่อน
     10) เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎระเบียบที่ใช้บังคับกับบริษัท ทั้งในปัจจุบันและ ในอนาคต
             ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัท ดำเนินการเก็บรวบรวมเพื่อวัตถุประสงค์ข้างต้นเป็นข้อมูลที่จำเป็นในการปฏิบัติตามสัญญาหรือการปฏิบัติตามกฎหมายต่าง ๆ ที่ใช้บังคับ หากท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นดังกล่าว อาจเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย หรือบริษัท อาจไม่สามารถบริหารหรือจัดการสัญญา หรืออำนวยความสะดวกในการดำเนินการต่างๆ ให้กับท่านได้ ทั้งนี้หากภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท จะแจ้งให้ท่านทราบ และดำเนินการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงจัดให้มีบันทึกการแก้ไขเพิ่มเติมไว้เป็นหลักฐาน

3. การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล
          ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจากเจ้าของข้อมูลโดยตรง และการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท จะขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อนหรือขณะทำการเก็บรวบรวม หากกฎหมายกำหนดให้ต้องขอความยินยอม และจะดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลเท่าที่จำเป็นตามวัตถุประสงค์ที่บริษัท ระบุไว้โดยแจ้งชัด
           ทั้งนี้ บริษัท อาจรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับมาจากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่จากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลโดยตรงเช่น จากสื่อสาธารณะต่าง ๆ เฉพาะในกรณีที่มีความจำเป็นด้วยวิธีการตามที่กฎหมายกำหนด

4. แหล่งที่มาของข้อมูลส่วนบุคคล
          1) ข้อมูลส่วนบุคคลจากผู้สมัครงาน พนักงาน โดยตรงที่ได้รับการจ้างงาน เช่น ใบสมัคร ประวัติส่วนตัว
          2) ข้อมูลส่วนบุคคลจากคู่ค้า ลูกค้า ผู้รับจ้าง หรือผู้มาติดต่องาน เช่น ใบเสนอราคา ชื่อ เบอร์โทร อีเมล
          3) ข้อมูลส่วนบุคคลจากหน่วยงานภายนอก เช่น หน่วยงานของรัฐ โรงพยาบาล สถาบันการเงิน ตัวแทน นายหน้า และคนกลางอื่นๆ
5. ระยะเวลาในการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคล
          บริษัท จะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นระยะเวลาเท่าที่จำเป็นเพื่อวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม
ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งได้ระบุไว้ในคำประกาศฉบับนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่ใช้กำหนดระยะเวลาเก็บ ได้แก่ ระยะเวลาที่บริษัท ยังมีความสัมพันธ์กับท่านในฐานะลูกค้าของบริษัท และอาจเก็บต่อไปตามระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายหรือตามอายุความทางกฎหมาย เพื่อการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมายหรือการใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือการยกขึ้นต่อสู้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือเพื่อเหตุอื่นตามนโยบายและข้อกำหนดภายในของบริษัท
          ในกรณีที่ไม่สามารถระบุระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลได้ชัดเจน บริษัท จะเก็บรักษาข้อมูลไว้ตามระยะเวลาที่อาจคาดหมายได้ตามมาตรฐานของการเก็บรวบรวม (เช่น อายุความตามกฎหมายทั่วไปสูงสุด 10 ปี)

6. การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลไปยังหน่วยงานภายนอกและต่างประเทศ

บริษัทจะไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลไปให้บุคคลใดโดยปราศจากความยินยอมและจะเปิดเผยตามวัตถุประสงค์ที่ได้มีการแจ้งไว้ อย่างไรก็ดีเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของบริษัทและการให้บริการแก่เจ้าของข้อมูล บริษัทอาจมีความจำเป็นในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล ให้แก่บริษัทในเครือ หรือบุคคลอื่นทั้งในและต่างประเทศ เช่น ผู้ให้บริการต่าง ๆ ที่ต้องดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล โดยในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลให้แก่บุคคลดังกล่าว บริษัทจะดำเนินการให้บุคคลเหล่านั้นเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลไว้เป็นความลับ และไม่นำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากขอบเขตที่บริษัทได้กำหนดไว้

บริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้กับบุคคลต่อไปนี้
1) พันธมิตรทางธุรกิจ
2) ตัวแทน ผู้ให้บริการ หรือคู่ค้าที่ให้บริการแก่เรา หรือดำเนินการใดๆ ในฐานะตัวแทนของเรา เช่น ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น ทั้งในและต่างประเทศ
3) หน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย

บริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล ภายใต้หลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด เช่น การเปิดเผยข้อมูลต่อหน่วยงานราชการ หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล รวมถึงในกรณีที่มีการร้องขอให้เปิดเผยข้อมูลโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย เช่น การร้องขอข้อมูลเพื่อการฟ้องร้องหรือดำเนินคดีตามกฎหมาย หรือการร้องขอจากหน่วยงานเอกชน หรือบุคคลภายนอกอื่นๆที่มีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางกฎหมาย

การเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์/แอปพลิเคชันของบุคคลที่สาม

ในกรณีที่เว็บไซต์และแอปพลิเคชันของเราสามารถเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของบุคคลที่สามได้ เราขอแจ้งให้ท่านทราบว่า นโยบายนี้จะไม่ครอบคลุมไปถึงเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของของบุคคลที่สามดังกล่าว ดังนั้น การที่บุคคลที่สามเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยประการใดๆ จึงอยู่นอกเหนือการรับรู้และการควบคุมของเรา และเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและความรับผิดใดๆ จากการกระทำของบุคคลที่สามดังกล่าวนั้น

อนึ่ง ท่านควรตรวจสอบนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันนั้นก่อนการเข้าชมหรือใช้บริการใดๆ

7. มาตรการในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล
         บริษัท กำหนดให้มีมาตรการที่เหมาะสม และเข้มงวดในการรักษาความมั่นคงปลอดภัย ตามนโยบายและแนวปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัท เพื่อป้องกันการสูญหาย การเข้าถึง ทำลาย ใช้ แปลง แก้ไขหรือมิให้มีการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้โดยไม่มีสิทธิหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย

8. สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
         8.1 สิทธิในการเพิกถอนความยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้ให้ความยินยอมไว้ ทั้งนี้ การเพิกถอนความยินยอมย่อมไม่ส่งผลกระทบต่อการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้ให้ความยินยอมไว้แล้ว
         8.2 สิทธิในการเข้าถึงและขอทำสำเนาข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงการขอให้เปิดเผยการได้มาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่ได้ให้ความยินยอม
         8.3 สิทธิในการขอรับข้อมูลส่วนบุคคล กรณีได้ทำให้อยู่ในรูปแบบที่ใช้งานโดยทั่วไปด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติ
         8.4 สิทธิในการขอคัดค้านการเก็บรวมรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เว้นแต่กรณีที่บริษัทมีเหตุในการปฏิเสธคำขอโดยชอบด้วยกฎหมาย
         8.5 สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล โดยสามารถขอให้บริษัทแก้ไขข้อมูลเพื่อให้ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวให้ถูกต้อง ครบถ้วน และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด
         8.6 สิทธิในการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคล หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ตามที่กฎหมายกำหนด
         8.7 สิทธิในการระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลตามที่กฎหมายกำหนด
         8.8 สิทธิในการร้องเรียนการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล

         เจ้าของข้อมูลสามารถขอใช้สิทธิดังกล่าวข้างต้นได้ โดยยื่นคำร้องขอใช้สิทธิต่อบริษัทเป็นลายลักษณ์อักษรหรือผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ตามแบบฟอร์มที่บริษัทกำหนด ผ่าน “ช่องทางการติดต่อของบริษัท” ด้านล่าง โดยบริษัทจะพิจารณาและแจ้งผลการพิจารณาตามคำร้องฯ ของเจ้าของข้อมูล ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องฯ ดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทอาจปฏิเสธสิทธิของเจ้าของข้อมูลได้ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดไว้

9. การทบทวนและเปลี่ยนแปลงนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
          บริษัทอาจทำการปรับปรุงหรือแก้ไขนโยบายนี้เป็นครั้งคราวเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดตามกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานของบริษัท รวมถึงข้อเสนอแนะและความคิดเห็นจากหน่วยงานต่างๆ โดยบริษัทจะประกาศแจ้งการเปลี่ยนแปลงให้ทราบ
อย่างชัดเจน

นโยบายประกาศความเป็นส่วนตัว (Privacy Notice)
2.1 ประกาศความเป็นส่วนตัวสำหรับลูกค้า และผู้ที่เกี่ยวข้อง
1.วัตถุประสงค์

บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (“บริษัท”) ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า และผู้ที่เกี่ยวข้อง (ซึ่งรวมเรียกว่า “ท่าน”) และเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าเราจะให้ความคุ้มครองและปฏิบัติต่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน โดยสอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทจึงได้จัดทำนโยบายฉบับนี้ขึ้น เพื่อแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่านทราบรายละเอียดการดำเนินการกับข้อมูลส่วนบุคคลไม่ว่าจะเป็นการเก็บรวบรวม ใช้และเปิดเผย (รวมเรียกว่า “การประมวลผล”) ซึ่งอาจเกิดขึ้น ตลอดจนแจ้งให้ท่านทราบถึงสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน และช่องทางการติดต่อบริษัท

2.คำนิยามและศัพท์

2.1 บริษัท หมายถึง บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

     2.2 ลูกค้า หรือผู้ใช้บริการ หมายถึง บุคคลธรรมดาที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ที่ใช้บริการต่างๆ ของบริษัท
     2.3 ผู้ที่เกี่ยวข้อง หมายถึง บุคคลที่ผูกพันตนตามสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างกันผู้ติดตามลูกค้า
     2.4 ท่าน หมายถึง เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
3. วัตถุประสงค์การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล

 1 เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามขั้นตอนการปฏิบัติงานของบริษัทในเรื่อง การนำเสนอบริการ การเสนอราคา การขึ้นทะเบียนลูกค้า การประเมินลูกค้า รับ – ส่งข้อมูลระหว่างกัน การสำรวจความพึงพอใจ การติชม
ฐานทางกฎหมาย : เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย (Legitimate Interests)
   2 เพื่อประโยชน์ในการให้หรือรับบริการทางการแพทย์ รวมถึงการติดตามผลการให้บริการ และบริการภายหลังการขาย การวิเคราะห์ปัญหาสุขภาพและความสามารถในการเข้ารับบริการ เพื่อการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อการจัดทำสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างกัน
ฐานทางกฎหมาย : การปฏิบัติตามสัญญา (Contractual Basis) ความยินยอม (Consent)
   3 เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด การวิเคราะห์ การคัดสรรและนำเสนอบริการ สิทธิประโยชน์ รายการส่งเสริมการขาย เช่น โปรโมชั่น ส่วนลดพิเศษ หรือข้อเสนอต่างๆ ซึ่งบริษัทจัดส่งเอกสารเกี่ยวกับโปรโมชั่นต่างๆ ทางไปรษณีย์ อีเมล และด้วยวิธีการอื่นใด รวมถึงการดำเนินการด้านการตลาดแบบตรง เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลจะได้รับจากการเป็นลูกค้าของบริษัท ผ่านการแนะนำบริการที่เกี่ยวข้อง เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลสามารถเลือกที่จะไม่รับการสื่อสาร เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาดจากบริษัท ยกเว้นการติดต่อสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล และ/หรือบริการที่บริษัท ได้ให้แก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ใบเสร็จรับเงิน เป็นต้น
ฐานทางกฎหมาย : เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย (Legitimate Interests) ความยินยอม (Consent
   4 เพื่อการบริหารจัดการภายในของบริษัท การศึกษาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาและปรับปรุงการปฏิบัติงาน การให้บริการ ซึ่งรวมถึงการบริหารจัดการเว็บไซต์ การบำรุงรักษาระบบ การตรวจสอบและป้องกันการฉ้อโกง การประพฤติมิชอบ หรืออาชญากรรมอื่นๆ

ฐานทางกฎหมาย : การปฏิบัติตามกฎหมาย (Legal Obligations)
     5 เพื่อรักษาความปลอดภัยด้านต่างๆ เช่น จัดให้มีมาตรการรักษาความปลอดภัย ซึ่งรวมถึงความมั่นคงปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์ หรือสารสนเทศ เช่น การเข้าสถานที่ของบริษัท การเข้าสู่ระบบ (Log in) เข้ารหัสเพื่อใช้งานในระบบ
ฐานทางกฎหมาย :  เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย (Legitimate Interests)
     6 เพื่อการพิจารณาให้บริการ รวมถึงกระบวนการตรวจสอบยืนยันตัวตน ตรวจสอบอำนาจ การมอบอำนาจ และการรับมอบอำนาจ การพิจารณาความเสี่ยงในการเข้าทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อการทำสัญญา การปฏิบัติตามสัญญา การให้บริการ รวมไปถึงการติดต่อประสานงาน การเรียกเก็บค่าใช้จ่าย การจัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้อง
ฐานทางกฎหมาย :  การปฏิบัติตามสัญญา (Contractual Basis) ความยินยอม (Consent)
     7 เพื่อประโยชน์ในการประเมิน ปรับปรุงการให้บริการ และรายการส่งเสริมการขายต่างๆ ของบริษัท รวมถึงเพื่อสำรวจความพึงพอใจเกี่ยวกับบริการของบริษัท เพื่อให้เหมาะสมและตรงตามความต้องการของท่าน
ฐานทางกฎหมาย :  เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย (Legitimate Interests)
     8 เพื่อใช้เป็นข้อมูลและเอกสารประกอบการดำเนินงานใดๆ กับธนาคาร สถาบันการเงิน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และหน่วยงานภายนอกอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ฐานทางกฎหมาย : เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย (Legitimate Interests)
     9 เพื่อวัตถุประสงค์ในการยืนยันตัวตนของลูกค้า ก่อนการเข้าทำสัญญาตามนโยบายของบริษัท และตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ฐานทางกฎหมาย :  การปฏิบัติตามสัญญา (Contractual Basis)
     10 เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการให้บริการหลังการขายแก่ลูกค้า คู่ค้า รวมถึงการให้บริการติดตาม ประสานงาน แก้ไขปัญหาต่างๆ แก่ลูกค้า คู่ค้า หรือการส่งเสริมการขาย
ฐานทางกฎหมาย : เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย (Legitimate Interests)
      11 เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด การส่งเสริมการขาย โฆษณา เช่น การจัดส่งเอกสารเกี่ยวกับโปรโมชั่นต่างๆ ทางไปรษณีย์ อีเมล และด้วยวิธีการอื่นใด รวมถึงการดำเนินการด้านการตลาดแบบตรง เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลจะได้รับจากการเป็นลูกค้าของบริษัท ผ่านการแนะนำบริการที่เกี่ยวข้อง เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลสามารถเลือกที่จะไม่รับการสื่อสาร เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาดจากบริษัท ยกเว้นการติดต่อสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล และ/หรือบริการที่บริษัท ได้ให้แก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ใบเสร็จรับเงิน เป็นต้น
ฐานทางกฎหมาย : เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย (Legitimate Interests) ความยินยอม (Consent)

4. ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีการเก็บรวบรวม

     บริษัท ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ดังต่อไปนี้

     4.1 ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป

(1) ข้อมูลที่ใช้ระบุตัวตน เช่น ชื่อ นามสกุล เลขประจำตัวประชาชนหรือเลขหนังสือเดินทาง วันเดือนปี เกิด เพศ อายุ ลายมือชื่อ ภาพถ่าย เป็นต้น

(2) ข้อมูลติดต่อ (Contact Data) เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล ตำแหน่งที่อยู่ บัญชีการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ Line ID และ Line Ads เป็นต้น

(3) ข้อมูลทางการเงิน (Financial Data) เช่น หมายเลขบัญชีธนาคาร เป็นต้น

(4) ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ของบริษัท รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งาน Application ข้อมูลในการเข้าชมเว็บไซต์ เช่น บัตรสมาชิกอิเล็กทรอนิกส์ ประวัติการเข้าชมเว็บไซต์ ข้อมูลที่อยู่ IP (IP Address) เป็นต้น

     4.2 ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว

บริษัท ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ได้แก่ ภาพสแกนใบหน้า ภาพทรวงอก ภาพของลูกค้าที่ต้องการให้บริษัทให้บริการทางการแพทย์ ภาพแผลที่เกิดจากการรักษา หมู่โลหิต ศาสนา เพื่อการให้บริการของบริษัท ซึ่งบริษัทจะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่านโดยตรง ทั้งนี้ เว้นแต่กฎหมายจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

5. ระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล

5.1 บริษัทจะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ตามประเภทข้อมูลส่วนบุคคลแต่ละประเภท เว้นแต่กฎหมายจะอนุญาตให้มีระยะเวลาการเก็บรักษาที่นานขึ้น ในกรณีที่ไม่สามารถระบุระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลได้ชัดเจน บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลไว้ตามระยะเวลาที่อาจคาดหมายได้ตามมาตรฐานของการเก็บรวบรวม (เช่น อายุความตามกฎหมายทั่วไปสูงสุด 10 ปี)

5.2 บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาหรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาหรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น

5.3 กรณีที่บริษัทใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยขอความยินยอมจากท่าน บริษัทจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวจนกว่าท่านจะแจ้งขอยกเลิกความยินยอม และบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านเสร็จสิ้นแล้ว อย่างไรก็ดีบริษัทจะยังเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเท่าที่จำเป็นสำหรับบันทึกเป็นประวัติว่าท่านเคยยกเลิกความยินยอม เพื่อให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อคำขอของท่านในอนาคตได้

5.4 กรณีข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมโดยกล้องโทรทัศน์วงจรปิด บริษัทจะเก็บข้อมูล ดังนี้

(1) ในสถานการณ์ปกติ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอาจถูกเก็บไว้ไม่เกิน 30 วัน

(2) ในกรณีจำเป็น เช่น กรณีที่จำเป็นต้องใช้เป็นหลักฐานในการสืบสวน สอบสวน หรือการดำเนินคดี หรือกรณีที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลร้องขอ ข้อมูลส่วนบุคคลอาจถูกเก็บรักษาไว้เกินกว่า 30 วัน และบริษัทจะดำเนินการลบข้อมูลดังกล่าวอย่างปลอดภัยเมื่อเสร็จสิ้นวัตถุประสงค์นั้น

6. การเปิดเผยข้อมูล
     การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลต่อบุคคลภายนอก และ/หรือองค์กรภายนอก และ/หรือหน่วยงานภายนอก บริษัทต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เว้นแต่เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ของทางราชการ เมื่อได้รับความยินยอมดังกล่าวแล้ว โดยบริษัท จะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลให้แก่บุคคลภายนอก และ/หรือองค์กรภายนอก และ/หรือหน่วยงานภายนอก อาทิเช่น กรณีดังต่อไปนี้

6.1 บริษัทที่ให้บริการในการจัดเก็บข้อมูลและรวบรวมข้อมูล บริษัทรับพัฒนาระบบและบำรุงรักษาระบบในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของบริษัท

6.2 ผู้ให้บริการภายนอก เพื่อการพัฒนา ปรับปรุงบริการของบริษัท การวิเคราะห์ข้อมูล การประมวลผลข้อมูล การให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง การส่งอีเมล/SMS การพัฒนาเว็บไซต์ การสำรวจความพึงพอใจและการทำวิจัย การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า การบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน การกำกับดูแลกิจการ การจัดการข้อร้องเรียน และ/หรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่นใดที่จำเป็นต่อการให้บริการแก่ลูกค้า และผู้ค้ำประกัน เป็นต้น

6.3 หน่วยงานราชการ หรือองค์กรอื่นตามกฎหมาย เพื่อเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย คำสั่ง คำร้องขอ หรือเพื่อการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามกฎหมาย

6.4 สื่อ Social Media ซึ่งเป็นของบริษัท และ/หรือคู่ค้าของบริษัท และธุรกิจพันธมิตรของบริษัท

7. การส่งและ/หรือเปิดเผยข้อมูลไปต่างประเทศ
     บริษัท ไม่มีการโอนถ่าย และ/หรือส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตบริษัท มีความจำเป็นต้องมีการโอนถ่าย และ/หรือส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศ บริษัท จะกำหนดมาตรฐานในการทำข้อตกลง และ/หรือสัญญาร่วมธุรกิจกับหน่วยงาน องค์กร ที่จะได้รับข้อมูลส่วนบุคคลนั้นให้มีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นที่ยอมรับและสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลนั้นได้รับการคุ้มครองอย่างปลอดภัย โดย

7.1 การส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังต่างประเทศจะต้องเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และบริษัท จะต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบ

7.2 การประมวลผลในระบบคลาวด์ (Cloud) บริษัท จะพิจารณาองค์กรที่มีมาตรฐานความมั่นคงปลอดภัยในระดับสากล และจะจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบการเข้ารหัส หรือวิธีการอื่นๆ ที่ไม่สามารถระบุตัวตนของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ เป็นต้น

การเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์/แอปพลิเคชันของบุคคลที่สาม

ในกรณีที่เว็บไซต์และแอปพลิเคชันของเราสามารถเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของบุคคลที่สามได้ เราขอแจ้งให้ท่านทราบว่า นโยบายนี้จะไม่ครอบคลุมไปถึงเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของของบุคคลที่สามดังกล่าว ดังนั้น การที่บุคคลที่สามเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยประการใดๆ จึงอยู่นอกเหนือการรับรู้และการควบคุมของเรา และเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและความรับผิดใดๆ จากการกระทำของบุคคลที่สามดังกล่าวนั้น

อนึ่ง ท่านควรตรวจสอบนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันนั้นก่อนการเข้าชมหรือใช้บริการใดๆ

8. สิทธิในฐานะเจ้าของข้อมูล
     บริษัทเคารพสิทธิส่วนบุคคลของท่าน และเปิดโอกาสให้ท่านสามารถเลือกวิธีการควบคุม หรือวิธีการที่บริษัทใช้ติดต่อท่าน โดยบริษัทจะปฏิบัติตามที่ท่านได้ร้องขอ เพื่อช่วยให้เกิดความโปร่งใส และเพื่อคุณภาพของข้อมูล และความถูกต้องของข้อมูล ท่านมีสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโดยท่านสามารถส่งคำขอให้บริษัททราบเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางที่บริษัทกำหนดในการดำเนินการตามสิทธิ ดังต่อไปนี้

     8.1 สิทธิขอถอนความยินยอม

หากท่านได้ให้ความยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน (ไม่ว่าจะเป็นความยินยอมที่ท่านให้ไว้ก่อนวันที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลใช้บังคับหรือ หลังจากนั้น) ท่านมีสิทธิที่จะถอนความยินยอมเมื่อใดก็ได้ตลอดระยะเวลาที่ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอยู่กับบริษัททั้งนี้ บริษัทขอแจ้งให้ท่านทราบว่า การเพิกถอนความยินยอมไม่ส่งผลกระทบต่อการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมไว้แล้วโดยชอบ เว้นแต่มีข้อจำกัดสิทธินั้นโดยกฎหมาย หรือโดยสภาพ ไม่สามารถถอนความยินยอมได้ หรือมีสัญญาระหว่างท่านกับบริษัทที่ให้ประโยชน์แก่ท่านอยู่ หรืออาจส่งผลให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์บางส่วนหรือทั้งหมดตามที่ระบุไว้ในเอกสารฉบับนี้ได้

     8.2 สิทธิขอเข้าถึงข้อมูล

ท่านมีสิทธิขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท และขอให้บริษัททำสำเนาข้อมูลดังกล่าวให้แก่ท่าน รวมถึงขอให้บริษัทเปิดเผยว่าบริษัทได้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมาได้อย่างไร เว้นแต่กรณีที่บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่านตามกฎหมาย หรือคำสั่งของศาล หรือกรณีที่คำขอของท่านจะมีผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น

     8.3 สิทธิขอถ่ายโอนข้อมูล

ท่านมีสิทธิขอให้โอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในกรณีที่บริษัทได้จัดทำข้อมูลส่วนบุคคลนั้นอยู่ในรูปแบบให้สามารถอ่านหรือใช้งานได้ด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติ และสามารถใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ รวมทั้งมีสิทธิขอให้บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นเมื่อสามารถทำได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ และมีสิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยัง ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นโดยตรง เว้นแต่ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะเหตุทางเทคนิคทั้งนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านข้างต้นต้องเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัท หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทจำเป็นต้องประมวลผล เพื่อให้ท่านสามารถใช้บริการของบริษัทได้ตามความประสงค์ซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาอยู่กับบริษัท หรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนใช้บริการ หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอื่นตามที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายกำหนด

8.4 สิทธิขอคัดค้าน

ท่านมีสิทธิขอคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในเวลาใดก็ได้ หากประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านทำขึ้นเพื่อการดำเนินงานที่จำเป็นภายใต้ประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นโดยไม่เกินขอบเขตที่ท่านสามารถคาดหมายได้อย่างสมเหตุสมผล หรือเพื่อดำเนินการตามภารกิจเพื่อสาธารณประโยชน์ หรือเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือสถิติหากท่านยื่นคัดค้าน บริษัทจะยังคงดำเนินการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไปเฉพาะที่บริษัทสามารถแสดงเหตุผลตามกฎหมายได้ว่ามีความสำคัญยิ่งกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานของท่าน หรือเป็นไปเพื่อการยืนยันสิทธิตามกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมาย หรือการต่อสู้ในการฟ้องร้องตามกฎหมาย ตามแต่ละกรณี

     8.5 สิทธิขอให้ลบหรือทำลายข้อมูล

ท่านมีสิทธิขอลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนของท่านได้ หากท่านเชื่อว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกประมวลผลโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หรือเห็นว่าบริษัทหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องในประกาศฉบับนี้ หรือเมื่อบริษัทเห็นว่าสามารถปฏิบัติตามที่ท่านได้ใช้สิทธิขอถอนความยินยอมหรือใช้สิทธิขอคัดค้านตามที่แจ้งไว้ข้างต้นแล้ว

     8.6 สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูล

ท่านมีสิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลชั่วคราวในกรณีที่บริษัทอยู่ระหว่างตรวจสอบตามคำร้องขอใช้สิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล หรือขอคัดค้านของท่าน หรือกรณีอื่นใด ที่บริษัทหมดความจำเป็นและต้องลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องแต่ท่านขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลแทน

     8.7 สิทธิขอให้แก้ไขข้อมูล

ท่านมีสิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้งนี้ หากท่านประสงค์จะขอแก้ไขข้อมูลเกี่ยวกับภาพ บริษัทจะทำการแก้ไขเฉพาะรายการข้อมูลที่เกี่ยวกับภาพของท่านเพื่อให้ถูกต้อง ตามความจำเป็นของบริษัทที่ชอบด้วยกฎหมายและในกรณีที่การดำเนินการตามคำขอก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายบริษัทอาจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากท่าน

      8.8 สิทธิร้องเรียน

ท่านมีสิทธิร้องเรียนต่อบริษัทผ่าน เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: (Data Protection Officer) อีเมล : dpo@vincent.clinic หรือผู้มีอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากท่านเชื่อว่าการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เป็นการกระทำในลักษณะที่ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

9. วิธีการใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูล
     9.1 การร้องขอใด ๆ เพื่อการใช้สิทธิของท่านจะต้องกระทำเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งบริษัทได้จัดให้มีขึ้นในเว็บไซต์ของบริษัท หรือกรอกข้อมูลผ่าน แบบฟอร์มคำร้องขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject Request Form) ส่งมาที่อีเมล : dpo@vincent.clinic  หรือ ทางไปรษณีย์ตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในแบบฟอร์มดังกล่าว

ทั้งนี้ บริษัทจะใช้ความพยายามอย่างดีที่สุดที่จะดำเนินการภายในระยะเวลาที่สมเหตุสมผล และไม่เกินระยะเวลา 30 วัน นับแต่ได้รับคำร้อง อย่างไรก็ดี บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่าน ในกรณีที่มีข้อยกเว้นตามกฎหมาย หรือบริษัทจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาได้ หรือมีผลกระทบกับการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญา หรือเป็นการปฏิเสธตามคำสั่งศาล หรือหากบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านจะส่งผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น โดยบริษัทจะดำเนินการบันทึกการปฏิเสธคำร้องขอพร้อมด้วยเหตุผลไว้ ทั้งนี้ หากปรากฏอย่างชัดเจนว่าคำร้องขอของท่านเป็นคำร้องขอที่ไม่สมเหตุสมผล หรือคำร้องขอฟุ่มเฟือยบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินการตามที่ท่านร้องขอในอัตราที่บริษัทกำหนด

9.2 บริษัทจะพยายามอย่างเต็มที่ตามความสามารถของระบบงานที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกและดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน เว้นแต่จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า การดำเนินการตามคำร้องขอนั้นเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ใช้งานรายอื่น หรือเป็นการขัดต่อกฎหมาย หรือนโยบายความปลอดภัยของระบบ หรือกรณีที่เป็นการพ้นวิสัยในทางปฏิบัติตามคำร้องขอ เนื่องมาจากเหตุทางเทคนิค

9.3 ในบางสถานการณ์บริษัทอาจขอให้ท่านพิสูจน์ตัวตนของท่านก่อนการใช้สิทธิเพื่อความปลอดภัยของท่านเอง โดยบางครั้งอาจเกิดข้อจำกัดในการขอใช้สิทธิของท่านบางประการ ซึ่งบริษัทจะทำการชี้แจงให้ท่านทราบหากไม่สามารถปฏิบัติตามคำร้องขอใช้สิทธิของท่านได้

9.4 หากเป็นกรณีกิจกรรมที่บริษัททำการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามฐานการปฏิบัติตามสัญญา หรือฐานเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย หรือฐานการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย บริษัทมีสิทธิปฏิเสธการใช้สิทธิของท่านในกรณีที่ท่านใช้สิทธิโต้แย้ง หรือขอระงับการใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่าน และขอให้ดำเนินการลบ หรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่านได้ รวมถึงบริษัทอาจปฏิเสธที่จะดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน หากบริษัท มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บข้อมูลต่อไป เพื่อการกระทำการ ดังต่อไปนี้

(1) เพื่อทำรายการใด ๆ ตามวัตถุประสงค์ที่บริษัท เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น หรือดำเนินการตามสมควรภายในขอบเขตความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างบริษัทกับท่าน

(2) เพื่อใช้เป็นการภายในตามสมควรโดยสอดคล้องกับความคาดหมายของท่านที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบริษัท และสอดคล้องกับบริบทที่ท่านได้ให้ข้อมูลดังกล่าวไว้แต่แรก และเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ข้อบังคับ กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง

9.5 ในกรณีที่ท่านไม่ประสงค์ถูกบันทึกภาพ ท่านมีสิทธิที่จะขอรับและติดสัญลักษณ์ “ห้ามถ่ายภาพบุคคล” ตลอดการร่วมประชุม ทั้งนี้ บริษัทขอเรียนให้ทราบว่าด้วยลักษณะการจัดกิจกรรมอาจมีการถ่ายภาพบรรยากาศกิจกรรม ซึ่งแม้ท่านขอรับสัญลักษณ์ดังกล่าวแล้วก็ตาม ก็อาจปรากฎภาพของท่านเป็นส่วนประกอบของภาพได้ ดังนั้น บริษัทจึงแนะนำให้ท่านแจ้งต่อบริษัทเพื่อปฏิเสธขณะที่บริษัทกำลังบันทึกภาพ หรือหลีกเลี่ยงบริเวณที่บันทึกภาพ หรือไม่เข้าร่วมกิจกรรมขณะมีการบันทึกภาพ หรือภาพเคลื่อนไหว

9.6 บริษัทจำเป็นต้องแจ้งให้ทราบว่า การขอใช้สิทธิของท่านบางประการ อาจเกิดข้อจำกัด ในกรณีที่ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นข้อมูลที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อบริษัทในการปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมาย เพื่อการชำระเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นกู้ ตัวแทนของบุคคลดังกล่าว และการบริการจัดการทะเบียนผู้ถือหุ้น และข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่จำเป็นต่อบริษัทในการปฏิบัติตามสัญญา หรือข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิ และหน้าของผู้ออกหุ้น ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ หากท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นแก่บริษัท หรือใช้สิทธิ ขอให้ลบ ระงับการใช้ข้อมูล บริษัทอาจไม่สามารถบริการหรือจัดการสัญญาระหว่างท่านกับบริษัท รวมถึงสิทธิประโยชน์ที่ท่านอาจจะได้รับ

10. มาตรการการรักษาความปลอดภัย
      บริษัท กำหนดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการสูญหาย การเข้าถึง การใช้ การเปลี่ยนแปลง การแก้ไข หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่มีอำนาจหรือโดยขัดต่อกฎหมาย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศของบริษัท (Information Security Policy) และนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Policy)

11. การแก้ไขเปลี่ยนแปลง
     บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไข ทบทวน และปรับปรุงประกาศความเป็นส่วนตัวที่จะมีผลบังคับใช้ ณ เวลาที่ได้เผยแพร่ต่อไปโดยมิต้องแจ้งให้ท่านทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ เพื่อความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการให้บริการ ดังนั้น บริษัทจึงขอแนะนำให้ท่านอ่านประกาศความเป็นส่วนตัวทุกครั้งที่เยี่ยมชม หรือใช้บริการจากบริษัท หรือเว็บไซต์ของบริษัท ที่ https://vincent.clinic/th 

2.2 ประกาศความเป็นส่วนตัว สำหรับผู้ถือหุ้น และกรรมการ (Privacy Notice – Shareholders and directors)
1. วัตถุประสงค์

บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (“บริษัท”) เคารพและให้ความสำคัญในสิทธิความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในฐานะผู้ถือหุ้น กรรมการ และตัวแทนของบุคคลดังกล่าว (“ท่าน”) ที่บริษัท ในฐานะผู้จัดการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีทั้งในรูปแบบออนไลน์ และออฟไลน์ และกิจกรรมอื่นใดที่เกี่ยวข้อง กับ (“กิจกรรม”) และมีความรับผิดชอบในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ที่อยู่ภายใต้ความดูแลของบริษัท และมุ่งมั่นที่จะจัดการข้อมูลดังกล่าวด้วยวิธีการที่มั่นคงปลอดภัยและน่าเชื่อถือ ในการนี้ บริษัทจึงได้จัดทำประกาศความเป็นส่วนตัว (Privacy Notice) เพื่ออธิบายถึงวิธีการปฏิบัติต่อข้อมูลส่วนบุคคล และข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว และชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ การเปิดเผย และวัตถุประสงค์ที่บริษัทได้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลพร้อมแจ้งสิทธิต่าง ๆ ของท่าน ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

2. คำนิยามและศัพท์
     2.1 บริษัท หมายถึง บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

2.2 ท่าน หมายถึง เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

2.3 ประมวลผล หมายถึง การเก็บรวบรวม ใช้ และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

3. วิธีที่บริษัทเก็บรวบรวมและรับข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทเก็บรวบรวมและรับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้

3.1 ข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้ไว้กับบริษัทโดยตรงท่านอาจให้ข้อมูลส่วนบุคคลแก่บริษัทโดยตรง เช่น การส่งมอบเอกสารแสดงตนต่างๆ ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลของท่านปรากฏอยู่มาให้กับบริษัท เป็นต้น

3.2 ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมจากท่านอัตโนมัติ บริษัทอาจเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยอัตโนมัติผ่านทางช่องทางต่างๆ เช่น การใช้คุกกี้ (Cookies) หรือเทคโนโลยีอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน รายละเอียดเพิ่มเติมโปรดดู นโยบายคุกกี้

3.3 ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาจากบุคคลภายนอก บริษัทอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากบุคคลภายนอก เช่น บุคคลในครอบครัว เป็นต้น

ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ท่านจะได้รับการแจ้งถึงรายละเอียดต่างๆ ตามที่ระบุในประกาศฯ ฉบับนี้ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะวัตถุประสงค์และฐานทางกฎหมายในการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย และ/หรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล หรือหากกรณีที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดให้การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลใดต้องได้รับความยินยอมจากท่าน บริษัทจะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่าน

ในกรณีที่บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ก่อนวันที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลมีผลใช้บังคับ บริษัทจะเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไปตามวัตถุประสงค์เดิมที่บริษัทได้แจ้งไว้แก่ท่านในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งท่านมีสิทธิยกเลิกความยินยอม โดยติดต่อมายังบริษัท ตามรายละเอียดการติดต่อที่ระบุในข้อ 13. ของประกาศฯ ฉบับนี้ ทั้งนี้ บริษัทขอสงวนสิทธิในการพิจารณาคำขอยกเลิกความยินยอมของท่านและดำเนินการตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

4. ข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกเก็บรวบรวม
      บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลของท่านโดยการขอข้อมูลจากท่านโดยตรง ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบเอกสาร หรือข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยอาจให้ท่านกรอกข้อมูลลงในเอกสารที่บริษัทจัดเตรียมไว้ หรือกรอกข้อมูลลงในแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ทางบริษัทได้กำหนด และ/หรือวิธีอื่นใด อย่างไรก็ตาม ด้วยลักษณะของกิจกรรม บริษัทจำเป็นต้องประมวลผลข้อมูลของท่านบางประการ ซึ่งอาจเป็นข้อมูลที่บริษัทได้รับจากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่จากท่านโดยตรง เช่น การจัดเก็บข้อมูลผู้ถือหุ้นจากนายทะเบียนหลักทรัพย์ หรือข้อมูลบัญชีธนาคารซึ่งท่านกำหนดให้เป็นบัญชีรับชำระเงินปันผล ทั้งนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทจัดเก็บจากท่านอาจแตกต่างกันแล้วแต่กรณี และลักษณะของกิจกรรมที่บริษัทจำเป็นต้องประมวลผลข้อมูลของท่าน

     4.1 ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป

4.1.1 ข้อมูลที่ใช้ระบุตัวตน (Identity Data) เช่น ชื่อ-นามสกุล เลขประจำตัวประชาชน หมายเลขหนังสือเดินทาง วัน เดือน ปีเกิด อายุ ลายมือชื่อ ข้อมูลการเปลี่ยนชื่อ นามสกุล เป็นต้น

4.1.2 ข้อมูลติดต่อ (Contact Data) เช่น ที่อยู่ เบอร์โทร ที่อยู่อีเมล เป็นต้น

4.1.3 ข้อมูลทางการเงิน (Financial Data) เช่น หมายเลขบัญชีธนาคาร จำนวนหุ้น หุ้นกู้ เป็นต้น

4.1.4 ข้อมูลการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นโดยบริษัท และ/หรือข้อมูลการติดต่อกับ บริษัท (Communication Data) เช่น บันทึกภาพนิ่ง หรือภาพเคลื่อนไหวหรือทั้ง ภาพ และ/หรือเสียงเมื่อท่านได้ติดต่อเข้าร่วมการประชุมประจำปี หรือเข้าร่วมกิจกรรมอื่นใดกับบริษัท

4.1.5 ข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น บัญชีผู้ใช้แอปพลิเคชัน ไลน์ไอดี เป็นต้น

4.1.6 ข้อมูลที่เกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ คำแนะนำต่าง ๆ ตลอดเวลาที่ท่านเข้าร่วมกิจกรรม

4.1.7 ข้อมูลส่วนบุคคลอื่นๆ เช่น อาชีพ ประวัติการทำงาน เป็นต้น

     4.2 ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว

4.2.1 บริษัทไม่มีความประสงค์จะจัดเก็บ รวบรวม ใช้ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งจัดเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวของท่าน เช่น เชื้อชาติ หรือข้อมูลศาสนา ถึงแม้ว่าข้อมูลดังกล่าวจะปรากฏอยู่บนบัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน หรือเอกสารอื่นใดที่ท่านได้สมัครใจเปิดเผยไว้ต่อบริษัทก็ตาม ทั้งนี้ หากท่านได้ทำการส่งมอบข้อมูลใด ๆ ซึ่งปรากฏข้อมูลที่มีลักษณะเช่นว่านี้ให้แก่บริษัทไม่ว่าจะเป็นการส่งมอบข้อมูลในลักษณะเป็นเอกสาร หรือสื่ออื่นใด ท่านจะต้องปกปิดข้อมูลอ่อนไหวเหล่านี้ ด้วยตัวท่านเอง หากท่านมิได้ปกปิดข้อมูลด้วยตัวท่านเอง บริษัทถือว่าท่านได้อนุญาตโดยชัดแจ้งให้บริษัททำการปกปิดข้อมูลเหล่านี้ให้แก่ท่าน และให้ถือว่าข้อมูลที่ท่านส่งมอบมานี้ซึ่งบริษัทได้จัดการปกปิดข้อมูลอ่อนไหวให้แก่ท่านแล้วเป็นเอกสารที่สมบูรณ์ ใช้บังคับได้ตามกฎหมายทุกประการ และให้บริษัทสามารถนำไปประมวลผลได้ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ทั้งนี้ หากเป็นกรณีที่บริษัทไม่สามารถจัดการปกปิดข้อมูลอ่อนไหวแก่ท่านได้ เนื่องด้วยปัญหาเชิงเทคนิค หรือปัญหาอื่นใด บริษัทจะทำการจัดเก็บข้อมูลอ่อนไหวนี้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเอกสารยืนยันตัวตนของท่านเท่านั้น

4.2.2 กิจกรรมที่ท่านได้เข้าร่วมแล้วหรือจะได้เข้าร่วมในอนาคต ซึ่งอาจมีการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวเพิ่มเติม เช่น ข้อมูลสุขภาพของท่าน ทั้งนี้ การจัดเก็บข้อมูลดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ เพื่อการให้บริการและอำนวยความสะดวกอย่างดีที่สุดแก่ท่านเท่านั้น และในการจัดเก็บข้อมูลอ่อนไหวนี้ บริษัทจะได้ทำการขอความยินยอมของท่านไว้โดยชัดแจ้ง โดยทำเป็นเอกสารขอความยินยอมก่อนการจัดเก็บข้อมูลอ่อนไหวเหล่านั้นเสมอ

4.3 บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของกรรมการ และผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการ

โดยจะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลจากท่านโดยตรง รวมทั้งจากหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานที่กำกับดูแล ข้อมูลที่มีการเปิดเผยสู่สาธารณะ ดังนี้

4.3.1 ในกระบวนการสรรหา บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจากบัตรประจำตัวประชาชน และ/หรือเอกสารอื่นใดที่สามารถใช้ในการยืนยันตัวตนได้ หรือเอกสารที่ทางราชการออกให้ เช่น ชื่อนามสกุล หมายเลขประจำตัวประชาชน หมายเลขหนังสือเดินทาง รูปถ่าย วันเดือนปีเกิด สัญชาติ สถานที่เกิด ส่วนสูง

4.3.2 บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการเพิ่มเติม เช่น การถือครอง ซื้อ ขาย หลักทรัพย์ของบริษัท การจ่ายค่าตอบแทนกรรมการ การจัดอบรม การจัดกิจกรรม สถานะการสมรส ข้อมูลเกี่ยวกับคู่สมรส ผู้ที่อยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา บุตร บิดามารดา พี่น้อง หมายเลขบัญชีธนาคาร อีเมล ประวัติการศึกษา อาชีพ ประวัติการทำงาน การเป็นกรรมการ หรือมีตำแหน่งในบริษัทหรือกิจการอื่น ๆ การเข้าประชุมคณะกรรมการบริษัท หรือคณะกรรมการชุดย่อย หรือผู้ถือหุ้น ชื่อบริษัทหลักทรัพย์ ผลการปฏิบัติงานของกรรมการ และข้อมูลอื่นตามที่กฎหมาย หรือหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีกำหนด

4.4 กรณีที่เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล เมื่อท่านได้จองซื้อ เป็นผู้ถือหุ้น หรือเป็นผู้ถือหุ้นกู้ บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจากท่านโดยตรง รวมทั้งอาจมีการเก็บรวบรวมข้อมูลของท่านผ่านทางนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Broker) หรือนายทะเบียนหลักทรัพย์ด้วย เช่น ช่องทางการติดต่อ สัญชาติ เลขประจำตัวผู้เสียภาษี เลขประจำตัวประชาชน จำนวนหุ้น เป็นต้น

6. ระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล

6.1 บริษัทจะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ตามประเภทข้อมูลส่วนบุคคลแต่ละประเภท เว้นแต่กฎหมายจะอนุญาตให้มีระยะเวลาการเก็บรักษาที่นานขึ้น ในกรณีที่ไม่สามารถระบุระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลได้ชัดเจน บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลไว้ตามระยะเวลาที่อาจคาดหมายได้ตามมาตรฐานของการเก็บรวบรวม (เช่น อายุความตามกฎหมายทั่วไปสูงสุด 10 ปี)

6.2 บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษา หรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาหรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น

6.3 กรณีที่บริษัทใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยขอความยินยอมจากท่าน บริษัทจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวจนกว่าท่านจะแจ้งขอยกเลิกความยินยอม และบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านเสร็จสิ้นแล้ว อย่างไรก็ดีบริษัทจะยังเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเท่าที่จำเป็นสำหรับบันทึกเป็นประวัติว่าท่านเคยยกเลิกความยินยอม เพื่อให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อคำขอของท่านในอนาคตได้

6.4 กรณีข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมโดยกล้องโทรทัศน์วงจรปิด บริษัทจะเก็บข้อมูล ดังนี้

(1) ในสถานการณ์ปกติ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอาจถูกเก็บไว้ไม่เกิน 30 วัน

(2) ในกรณีจำเป็น เช่น กรณีที่จำเป็นต้องใช้เป็นหลักฐานในการสืบสวน สอบสวน หรือการดำเนินคดี หรือกรณีที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลร้องขอ ข้อมูลส่วนบุคคลอาจถูกเก็บรักษาไว้เกินกว่า 30 วัน และบริษัทจะดำเนินการลบข้อมูลดังกล่าวอย่างปลอดภัยเมื่อเสร็จสิ้นวัตถุประสงค์นั้น

7. การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
      บริษัท จะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามวัตถุประสงค์ที่ท่านให้ไว้กับบริษัทเท่านั้น ทั้งนี้บริษัทจะกำหนดให้ผู้ที่ได้รับข้อมูลมีมาตรการปกป้องข้อมูลของท่านอย่างเหมาะสม และประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยปราศจากอำนาจโดยมิชอบ ซึ่งบริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อบุคคล หรือองค์กร ดังต่อไปนี้

7.1 นายทะเบียนผู้ถือหุ้น นายทะเบียนหลักทรัพย์

7.2 หน่วยงานราชการ หน่วยงานในกำกับดูแล หรือหน่วยงานอื่นตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงเจ้าพนักงานซึ่งใช้อำนาจตามกฎหมาย เช่น ศาล ตำรวจ สำนักคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กรมสรรพากร

7.3 ผู้ให้บริการและผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัท มอบหมายหรือว่าจ้างให้ทำหน้าที่บริหารจัดการหรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลให้แก่บริษัท ในการให้บริการต่าง ๆ รวมถึง ผู้ที่ทำหน้าที่ในนามบริษัท หรือร่วมกับบริษัท เช่น การให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ช่างภาพ ผู้รับจ้างที่บริษัทได้ว่าจ้างให้ดำเนินการจัดงาน และจัดกิจกรรม ต่าง ๆ หรือบริการอื่นใดที่อาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน ซึ่งมีความจำเป็นอย่างสมเหตุสมผลที่ต้องได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อทำให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ระบุในเอกสารฉบับนี้

7.4 ธนาคารในกรณีมีหน้าที่จ่ายเงินให้ท่าน หรือบริษัทประกันในกรณีมีการเดินทางสำหรับท่านที่เข้าร่วมกิจกรรม

8. การส่งและ/หรือเปิดเผยข้อมูลไปต่างประเทศ
     บริษัท ไม่มีการโอนถ่าย และ/หรือส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตบริษัท มีความจำเป็นต้องมีการโอนถ่าย และ/หรือส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศ บริษัทจะกำหนดมาตรฐานในการทำข้อตกลง และ/หรือสัญญาร่วมธุรกิจกับหน่วยงาน องค์กร ที่จะได้รับข้อมูลส่วนบุคคลนั้นให้มีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นที่ยอมรับและสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลนั้นจะได้รับการคุ้มครองอย่างปลอดภัย โดย

8.1การส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังต่างประเทศจะต้องเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และบริษัท จะต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบ

8.2การประมวลผลในระบบคลาวด์ (Cloud) บริษัทจะพิจารณาองค์กรที่มีมาตรฐานความมั่นคงปลอดภัยในระดับสากล และจะจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบการเข้ารหัส หรือวิธีการอื่นๆ ที่ไม่สามารถระบุตัวตนของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ เป็นต้น

9. สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
     บริษัทเคารพสิทธิส่วนบุคคลของท่าน และเปิดโอกาสให้ท่านสามารถเลือกวิธีการควบคุม หรือวิธีการที่บริษัทใช้ติดต่อท่าน โดยบริษัทจะปฏิบัติตามที่ท่านได้ร้องขอ เพื่อช่วยให้เกิดความโปร่งใส และเพื่อคุณภาพของข้อมูล และความถูกต้องของข้อมูล ท่านมีสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโดยท่านสามารถส่งคำขอให้บริษัททราบเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางที่บริษัทกำหนดในการดำเนินการตามสิทธิ ดังต่อไปนี้

9.1 สิทธิขอถอนความยินยอม หากท่านได้ให้ความยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน (ไม่ว่าจะเป็นความยินยอมที่ท่านให้ไว้ก่อนวันที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลใช้บังคับหรือ หลังจากนั้น) ท่านมีสิทธิที่จะถอนความยินยอมเมื่อใดก็ได้ตลอดระยะเวลาที่ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอยู่กับบริษัททั้งนี้ บริษัทขอแจ้งให้ท่านทราบว่า การเพิกถอนความยินยอมไม่ส่งผลกระทบต่อการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมไว้แล้วโดยชอบ เว้นแต่มีข้อจำกัดสิทธินั้นโดยกฎหมาย หรือโดยสภาพ ไม่สามารถถอนความยินยอมได้ หรือมีสัญญาระหว่างท่านกับบริษัทที่ให้ประโยชน์แก่ท่านอยู่ หรืออาจส่งผลให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์บางส่วนหรือทั้งหมดตามที่ระบุไว้ในเอกสารฉบับนี้ได้

9.2 สิทธิขอเข้าถึงข้อมูล ท่านมีสิทธิขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท และขอให้บริษัททำสำเนาข้อมูลดังกล่าวให้แก่ท่าน รวมถึงขอให้บริษัทเปิดเผยว่าบริษัทได้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมาได้อย่างไร เว้นแต่กรณีที่บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่านตามกฎหมาย หรือคำสั่งของศาล หรือกรณีที่คำขอของท่านจะมีผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น

9.3 สิทธิขอถ่ายโอนข้อมูล  ท่านมีสิทธิขอให้โอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในกรณีที่บริษัทได้จัดทำข้อมูลส่วนบุคคลนั้นอยู่ในรูปแบบให้สามารถอ่านหรือใช้งานได้ด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติ และสามารถใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ รวมทั้งมีสิทธิขอให้บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นเมื่อสามารถทำได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ และมีสิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยัง ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นโดยตรง เว้นแต่ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะเหตุทางเทคนิคทั้งนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านข้างต้นต้องเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัท หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทจำเป็นต้องประมวลผล เพื่อให้ท่านสามารถใช้บริการของบริษัทได้ตามความประสงค์ซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาอยู่กับบริษัท หรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนใช้บริการ หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอื่นตามที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายกำหนด

9.4 สิทธิขอคัดค้าน ท่านมีสิทธิขอคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในเวลาใดก็ได้ หากประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านทำขึ้นเพื่อการดำเนินงานที่จำเป็นภายใต้ประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นโดยไม่เกินขอบเขตที่ท่านสามารถคาดหมายได้อย่างสมเหตุสมผล หรือเพื่อดำเนินการตามภารกิจเพื่อสาธารณประโยชน์ หรือเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือสถิติหากท่านยื่นคัดค้าน บริษัทจะยังคงดำเนินการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไปเฉพาะที่บริษัทสามารถแสดงเหตุผลตามกฎหมายได้ว่ามีความสำคัญยิ่งกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานของท่าน หรือเป็นไปเพื่อการยืนยันสิทธิตามกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมาย หรือการต่อสู้ในการฟ้องร้องตามกฎหมาย ตามแต่ละกรณี

9.5 สิทธิขอให้ลบหรือทำลายข้อมูล ท่านมีสิทธิขอลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนของท่านได้ หากท่านเชื่อว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกประมวลผลโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หรือเห็นว่าบริษัทหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องในประกาศฉบับนี้ หรือเมื่อบริษัทเห็นว่าสามารถปฏิบัติตามที่ท่านได้ใช้สิทธิขอถอนความยินยอมหรือใช้สิทธิขอคัดค้านตามที่แจ้งไว้ข้างต้นแล้ว

9.6 สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูล ท่านมีสิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลชั่วคราวในกรณีที่บริษัทอยู่ระหว่างตรวจสอบตามคำร้องขอใช้สิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล หรือขอคัดค้านของท่าน หรือกรณีอื่นใด ที่บริษัทหมดความจำเป็นและต้องลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องแต่ท่านขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลแทน

 9.7 สิทธิขอให้แก้ไขข้อมูล ท่านมีสิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้งนี้ หากท่านประสงค์จะขอแก้ไขข้อมูลเกี่ยวกับภาพ บริษัทจะทำการแก้ไขเฉพาะรายการข้อมูลที่เกี่ยวกับภาพของท่านเพื่อให้ถูกต้อง ตามความจำเป็นของบริษัทที่ชอบด้วยกฎหมายและในกรณีที่การดำเนินการตามคำขอก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายบริษัทอาจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากท่าน

9.8 สิทธิร้องเรียน ท่านมีสิทธิร้องเรียนต่อบริษัทผ่าน เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: (Data Protection Officer) อีเมล :  dpo@vincent.clinic  หรือผู้มีอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากท่านเชื่อว่าการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เป็นการกระทำในลักษณะที่ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

10. วิธีการใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูล

10.1 การร้องขอใด ๆ เพื่อการใช้สิทธิของท่านจะต้องกระทำเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งบริษัทได้จัดให้มีขึ้นในเว็บไซต์ของบริษัท หรือกรอกข้อมูลผ่าน แบบฟอร์มคำร้องขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject Request Form) ส่งมาที่อีเมล : dpo@vincent.clinic  หรือ ทางไปรษณีย์ตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในแบบฟอร์มดังกล่าว

ทั้งนี้ บริษัทจะใช้ความพยายามอย่างดีที่สุดที่จะดำเนินการภายในระยะเวลาที่สมเหตุสมผล และไม่เกินระยะเวลา 30 วัน นับแต่ได้รับคำร้อง อย่างไรก็ดี บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่าน ในกรณีที่มีข้อยกเว้นตามกฎหมาย หรือบริษัทจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาได้ หรือมีผลกระทบกับการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญา หรือเป็นการปฏิเสธตามคำสั่งศาล หรือหากบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านจะส่งผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น โดยบริษัทจะดำเนินการบันทึกการปฏิเสธคำร้องขอพร้อมด้วยเหตุผลไว้ ทั้งนี้ หากปรากฏอย่างชัดเจนว่าคำร้องขอของท่านเป็นคำร้องขอที่ไม่สมเหตุสมผล หรือคำร้องขอฟุ่มเฟือยบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินการตามที่ท่านร้องขอในอัตราที่บริษัทกำหนด

10.2 บริษัทจะพยายามอย่างเต็มที่ตามความสามารถของระบบงานที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกและดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน เว้นแต่จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า การดำเนินการตามคำร้องขอนั้นเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ใช้งานรายอื่น หรือเป็นการขัดต่อกฎหมาย หรือนโยบายความปลอดภัยของระบบ หรือกรณีที่เป็นการพ้นวิสัยในทางปฏิบัติตามคำร้องขอ เนื่องมาจากเหตุทางเทคนิค

10.3 ในบางสถานการณ์บริษัทอาจขอให้ท่านพิสูจน์ตัวตนของท่านก่อนการใช้สิทธิเพื่อความปลอดภัยของท่านเอง โดยบางครั้งอาจเกิดข้อจำกัดในการขอใช้สิทธิของท่านบางประการ ซึ่งบริษัทจะทำการชี้แจงให้ท่านทราบหากไม่สามารถปฏิบัติตามคำร้องขอใช้สิทธิของท่านได้

10.4 หากเป็นกรณีกิจกรรมที่บริษัททำการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามฐานการปฏิบัติตามสัญญา หรือฐานเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย หรือฐานการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย บริษัทมีสิทธิปฏิเสธการใช้สิทธิของท่านในกรณีที่ท่านใช้สิทธิโต้แย้ง หรือขอระงับการใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่าน และขอให้ดำเนินการลบ หรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่านได้ รวมถึงบริษัทอาจปฏิเสธที่จะดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน หากบริษัท มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บข้อมูลต่อไป เพื่อการกระทำการ ดังต่อไปนี้

(1) เพื่อทำรายการใด ๆ ตามวัตถุประสงค์ที่บริษัท เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น หรือดำเนินการตามสมควรภายในขอบเขตความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างบริษัทกับท่าน

(2) เพื่อใช้เป็นการภายในตามสมควรโดยสอดคล้องกับความคาดหมายของท่านที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบริษัท และสอดคล้องกับบริบทที่ท่านได้ให้ข้อมูลดังกล่าวไว้แต่แรก และเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ข้อบังคับ กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง

10.5 ในกรณีที่ท่านไม่ประสงค์ถูกบันทึกภาพ ท่านมีสิทธิที่จะขอรับและติดสัญลักษณ์ “ห้ามถ่ายภาพบุคคล” ตลอดการร่วมประชุม ทั้งนี้ บริษัทขอเรียนให้ทราบว่าด้วยลักษณะการจัดกิจกรรมอาจมีการถ่ายภาพบรรยากาศกิจกรรม ซึ่งแม้ท่านขอรับสัญลักษณ์ดังกล่าวแล้วก็ตาม ก็อาจปรากฎภาพของท่านเป็นส่วนประกอบของภาพได้ ดังนั้น บริษัทจึงแนะนำให้ท่านแจ้งต่อบริษัทเพื่อปฏิเสธขณะที่บริษัทกำลังบันทึกภาพ หรือหลีกเลี่ยงบริเวณที่บันทึกภาพ หรือไม่เข้าร่วมกิจกรรมขณะมีการบันทึกภาพ หรือภาพเคลื่อนไหว

10.6 บริษัทจำเป็นต้องแจ้งให้ทราบว่า การขอใช้สิทธิของท่านบางประการ อาจเกิดข้อจำกัด ในกรณีที่ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นข้อมูลที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อบริษัทในการปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมาย เพื่อการชำระเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นกู้ ตัวแทนของบุคคลดังกล่าว และการบริการจัดการทะเบียนผู้ถือหุ้น และข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่จำเป็นต่อบริษัทในการปฏิบัติตามสัญญา หรือข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิ และหน้าของผู้ออกหุ้น ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ หากท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นแก่บริษัท หรือใช้สิทธิ ขอให้ลบ ระงับการใช้ข้อมูล บริษัทอาจไม่สามารถบริการหรือจัดการสัญญาระหว่างท่านกับบริษัท รวมถึงสิทธิประโยชน์ที่ท่านอาจจะได้รับ

11. มาตรการการรักษาความปลอดภัย
     บริษัท กำหนดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการสูญหาย การเข้าถึง การใช้ การเปลี่ยนแปลง การแก้ไข หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่มีอำนาจหรือโดยขัดต่อกฎหมาย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศของบริษัท (Information Security Policy) และนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Policy)

12. การแก้ไขเปลี่ยนแปลง

บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไข ทบทวน และปรับปรุงประกาศความเป็นส่วนตัวที่จะมีผลบังคับใช้ ณ เวลาที่ได้เผยแพร่ต่อไปโดยมิต้องแจ้งให้ท่านทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ เพื่อความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการให้บริการ ดังนั้น บริษัทจึงขอแนะนำให้ท่านอ่านประกาศความเป็นส่วนตัวทุกครั้งที่เยี่ยมชม หรือใช้บริการจากบริษัท หรือเว็บไซต์ของบริษัท ที่ https://vincent.clinic/th 

2.3 ประกาศความเป็นส่วนตัวของบุคลากร และผู้เกี่ยวข้อง (Privacy Notice)
1. บทนำ

บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (“บริษัท”) ได้จัดทำประกาศความเป็นส่วนตัวของบุคลากร และผู้เกี่ยวข้อง (ซึ่งรวมเรียกว่า “ท่าน”) ฉบับนี้ขึ้น เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง และให้หมายความรวมถึงกฎหมายฉบับแก้ไขเพิ่มเติมใดๆ ในอนาคต (“กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล”)

เพื่ออธิบายให้ท่านทราบถึงวัตถุประสงค์และวิธีการที่บริษัทปฏิบัติต่อข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนของท่าน หรืออาจระบุตัวตนของท่านได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น วิธีการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย หรือการดำเนินการใด ๆ กับข้อมูลส่วนบุคคล อาทิ การบันทึก การจัดระบบ การจัดเก็บ การเปลี่ยนแปลงหรือการดัดแปลง การเรียกคืน การส่ง โอน การเผยแพร่ หรือการทำให้สามารถเข้าถึงหรือพร้อมใช้งานโดยวิธีใดๆ การจัดเรียง การนำมารวมกัน การจำกัดหรือการห้ามเข้าถึง การลบหรือการทำลาย (“ประมวลผล”) และเพื่อแจ้งให้ท่านทราบถึงวัตถุประสงค์ ระยะเวลาในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล ตลอดจนสิทธิของท่านในฐานะเจ้าขงข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ บริษัทขอให้ท่านอ่านและทำความเข้าใจถึงข้อกำหนดต่าง ๆ ภายใต้ประกาศฯ ฉบับนี้ โดยมีรายละเอียดดังนี้

2. กลุ่มหรือประเภทของบุคคลที่บริษัททำการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล
     ภายใต้ประกาศฯ ฉบับนี้ กลุ่มหรือประเภทของบุคคลที่บริษัททำการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลประกอบด้วย

2.1 บริษัท หมายถึง บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

2.2 บุคลากร หมายถึง บุคคลซึ่งทำงานหรือปฏิบัติหน้าที่ใด ๆ ให้กับบริษัท และได้ค่าจ้าง สวัสดิการ หรือ ค่าตอบแทนอื่นจากบริษัท เพื่อตอบแทนการทำงาน เช่น กรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน ผู้ฝึกงาน หรือบุคคลอื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่ไม่รวมถึงผู้รับจ้างหรือผู้ให้บริการซึ่งเป็นคู่ค้าของบริษัท

2.3 ผู้ที่เกี่ยวข้อง หมายถึง บุคคลที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรของบริษัท รวมถึงผู้ที่มีข้อมูลส่วนบุคคลปรากฏในเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการที่เกี่ยวข้อง เช่น บุคคลในครอบครัว (เช่น บิดา มารดา คู่สมรส และบุตร เป็นต้น) บุคคลที่สามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน บุคคลอ้างอิง (Reference Person) และผู้รับผลประโยชน์ เป็นต้น

2.4 ท่าน หมายถึง เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

3. วิธีที่บริษัทเก็บรวบรวมและรับข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทเก็บรวบรวมและรับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้

3.1 ข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้ไว้กับบริษัทโดยตรง ท่านอาจให้ข้อมูลส่วนบุคคลแก่บริษัทโดยตรง เช่น เมื่อท่านยื่นใบสมัครงานและเอกสารประกอบการสมัครงานให้แก่บริษัท ไม่ว่าโดยการ walk-in การสมัครงานผ่านเว็บไซต์ของบริษัท การสมัครทางอีเมล หรือตามช่องทางอื่นๆ ที่บริษัทกำหนดให้ และให้หมายความรวมถึงกรณีที่ท่านเข้าสัมภาษณ์งาน เข้าทำสัญญากับบริษัท และส่งมอบเอกสารต่างๆ ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลของท่านปรากฏอยู่มาให้กับบริษัท เป็นต้น

3.2 ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมจากท่านอัตโนมัติ บริษัทอาจเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยอัตโนมัติผ่านทางช่องทางต่างๆ เช่น การใช้คุกกี้ (Cookies) หรือเทคโนโลยีอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน รายละเอียดเพิ่มเติมโปรดดู นโยบายคุกกี้

3.3 ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาจากบุคคลภายนอก บริษัทอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากบุคคลภายนอก เช่น เว็บไซด์สมัครงานของบุคคลที่สาม บุคคลอ้างอิงของท่าน บริษัทจัดหางาน หน่วยงานของรัฐ สถานศึกษา แหล่งข้อมูล Social Media หรือใบสมัครงานและ/หรือเอกสารของบุคคลซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับท่านในฐานะที่ท่านเป็นบุคคลในครอบครัว บุคคลที่สามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน บุคคลอ้างอิง ผู้รับผลประโยชน์ หรือผู้ค้ำประกันการทำงานของบุคคลดังกล่าว เป็นต้น

ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ท่านจะได้รับการแจ้งถึงรายละเอียดต่างๆ ตามที่ระบุในประกาศฯ ฉบับนี้ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะวัตถุประสงค์และฐานทางกฎหมายในการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย และ/หรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล หรือหากกรณีที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดให้การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลใดต้องได้รับความยินยอมจากท่าน บริษัทจะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่าน

ในกรณีที่บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ก่อนวันที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครอง ข้อมูลส่วนบุคคลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลมีผลใช้บังคับ บริษัทจะเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไปตามวัตถุประสงค์เดิมที่บริษัทได้แจ้งไว้แก่ท่านในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งท่านมีสิทธิยกเลิกความยินยอม โดยติดต่อมายังบริษัท ตามรายละเอียดการติดต่อที่ระบุในข้อ 9. ของประกาศฯ ฉบับนี้ ทั้งนี้ บริษัทขอสงวนสิทธิในการพิจารณาคำขอยกเลิกความยินยอมของท่านและดำเนินการตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

4. ข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกเก็บรวบรวม

บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเท่าที่จำเป็น โดยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่ถูกเก็บรวบรวมและประมวลผลภายใต้ประกาศฯ ฉบับนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้ไว้กับบริษัทโดยตรง หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมจากท่านโดยอัตโนมัติ หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาจากบุคคลภายนอก ได้แก่

4.1 ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ นามสกุล วัน/เดือน/ปีเกิด อายุ เพศ น้ำหนัก ส่วนสูง หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน รูปถ่าย ลายมือชื่อ สัญชาติ เชื้อชาติ สถานภาพการสมรส สถานภาพทางทหาร ข้อมูลบุคคลในครอบครัว (เช่น บิดา มารดา คู่สมรส และบุตร เป็นต้น)

4.2 ข้อมูลการติดต่อ เช่น ที่อยู่อาศัย หมายเลขโทรศัพท์ โทรสาร อีเมล ไอดีผู้ใช้สำหรับ แอปพลิเคชั่น (line ID) ข้อมูลผู้ที่สามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน และข้อมูลบุคคลอ้างอิง เป็นต้น

4.3 ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา การฝึกอบรม เช่น ชื่อสถาบัน คณะ วิชา สาขา และปีที่จบการศึกษา เป็นต้น หนังสือรับรองคุณวุฒิ ใบแสดงผลการศึกษา ความสามารถทางภาษา ความสามารถทางด้านคอมพิวเตอร์ ข้อมูลการอบรม ข้อมูลการทดสอบ และกิจกรรมที่เข้าร่วมระหว่างการศึกษา เป็นต้น

4.4 ข้อมูลเกี่ยวกับการสมัครงาน เช่น ประวัติส่วนตัว ประวัติการทำงาน ข้อมูลที่ปรากฏใน Resume/CV ข้อมูลประวัติอาชญากรรม ตำแหน่งที่สมัครงาน เงินเดือนที่คาดหวัง ข้อมูลการสัมภาษณ์งาน หลักฐานหรือหนังสืออ้างอิงต่างๆ และข้อมูลที่ปรากฏในแบบประเมินผลการสัมภาษณ์ เป็นต้น

4.5 ข้อมูลที่ใช้ประกอบเป็นหลักฐานในการสมัครงานหรือทำนิติกรรมต่าง ๆ เช่น ข้อมูลส่วนบุคคลที่ปรากฏในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาหนังสือเดินทาง สำเนาใบเปลี่ยนชื่อนามสกุล สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาใบสำคัญการเกณฑ์ทหาร สำเนาสมุดบัญชีธนาคาร สำเนาทะเบียนสมรส สำเนาสูติบัตร ใบรับรองแพทย์ ผลการตรวจสุขภาพ/ตรวจร่างกายก่อนเข้าทำงาน แบบระบุนามผู้รับผลประโยชน์ แบบขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน หนังสือยินยอมในการตรวจหาสารเสพติด หนังสือยินยอมให้ตรวจสอบประวัติบุคคล สัญญาจ้าง หนังสือสัญญาค้ำประกันการทำงาน และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ข้อตกลงว่าจ้างที่ปรึกษา เป็นต้น

4.6 ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานและการประเมินผล เช่น รหัสพนักงาน ตำแหน่ง แผนก สังกัด สายการบังคับบัญชา การประเมินผล การปฏิบัติงาน พฤติกรรมในการทำงาน ผลงานและ/หรือรางวัลที่เคยได้รับ ข้อมูลการฝึกอบรม ข้อมูลการลงโทษทางวินัย ข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือโอนย้ายพนักงานข้ามบริษัท สัญญายืมตัวพนักงาน ใบลาออกจากการเป็นพนักงาน และเหตุผลที่ลาออก เป็นต้น

4.7 ข้อมูลเกี่ยวกับผลประโยชน์และค่าตอบแทน เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง ผลตอบแทน โบนัส รายละเอียดเกี่ยวกับค่าบำเหน็จ สวัสดิการ เลขที่บัญชีธนาคาร ข้อมูลของผู้ค้ำประกันการทำงาน ข้อมูลของผู้รับผลประโยชน์ ข้อมูลเกี่ยวกับการประกันสังคม ข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ข้อมูลด้านภาษีอากร ข้อมูลการหักลดหย่อนภาษี ข้อมูลสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับสุขภาพ (รวมถึงสำหรับบุคคลในครอบครัว) และ/หรือผลประโยชน์อื่น ๆ ข้อมูลส่วนบุคคลที่ปรากฏในใบรับรองแพทย์ รายงานสุขภาพประจำปี แบบแจ้งการลาคลอด แบบยืมกู้ยืมเงินสวัสดิการบริษัท หนังสือยินยอมให้หักเงินเดือน ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ แบบเรียกค่าสินไหมทดแทน (สำหรับการประกันอุบัติเหตุ และประกันภัย) และแบบขออนุมัติผลประโยชน์เมื่อพ้นสภาพพนักงานสำหรับการเกษียณอายุ เป็นต้น

4.8 ข้อมูลเกี่ยวกับสถิติทางทะเบียน เช่น วันที่เริ่มงาน วันครบกำหนดทดลองงาน วันและเวลาที่เข้างาน จำนวนชั่วโมงที่ทำงาน จำนวนชั่วโมงที่ทำงานล่วงเวลา วันหยุดพักผ่อนประจำปี วันลา แบบแจ้งการลา รายละเอียดการลาถึงสาเหตุการลา บันทึกการเข้าออกบริษัทและการบันทึกการใช้ระบบต่างๆของบริษัท เป็นต้น

4.9 ข้อมูลด้านเทคนิค เช่น ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ (log) หมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ (IP Address) และข้อมูลที่บริษัทได้เก็บรวบรวมผ่านคุกกี้ (Cookies) หรือเทคโนโลยีอื่นที่คล้ายคลึงกัน เป็นต้น

4.10 ข้อมูลอื่นๆ เช่น บันทึกเสียงการสนทนา รวมถึงการถ่ายภาพหรือบันทึกภาพเคลื่อนไหวในเหตุการณ์ต่างๆ ผ่านกล้องวงจรปิด (CCTV) หรือกล้องของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ซึ่งเชื่อมต่อกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เช่น Zoom, MS Team, Google Meet เป็นต้น

5. วัตถุประสงค์และฐานทางกฎหมายในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
     5.1 บริษัทประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ภายใต้ฐานทางกฎหมาย ดังต่อไปนี้ (รวมกันเรียกว่า “วัตถุประสงค์ที่กำหนด”)

1) เพื่อวัตถุประสงค์ในการอนุมัติเงินเดือนและผลประโยชน์สำหรับพนักงานของบริษัท

   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :

• ฐานสัญญา : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของบุคลากร และผู้เกี่ยวข้อง เป็นการจำเป็น เพื่อใช้ในการพิจารณาคำขอของผู้สมัครงานที่ผ่านขั้นตอนการสัมภาษณ์งานและเข้าสู่กระบวนการอนุมัติเงินเดือนและผลประโยชน์สำหรับพนักงานก่อนเข้าทำสัญญาจ้าง หรือสัญญาอื่นใด เพื่อบรรจุเข้าเป็นพนักงานของบริษัท

• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของของบุคลากร และผู้เกี่ยวข้อง เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท เนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลที่ประมวลผลมีความจำเป็นต่อการพิจารณาอนุมัติเงินเดือนและผลประโยชน์สำหรับพนักงานของบริษัท

• ฐานสัญญา : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นเพื่อดำเนินการเข้าทำสัญญาจ้าง และสัญญาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องตลอดจนการดำเนินการใดๆ ที่จำเป็นก่อนการเข้าทำสัญญาดังกล่าว

2) เพื่อวัตถุประสงค์ในการดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับจ้างงาน และการบรรจุพนักงานเข้าทำงาน อาทิ การตรวจร่างกายก่อนเข้าทำงาน การระบุนามผู้รับประโยชน์ การขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน การตรวจสอบประวัติอาชญากรรม และการเข้าทำสัญญาจ้าง เป็นต้น

   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :

• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน เป็นการจำเป็นในการบริหารจัดการด้านทรัพยากรบุคคลของบริษัท เช่น การตรวจสอบและพิจารณาคุณสมบัติของพนักงาน เพื่อบรรจุพนักงานเข้าทำงานในตำแหน่งที่เหมาะสม เป็นต้น
• ฐานกฎหมาย : ในกรณีของกรรมการและผู้บริหารของบริษัท การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของกรรมการและผู้บริหารของบริษัท เป็นการจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 เช่น การจัดทำแบบฟอร์ม และเอกสารต่างๆ เพื่อยื่นต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
• ฐานความยินยอม : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวของพนักงาน อาทิ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ และข้อมูลชีวภาพ จะกระทำโดยอาศัยความยินยอมที่ได้รับจากพนักงาน
        3) เพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหารจัดการสวัสดิการและผลประโยชน์พนักงาน ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะเงินกู้สวัสดิการ การเบิกค่ารักษาพยาบาล สวัสดิการส่วนลดสำหรับพนักงาน การตรวจร่างกายประจำปี การประกันภัย และการเรียกค่าสินไหมทดแทนที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัย
   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล : 
• ฐานสัญญา : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นสำหรับบริษัทในการปฏิบัติตามสัญญาจ้าง และสัญญาอื่นๆ ซึ่งพนักงานเป็นคู่สัญญา
• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน เป็นการจำเป็นต่อการบริหารจัดการด้านทรัพยากรบุคคลของบริษัท เช่น การจัดสรรสวัสดิการและผลประโยชน์ของพนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน
• ฐานการปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อให้บรรลุประสงค์เกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงาน และประกันสังคม : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงาน และการประกันสังคม สวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของผู้มีสิทธิตามกฎหมาย การคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ หรือการคุ้มครองทางสังคม
• ฐานความยินยอม : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวของพนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน อาทิ ข้อมูลสุขภาพ เพื่อการบริหารจัดการการประกันภัยแบบกลุ่มหรือสวัสดิการอื่นๆ จะกระทำโดยอาศัยความยินยอมที่ได้รับจากพนักงานและผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน
        4) เพื่อวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานตามสัญญาจ้าง ข้อตกลงการว่าจ้างสัญญาแต่งตั้ง หรือสัญญาอื่นใด ซึ่งเข้าทำกับบริษัท

   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล : 

• ฐานสัญญา : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงานที่เกี่ยวข้อง เป็นการจำเป็นเพื่อการปฏิบัติหน้าที่หรือทำงานตามขอบเขตที่ระบุในสัญญาจ้าง ข้อตกลงการจ้าง สัญญาแต่งตั้ง หรือสัญญาอื่นใด ซึ่งพนักงานได้เข้าทำกับบริษัท เช่น การใช้และเปิดเผยชื่อ นามสกุล และข้อมูลส่วนบุคคลที่ปรากฏในบัตรประจำตัวประชาชนของพนักงาน เพื่อยืนยันตัวตนในฐานะผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทในการลงนามในสัญญา เอกสาร หรือกระทำการใด ๆ ในนามของบริษัท ตลอดจนการใช้และเปิดเผยชื่อพนักงานในประกาศ ใบอนุมัติ แบบฟอร์ม หรือเอกสารอื่นๆ ของบริษัทตามขอบอำนาจหน้าที่ หรือส่วนงานที่พนักงานดังกล่าวเป็นผู้รับผิดชอบ เป็นต้น

• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายในการดำเนินธุรกิจ และการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องของบริษัท

5) เพื่อวัตถุประสงค์ในการบันทึกเวลาการทำงาน จ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส ค่าตอบแทน หรือสิทธิประโยชน์ใดๆ

ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล : 

• ฐานสัญญา : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นสำหรับการจ่ายค่าจ้าง เงินเดือน โบนัส ค่าตอบแทนและ/หรือสิทธิประโยชน์ใด ๆ ตามสัญญาจ้าง และสัญญาอื่น ๆ ซึ่งพนักงานเป็นคู่สัญญา

• ฐานกฎหมาย : ในบางกรณีการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายของบริษัท เช่น การหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามกฎหมายว่าด้วยภาษีอากร เป็นต้น

• ฐานความยินยอม : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวของพนักงาน อาทิ ข้อมูลชีวภาพ จะกระทำโดยอาศัยความยินยอมที่ได้รับจากพนักงาน

        6) เพื่อวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล และคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายของหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :

• ฐานกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายของบริษัท ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะกฎหมายแรงงาน กฎหมายว่าด้วยประกันสังคม กฎหมายว่าด้วยภาษีอากร กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี ต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ การส่งข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงานให้แก่หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมสรรพากร สำนักงานประกันสังคม สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นต้น
       7) เพื่อวัตถุประสงค์ในการประเมินผลการปฏิบัติงาน หรือหน้าที่ของพนักงาน
   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :

• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายในการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานเพื่อการบริหารจัดการด้านทรัพยากรบุคคล หรือเพื่อประโยชน์อื่นใดในการดำเนินธุรกิจของบริษัท
        8) เพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหารจัดการฝึกอบรมบุคลากร ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะการรวบรวมรายชื่อผู้ที่มีความประสงค์จะเข้าฝึกอบรม และดำเนินการบริหารจัดการทางทะเบียนและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ
   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :
• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท ในการบริหารจัดการการฝึกอบรม เช่น การลงทะเบียนหลักสูตรการฝึกอบรม การจัดแผนการดำเนินการและแบบฝึกอบรม ตลอดจนการจัดสรรสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่เหมาะสม สำหรับการจัดฝึกอบรมเป็นต้น
        9) เพื่อวัตถุประสงค์ในการโอนย้ายพนักงาน และการยืมตัวพนักงาน / บุคลากร

   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :

• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายในการบริหารจัดการด้านทรัพยากรบุคคลของบริษัท เช่น การโอนย้าย หรือยืมตัวพนักงาน เป็นต้น

• ฐานสัญญา : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามสัญญาจ้าง สัญญาโอนพนักงานซึ่งมีพนักงานเป็นคู่สัญญา หรือสัญญาอื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน

ในกรณีที่บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงานไปต่างประเทศ บริษัทจะดำเนินการเพื่อทำให้แน่ใจว่าประเทศปลายทาง หรือผู้รับข้อมูลส่วนบุคคลในต่างประเทศนั้นมีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอในบางกรณี บริษัทอาจขอความยินยอมของพนักงาน สำหรับการส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงานไปยังต่างประเทศ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

        10) เพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลในเรื่องอื่นๆ อาทิ การลงโทษทางวินัย การเลิกจ้าง การลาออก และการเกษียณ เป็นต้น

   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล : 

• ฐานสัญญา : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นเพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาจ้าง และสัญญาอื่นๆ ซึ่งพนักงานเป็นคู่สัญญา อาทิ การเลิกจ้าง ในกรณีที่พนักงานลาออกหรือเกษียณจากการทำงาน และการบันทึกประวัติการถูกลงโทษทางวินัยของพนักงานที่ฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับการทำงาน เป็นต้น

• ฐานกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายของบริษัท เช่น การดำเนินการตามกระบวนการเลิกจ้าง การลาออก หรือการเกษียณของพนักงานของพนักงาน ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น

• ฐานการปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงาน : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายของบริษัท เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงาน เช่น การลงโทษทางวินัย และการเลิกจ้าง เป็นต้น

• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายในการจัดการด้านทรัพยากรบุคคลของบริษัท เช่น การลงโทษทางวินัยและบันทึกประวัติถูกลงโทษทางวินัยของพนักงาน และการพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของบริษัท เป็นต้น

        11) เพื่อวัตถุประสงค์ในการติดต่อสื่อสารกับ พนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน

   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :

 • ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทในการติดต่อสื่อสารกับพนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน
        12) เพื่อวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามหรือการใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือยกขึ้นต่อสู้ซึ่งสิทธิเรียกร้องของบริษัทในขั้นตอนต่างๆ ตามกฎหมาย
   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :
• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล เป็นการจำเป็นเพื่อการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามหรือการใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือการยกขึ้นต่อสู้สิทธิเรียกร้องของบริษัทในขั้นตอนต่างๆ ตามกฎหมาย เช่น การสอบสวนและ/หรือการไต่สวนโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ การเตรียมคดี การดำเนินคดี และ/หรือการต่อสู้คดีในชั้นศาล เป็นต้น
        13) เพื่อวัตถุประสงค์ในการตรวจสอบดูแลความสงบเรียบร้อยความรักษาความปลอดภัยและทรัพย์สินของบริษัท
   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :
• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย ในการตรวจสอบดูแลความสงบเรียบร้อยและรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินของบริษัท หรือการใช้ภาพบันทึกจากกล้องวงจรปิด (CCTV) เพื่อป้องกันการสูญหาย หรือเสียหายในทรัพย์สินของบริษัท หรือใช้เพื่อติดตามเอาคืนทรัพย์สิน หรือเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหาย ในกรณีที่มีการทำให้ทรัพย์สินของบริษัท สูญหาย หรือเสียหาย เป็นต้น
• ฐานการป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของพนักงาน : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบ ดูแล ป้องกัน หรือระงับเหตุการณ์ใดๆ ที่อาจเป็นอันตรายชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของพนักงาน
        14) เพื่อการดำเนินการใดๆ ที่จำเป็น และเป็นประโยชน์ต่อท่าน หรือเกี่ยวข้องโดยตรงกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดข้างต้น เช่น การบันทึกภาพเคลื่อนไหวเพื่อจัดทำรายงานการประชุม หรือหลักฐานการเข้าประชุมหรือลงมติต่าง ๆ ในการประชุม Work from home เป็นต้น
   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :
• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์ชอบด้วยกฎหมายในการดำเนินการใดๆ ที่จำเป็นของบริษัท และ/หรือเป็นประโยชน์ต่อท่าน หรือเกี่ยวข้องโดยตรงกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดข้างต้น
ทั้งนี้ หากเป็นกรณีที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดให้การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลใดต้องได้รับความยินยอมจากท่าน บริษัท จะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่าน
        15) เพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ ที่บริษัท จะแจ้งให้ท่านทราบ
   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :
บริษัท จะแจ้งให้ท่านทราบถึงวัตถุประสงค์อื่นใด อันเป็นเหตุให้บริษัท ต้องประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านนอกเหนือไปจากวัตถุประสงค์ตามที่ระบุไว้ข้างต้นหรือเมื่อบริษัท มีการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์เดิมที่กำหนดไว้
      ทั้งนี้ หากเป็นกรณีที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดให้การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลใดต้องได้รับความยินยอมจากท่าน บริษัท จะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่าน

6. ระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล

6.1 บริษัทจะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ตามประเภทข้อมูลส่วนบุคคลแต่ละประเภท เว้นแต่กฎหมายจะอนุญาตให้มีระยะเวลาการเก็บรักษาที่นานขึ้น ในกรณีที่ไม่สามารถระบุระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลได้ชัดเจน บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลไว้ตามระยะเวลาที่อาจคาดหมายได้ตามมาตรฐานของการเก็บรวบรวม (เช่น อายุความตามกฎหมายทั่วไปสูงสุด 10 ปี)

6.2 บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษา หรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาหรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น

6.3 กรณีที่บริษัทใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยขอความยินยอมจากท่าน บริษัทจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวจนกว่าท่านจะแจ้งขอยกเลิกความยินยอม และบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านเสร็จสิ้นแล้ว อย่างไรก็ดีบริษัทจะยังเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเท่าที่จำเป็นสำหรับบันทึกเป็นประวัติว่าท่านเคยยกเลิกความยินยอม เพื่อให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อคำขอของท่านในอนาคตได้

6.4 กรณีข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมโดยกล้องโทรทัศน์วงจรปิด บริษัทจะเก็บข้อมูล ดังนี้

(1) ในสถานการณ์ปกติ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอาจถูกเก็บไว้ไม่เกิน 30 วัน

(2) ในกรณีจำเป็น เช่น กรณีที่จำเป็นต้องใช้เป็นหลักฐานในการสืบสวน สอบสวน หรือการดำเนินคดี หรือกรณีที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลร้องขอ ข้อมูลส่วนบุคคลอาจถูกเก็บรักษาไว้เกินกว่า 30 วัน และบริษัทจะดำเนินการลบข้อมูลดังกล่าวอย่างปลอดภัยเมื่อเสร็จสิ้นวัตถุประสงค์นั้น

7. การเปิดเผยข้อมูล

การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่บุคคลภายนอก เพื่อให้บุคคลเหล่านี้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน สำหรับกรณีดังต่อไปนี้

7.1 ผู้ให้บริการใดๆ ที่ปฏิบัติงานให้กับบริษัท หรือให้บริการแก่บริษัท ทั้งนี้รวมถึง ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ผู้บังคับบัญชา และผู้ปฏิบัติงานของบุคคลดังกล่าว

7.2 ผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการดูแลผลประโยชน์ใดๆ ของบริษัท

7.3 บุคคลผู้ติดต่อ และตัวแทนของบริษัท

7.4 สถาบันทางการเงิน และผู้ให้บริการรับชำระเงิน

7.5 หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย รัฐบาล ศาล หน่วยงานระงับข้อพิพาท ผู้มีอำนาจควบคุมของบริษัท ผู้ตรวจสอบบัญชี และบุคคลใดๆ ซึ่งแต่งตั้งหรือร้องขอโดยมีผู้อำนาจควบคุมของบริษัท ให้ทำการตรวจสอบกิจกรรมการดำเนินงานของบริษัท

7.6 บุคคลอื่นใดซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทใดๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรม

7.7 หน่วยงานป้องกันการทุจริตซึ่งใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อสืบหา และป้องกันการทุจริต และอาชญากรรมอื่นๆ

7.8 บุคคลใดๆ ที่บริษัท ได้รับคำสั่งจากท่านให้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้กับบุคคลดังกล่าว

ทั้งนี้ บริษัท จะไม่อนุญาตให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว และจะกำหนดให้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม

8. การส่งและ/หรือเปิดเผยข้อมูลไปต่างประเทศ
     บริษัท ไม่มีการโอนถ่าย และ/หรือส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตบริษัท มีความจำเป็นต้องมีการโอนถ่าย และ/หรือส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศ บริษัทจะกำหนดมาตรฐานในการทำข้อตกลง และ/หรือสัญญาร่วมธุรกิจกับหน่วยงาน องค์กร ที่จะได้รับข้อมูลส่วนบุคคลนั้นให้มีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นที่ยอมรับและสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลนั้นจะได้รับการคุ้มครองอย่างปลอดภัย โดย

8.1 การส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังต่างประเทศจะต้องเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และบริษัท จะต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบ

8.2 การประมวลผลในระบบคลาวด์ (Cloud) บริษัทจะพิจารณาองค์กรที่มีมาตรฐานความมั่นคงปลอดภัยในระดับสากล และจะจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบการเข้ารหัส หรือวิธีการอื่นๆ ที่ไม่สามารถระบุตัวตนของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ เป็นต้น

9. สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
        บริษัทเคารพสิทธิส่วนบุคคลของท่าน และเปิดโอกาสให้ท่านสามารถเลือกวิธีการควบคุม หรือวิธีการที่บริษัทใช้ติดต่อท่าน โดยบริษัทจะปฏิบัติตามที่ท่านได้ร้องขอ เพื่อช่วยให้เกิดความโปร่งใส และเพื่อคุณภาพของข้อมูล และความถูกต้องของข้อมูล ท่านมีสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโดยท่านสามารถส่งคำขอให้บริษัททราบเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางที่บริษัทกำหนดในการดำเนินการตามสิทธิ ดังต่อไปนี้

9.1 สิทธิขอถอนความยินยอม หากท่านได้ให้ความยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน (ไม่ว่าจะเป็นความยินยอมที่ท่านให้ไว้ก่อนวันที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลใช้บังคับหรือ หลังจากนั้น) ท่านมีสิทธิที่จะถอนความยินยอมเมื่อใดก็ได้ตลอดระยะเวลาที่ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอยู่กับบริษัททั้งนี้ บริษัทขอแจ้งให้ท่านทราบว่า การเพิกถอนความยินยอมไม่ส่งผลกระทบต่อการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมไว้แล้วโดยชอบ เว้นแต่มีข้อจำกัดสิทธินั้นโดยกฎหมาย หรือโดยสภาพ ไม่สามารถถอนความยินยอมได้ หรือมีสัญญาระหว่างท่านกับบริษัทที่ให้ประโยชน์แก่ท่านอยู่ หรืออาจส่งผลให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์บางส่วนหรือทั้งหมดตามที่ระบุไว้ในเอกสารฉบับนี้ได้

9.2 สิทธิขอเข้าถึงข้อมูล ท่านมีสิทธิขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท และขอให้บริษัททำสำเนาข้อมูลดังกล่าวให้แก่ท่าน รวมถึงขอให้บริษัทเปิดเผยว่าบริษัทได้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมาได้อย่างไร เว้นแต่กรณีที่บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่านตามกฎหมาย หรือคำสั่งของศาล หรือกรณีที่คำขอของท่านจะมีผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น

9.3 สิทธิขอถ่ายโอนข้อมูล ท่านมีสิทธิขอให้โอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในกรณีที่บริษัทได้จัดทำข้อมูลส่วนบุคคลนั้นอยู่ในรูปแบบให้สามารถอ่านหรือใช้งานได้ด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติ และสามารถใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ รวมทั้งมีสิทธิขอให้บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นเมื่อสามารถทำได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ และมีสิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยัง ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นโดยตรง เว้นแต่ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะเหตุทางเทคนิคทั้งนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านข้างต้นต้องเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัท หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทจำเป็นต้องประมวลผล เพื่อให้ท่านสามารถใช้บริการของบริษัทได้ตามความประสงค์ซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาอยู่กับบริษัท หรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนใช้บริการ หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอื่นตามที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายกำหนด

9.4 สิทธิขอคัดค้าน ท่านมีสิทธิขอคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในเวลาใดก็ได้ หากประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านทำขึ้นเพื่อการดำเนินงานที่จำเป็นภายใต้ประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นโดยไม่เกินขอบเขตที่ท่านสามารถคาดหมายได้อย่างสมเหตุสมผล หรือเพื่อดำเนินการตามภารกิจเพื่อสาธารณประโยชน์ หรือเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือสถิติหากท่านยื่นคัดค้าน บริษัทจะยังคงดำเนินการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไปเฉพาะที่บริษัทสามารถแสดงเหตุผลตามกฎหมายได้ว่ามีความสำคัญยิ่งกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานของท่าน หรือเป็นไปเพื่อการยืนยันสิทธิตามกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมาย หรือการต่อสู้ในการฟ้องร้องตามกฎหมาย ตามแต่ละกรณี

9.5 สิทธิขอให้ลบหรือทำลายข้อมูล  ท่านมีสิทธิขอลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนของท่านได้ หากท่านเชื่อว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกประมวลผลโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หรือเห็นว่าบริษัทหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องในประกาศฉบับนี้ หรือเมื่อบริษัทเห็นว่าสามารถปฏิบัติตามที่ท่านได้ใช้สิทธิขอถอนความยินยอมหรือใช้สิทธิขอคัดค้านตามที่แจ้งไว้ข้างต้นแล้ว

9.6 สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูล ท่านมีสิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลชั่วคราวในกรณีที่บริษัทอยู่ระหว่างตรวจสอบตามคำร้องขอใช้สิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล หรือขอคัดค้านของท่าน หรือกรณีอื่นใด ที่บริษัทหมดความจำเป็นและต้องลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องแต่ท่านขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลแทน

9.7 สิทธิขอให้แก้ไขข้อมูล ท่านมีสิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้งนี้ หากท่านประสงค์จะขอแก้ไขข้อมูลเกี่ยวกับภาพ บริษัทจะทำการแก้ไขเฉพาะรายการข้อมูลที่เกี่ยวกับภาพของท่านเพื่อให้ถูกต้อง ตามความจำเป็นของบริษัทที่ชอบด้วยกฎหมายและในกรณีที่การดำเนินการตามคำขอก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายบริษัทอาจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากท่าน

9.8 สิทธิร้องเรียน ท่านมีสิทธิร้องเรียนต่อบริษัท ผ่านเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: (Data Protection Officer) อีเมล :  dpo@vincent.clinic หรือผู้มีอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากท่านเชื่อว่าการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เป็นการกระทำในลักษณะที่ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

10. วิธีการใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูล
     10.1 การร้องขอใด ๆ เพื่อการใช้สิทธิของท่านจะต้องกระทำเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งบริษัทได้จัดให้มีขึ้นในเว็บไซต์ของบริษัท หรือกรอกข้อมูลผ่าน แบบฟอร์มคำร้องขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject Request Form) ส่งมาที่อีเมล : dpo@vincent.clinic  หรือ ทางไปรษณีย์ตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในแบบฟอร์มดังกล่าว

ทั้งนี้ บริษัทจะใช้ความพยายามอย่างดีที่สุดที่จะดำเนินการภายในระยะเวลาที่สมเหตุสมผล และไม่เกินระยะเวลา 30 วัน นับแต่ได้รับคำร้อง อย่างไรก็ดี บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่าน ในกรณีที่มีข้อยกเว้นตามกฎหมาย หรือบริษัทจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาได้ หรือมีผลกระทบกับการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญา หรือเป็นการปฏิเสธตามคำสั่งศาล หรือหากบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านจะส่งผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น โดยบริษัทจะดำเนินการบันทึกการปฏิเสธคำร้องขอพร้อมด้วยเหตุผลไว้ ทั้งนี้ หากปรากฏอย่างชัดเจนว่าคำร้องขอของท่านเป็นคำร้องขอที่ไม่สมเหตุสมผล หรือคำร้องขอฟุ่มเฟือยบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินการตามที่ท่านร้องขอในอัตราที่บริษัทกำหนด

10.2 บริษัทจะพยายามอย่างเต็มที่ตามความสามารถของระบบงานที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกและดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน เว้นแต่จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า การดำเนินการตามคำร้องขอนั้นเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ใช้งานรายอื่น หรือเป็นการขัดต่อกฎหมาย หรือนโยบายความปลอดภัยของระบบ หรือกรณีที่เป็นการพ้นวิสัยในทางปฏิบัติตามคำร้องขอ เนื่องมาจากเหตุทางเทคนิค

10.3 ในบางสถานการณ์บริษัทอาจขอให้ท่านพิสูจน์ตัวตนของท่านก่อนการใช้สิทธิเพื่อความปลอดภัยของท่านเอง โดยบางครั้งอาจเกิดข้อจำกัดในการขอใช้สิทธิของท่านบางประการ ซึ่งบริษัทจะทำการชี้แจงให้ท่านทราบหากไม่สามารถปฏิบัติตามคำร้องขอใช้สิทธิของท่านได้

10.4 หากเป็นกรณีกิจกรรมที่บริษัททำการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามฐานการปฏิบัติตามสัญญา หรือฐานเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย หรือฐานการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย บริษัทมีสิทธิปฏิเสธการใช้สิทธิของท่านในกรณีที่ท่านใช้สิทธิโต้แย้ง หรือขอระงับการใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่าน และขอให้ดำเนินการลบ หรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่านได้ รวมถึงบริษัทอาจปฏิเสธที่จะดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน หากบริษัท มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บข้อมูลต่อไป เพื่อการกระทำการ ดังต่อไปนี้

(1) เพื่อทำรายการใด ๆ ตามวัตถุประสงค์ที่บริษัท เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น หรือดำเนินการตามสมควรภายในขอบเขตความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างบริษัทกับท่าน

(2) เพื่อใช้เป็นการภายในตามสมควรโดยสอดคล้องกับความคาดหมายของท่านที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบริษัท และสอดคล้องกับบริบทที่ท่านได้ให้ข้อมูลดังกล่าวไว้แต่แรก และเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ข้อบังคับ กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง

10.5 ในกรณีที่ท่านไม่ประสงค์ถูกบันทึกภาพ ท่านมีสิทธิที่จะขอรับและติดสัญลักษณ์ “ห้ามถ่ายภาพบุคคล” ตลอดการร่วมประชุม ทั้งนี้ บริษัทขอเรียนให้ทราบว่าด้วยลักษณะการจัดกิจกรรมอาจมีการถ่ายภาพบรรยากาศกิจกรรม ซึ่งแม้ท่านขอรับสัญลักษณ์ดังกล่าวแล้วก็ตาม ก็อาจปรากฎภาพของท่านเป็นส่วนประกอบของภาพได้ ดังนั้น บริษัทจึงแนะนำให้ท่านแจ้งต่อบริษัทเพื่อปฏิเสธขณะที่บริษัทกำลังบันทึกภาพ หรือหลีกเลี่ยงบริเวณที่บันทึกภาพ หรือไม่เข้าร่วมกิจกรรมขณะมีการบันทึกภาพ หรือภาพเคลื่อนไหว

10.6 บริษัทจำเป็นต้องแจ้งให้ทราบว่า การขอใช้สิทธิของท่านบางประการ อาจเกิดข้อจำกัด ในกรณีที่ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นข้อมูลที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อบริษัทในการปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมาย เพื่อการชำระเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นกู้ ตัวแทนของบุคคลดังกล่าว และการบริการจัดการทะเบียนผู้ถือหุ้น และข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่จำเป็นต่อบริษัทในการปฏิบัติตามสัญญา หรือข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิ และหน้าของผู้ออกหุ้น ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ หากท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นแก่บริษัท หรือใช้สิทธิ ขอให้ลบ ระงับการใช้ข้อมูล บริษัทอาจไม่สามารถบริการหรือจัดการสัญญาระหว่างท่านกับบริษัท รวมถึงสิทธิประโยชน์ที่ท่านอาจจะได้รับ

11. มาตรการการรักษาความปลอดภัย
       บริษัท กำหนดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการสูญหาย การเข้าถึง การใช้ การเปลี่ยนแปลง การแก้ไข หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่มีอำนาจหรือโดยขัดต่อกฎหมาย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศของบริษัท (Information Security Policy) และนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Policy)

12. การแก้ไขเปลี่ยนแปลง     
       บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไข ทบทวน และปรับปรุงประกาศความเป็นส่วนตัวที่จะมีผลบังคับใช้ ณ เวลาที่ได้เผยแพร่ต่อไปโดยมิต้องแจ้งให้ท่านทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ เพื่อความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการให้บริการ ดังนั้น บริษัทจึงขอแนะนำให้ท่านอ่านประกาศความเป็นส่วนตัวทุกครั้งที่เยี่ยมชม หรือใช้บริการจากบริษัท หรือเว็บไซต์ของบริษัท ที่ https://vincent.clinic/th 

2.4 ประกาศความเป็นส่วนตัวของผู้สมัครงาน และผู้เกี่ยวข้อง (Privacy Notice)
1.วัตถุประสงค์

บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (“บริษัท”) จัดทำนโยบายเรื่อง ประกาศความเป็นส่วนตัวของผู้สมัครงาน และผู้เกี่ยวข้อง (ซึ่งรวมเรียกว่า “ท่าน”) ฉบับนี้ขึ้น เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง และให้หมายความรวมถึงกฎหมายฉบับแก้ไขเพิ่มเติมใดๆ ในอนาคต (“กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล”)

เพื่ออธิบายให้ท่านทราบถึงวัตถุประสงค์และวิธีการที่บริษัทปฏิบัติต่อข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนของท่าน หรืออาจระบุตัวตนของท่านได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น วิธีการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย หรือการดำเนินการใด ๆ กับข้อมูลส่วนบุคคล อาทิ การบันทึก การจัดระบบ การจัดเก็บ การเปลี่ยนแปลงหรือการดัดแปลง การเรียกคืน การส่ง โอน การเผยแพร่ หรือการทำให้สามารถเข้าถึงหรือพร้อมใช้งานโดยวิธีใดๆ การจัดเรียง การนำมารวมกัน การจำกัดหรือการห้ามเข้าถึง การลบหรือการทำลาย (“ประมวลผล”) และเพื่อแจ้งให้ท่านทราบถึงวัตถุประสงค์ ระยะเวลาในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล ตลอดจนสิทธิของท่านในฐานะเจ้าขงข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ บริษัทขอให้ท่านอ่านและทำความเข้าใจถึงข้อกำหนดต่าง ๆ ภายใต้ประกาศฯ ฉบับนี้

2. คำนิยามและศัพท์
        ภายใต้ประกาศฯ ฉบับนี้ กลุ่มหรือประเภทของบุคคลที่บริษัททำการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลประกอบด้วย

2.1 บริษัท หมายถึง บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

2.2 ผู้สมัครงาน หมายถึง บุคคลที่อาจได้รับคัดเลือกเป็นพนักงานของบริษัท โดยบริษัทอาจเป็นผู้เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครงานเองโดยตรง หรือได้รับจากบุคคลภายนอกก็ได้

2.3 ผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้สมัครงาน ซึ่งหมายถึง บุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้สมัครงานและบุคลากรของบริษัท และให้หมายความรวมถึงผู้ที่มีข้อมูลส่วนบุคคลปรากฏในเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการที่เกี่ยวข้อง เช่น บุคคลในครอบครัว ซึ่งได้แก่ บิดา มารดา คู่สมรส และบุตร บุคคลที่สามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน บุคคลอ้างอิง (Reference Person) ผู้รับผลประโยชน์ และผู้ค้ำประกันการทำงาน เป็นต้น

2.4 ท่าน หมายถึง เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

3. วิธีที่บริษัทเก็บรวบรวมและรับข้อมูลส่วนบุคคล
        บริษัทเก็บรวบรวมและรับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้

     3.1 ข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้ไว้กับบริษัทโดยตรง ท่านอาจให้ข้อมูลส่วนบุคคลแก่บริษัทโดยตรง เช่น เมื่อท่านยื่นใบสมัครงานและเอกสารประกอบการสมัครงานให้แก่บริษัทฯ ไม่ว่าโดยการ walk-in ผ่านเว็บไซต์ของบริษัท การสมัครทางอีเมล หรือตามช่องทางอื่นๆ ที่บริษัทกำหนดให้ และให้หมายความรวมถึงกรณีที่ท่านเข้าสัมภาษณ์งาน เข้าทำสัญญากับบริษัท และส่งมอบเอกสารต่างๆ ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลของท่านปรากฏอยู่มาให้กับบริษัท เป็นต้น

     3.2 ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมจากท่านอัตโนมัติ บริษัทอาจเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยอัตโนมัติผ่านทางช่องทางต่างๆ เช่น การใช้คุกกี้ (Cookies) หรือเทคโนโลยีอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน รายละเอียดเพิ่มเติมโปรดดู นโยบายคุกกี้

     3.3 ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาจากบุคคลภายนอก บริษัทอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากบุคคลภายนอก เช่น เว็บไซต์สมัครงานของบุคคลที่สาม บุคคลอ้างอิงของท่าน บริษัทจัดหางาน หน่วยงานของรัฐ สถานศึกษา แหล่งข้อมูล Social Media หรือใบสมัครงานและ/หรือเอกสารของบุคคลซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับท่านในฐานะที่ท่านเป็นบุคคลในครอบครัว บุคคลที่สามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน บุคคลอ้างอิง ผู้รับผลประโยชน์ หรือผู้ค้ำประกันการทำงานของบุคคลดังกล่าว เป็นต้น

ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ท่านจะได้รับการแจ้งถึงรายละเอียดต่างๆ ตามที่ระบุในประกาศฯ ฉบับนี้ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะวัตถุประสงค์และฐานทางกฎหมายในการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย และ/หรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล หรือหากกรณีที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดให้การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลใดต้องได้รับความยินยอมจากท่าน บริษัทจะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่าน

ในกรณีที่บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ก่อนวันที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลมีผลใช้บังคับ บริษัทจะเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไปตามวัตถุประสงค์เดิมที่บริษัทได้แจ้งไว้แก่ท่านในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งท่านมีสิทธิยกเลิกความยินยอม โดยติดต่อมายังบริษัท ตามรายละเอียดการติดต่อที่ระบุในข้อ 13. ของประกาศฯ ฉบับนี้ ทั้งนี้ บริษัทขอสงวนสิทธิในการพิจารณาคำขอยกเลิกความยินยอมของท่านและดำเนินการตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

4. ข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกเก็บรวบรวม

บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเท่าที่จำเป็น โดยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ที่ถูกเก็บรวบรวมและประมวลผลภายใต้ประกาศฯ ฉบับนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้ไว้กับบริษัทโดยตรง หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมจากท่านโดยอัตโนมัติ หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาจากบุคคลภายนอก ได้แก่

4.1 ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ นามสกุล วัน/เดือน/ปีเกิด อายุ เพศ น้ำหนัก ส่วนสูง หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน รูปถ่าย ลายมือชื่อ สัญชาติ เชื้อชาติ ศาสนา สถานภาพการสมรส สถานภาพทางทหาร และข้อมูลบุคคลในครอบครัว เป็นต้น

4.2 ข้อมูลการติดต่อ เช่น ที่อยู่อาศัย หมายเลขโทรศัพท์ โทรสาร อีเมล ไอดีผู้ใช้สำหรับ แอปพลิเคชั่น (line ID) ข้อมูลผู้ที่สามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน และข้อมูลบุคคลอ้างอิง เป็นต้น

4.3 ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา การฝึกอบรม เช่น ชื่อสถาบัน คณะ วิชา สาขา และปีที่จบการศึกษา เป็นต้น หนังสือรับรองคุณวุฒิ ใบแสดงผลการศึกษา ความสามารถทางภาษา ความสามารถทางด้านคอมพิวเตอร์ ข้อมูลการอบรม และข้อมูลการทดสอบ และกิจกรรมที่เข้าร่วมระหว่างการศึกษา เป็นต้น

4.4 ข้อมูลเกี่ยวกับการสมัครงาน เช่น ประวัติส่วนตัว ประวัติการทำงาน ข้อมูลที่ปรากฏใน Resume/CV ข้อมูลประวัติอาชญากรรม ตำแหน่งที่สมัครงาน เงินเดือนที่คาดหวัง ข้อมูลการสัมภาษณ์งาน หลักฐานหรือหนังสืออ้างอิงต่างๆ และข้อมูลที่ปรากฏในแบบประเมินผลการสัมภาษณ์ เป็นต้น

4.5 ข้อมูลที่ใช้ประกอบเป็นหลักฐานในการสมัครงานหรือทำนิติกรรมต่าง ๆ เช่น ข้อมูลส่วนบุคคลที่ปรากฏในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาหนังสือเดินทาง สำเนาใบเปลี่ยนชื่อนามสกุล สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาใบสำคัญการเกณฑ์ทหาร สำเนาสมุดบัญชีธนาคาร สำเนาทะเบียนสมรส สำเนาสูติบัตร ใบรับรองแพทย์ ผลการตรวจสุขภาพ/ตรวจร่างกายก่อนเข้าทำงาน แบบระบุผู้รับผลประโยชน์ แบบขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน หนังสือยินยอมในการตรวจหาสารเสพติด หนังสือยินยอมให้ตรวจสอบประวัติบุคคล สัญญาจ้าง หนังสือสัญญาค้ำประกันการทำงานและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ข้อตกลงว่าจ้างที่ปรึกษา เป็นต้น

4.6 ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานและการประเมินผล เช่น รหัสพนักงาน ตำแหน่ง แผนก สังกัด สายการบังคับบัญชา การประเมินผล การปฏิบัติงาน พฤติกรรมในการทำงาน ผลงานและ/หรือรางวัลที่เคยได้รับ ข้อมูลการฝึกอบรม ข้อมูลการลงโทษทางวินัย ข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือโอนย้ายพนักงานข้ามบริษัท สัญญายืมตัวพนักงาน ใบลาออกจากการเป็นพนักงาน และเหตุผลที่ลาออก เป็นต้น

4.7 ข้อมูลเกี่ยวกับผลประโยชน์และค่าตอบแทน เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง ผลตอบแทน โบนัส รายละเอียดเกี่ยวกับค่าบำเหน็จ สวัสดิการ เลขที่บัญชีธนาคาร ข้อมูลของผู้ค้ำประกันการทำงาน ข้อมูลของผู้รับผลประโยชน์ ข้อมูลเกี่ยวกับการประกันสังคม ข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ข้อมูลด้านภาษีอากร ข้อมูลการหักลดหย่อนภาษี ข้อมูลสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับสุขภาพ (รวมถึงสำหรับบุคคลในครอบครัว) และ/หรือผลประโยชน์อื่น ๆ ข้อมูลส่วนบุคคลที่ปรากฏในใบรับรองแพทย์ รายงานสุขภาพประจำปี แบบแจ้งการลาคลอด แบบยืมกู้ยืมเงินสวัสดิการบริษัท หนังสือยินยอมให้หักเงินเดือน ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ แบบเรียกค่าสินไหมทดแทน (สำหรับการประกันอุบัติเหตุ และประกันภัย) และแบบขออนุมัติผลประโยชน์เมื่อพ้นสภาพพนักงานสำหรับการเกษียณอายุ เป็นต้น

4.8 ข้อมูลเกี่ยวกับสถิติทางทะเบียน เช่น วันที่เริ่มงาน วันครบกำหนดทดลองงาน วันและเวลาที่เข้างาน จำนวนชั่วโมงที่ทำงาน จำนวนชั่วโมงที่ทำงานล่วงเวลา วันหยุดพักผ่อนประจำปี วันลา แบบแจ้งการลา รายละเอียดการลาถึงสาเหตุการลา บันทึกการเข้าออกบริษัท และการบันทึกการใช้ระบบต่าง ๆ ของบริษัท เป็นต้น

4.9 ข้อมูลด้านเทคนิค เช่น ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ (log) หมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ (IP Address) และข้อมูลที่บริษัทได้เก็บรวบรวมผ่านคุกกี้ (Cookies) หรือเทคโนโลยีอื่นที่คล้ายคลึงกัน เป็นต้น

4.10 ข้อมูลอื่นๆ เช่น บันทึกเสียงการสนทนา รวมถึงการถ่ายภาพหรือบันทึกภาพเคลื่อนไหวในเหตุการณ์ต่างๆ ผ่านกล้องวงจรปิด (CCTV) เป็นต้น

5. วัตถุประสงค์และฐานทางกฎหมายในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
     5.1 บริษัทประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ภายใต้ฐานทางกฎหมาย ดังต่อไปนี้ (รวมกันเรียกว่า “วัตถุประสงค์ที่กำหนด”)
         1) เพื่อวัตถุประสงค์ในการรับสมัคร คัดเลือกผู้สมัครงาน การสัมภาษณ์ และการดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสมัครงาน
ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :
     • ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้สมัครงาน เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทในการรับสมัครงานหรือในการดำเนินการภายหลังการรับสมัครงาน เช่น การพิจารณาคัดเลือกผู้สมัครงาน และการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครงาน เป็นต้น
     • ฐานความยินยอม : ในกรณีที่บริษัททำการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ที่คาดว่าจะเป็นพนักงาน โดยการตัดสินใจของบริษัทฯ เอง จากแหล่งอื่น เช่น เว็บไซต์จัดหางานโดยที่ผู้ที่คาดว่าจะเป็นพนักงานยังไม่ได้แสดงเจตนาว่าประสงค์ที่จะสมัครงานกับบริษัท
     • ฐานความยินยอม : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ในฐานะในครอบครัวหรือบุคคลอ้างอิงของผู้สมัครงานจะดำเนินการโดยอาศัยความยินยอมที่ได้รับจากท่าน
        2) เพื่อวัตถุประสงค์ในการดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับจ้างงาน และการบรรจุพนักงานเข้าทำงาน อาทิ การตรวจร่างกายก่อนเข้าทำงาน การระบุนามผู้รับประโยชน์ การขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน การตรวจสอบประวัติอาชญากรรม การเข้าทำสัญญาจ้าง และการเข้าทำสัญญาผู้ค้ำประกันการทำงาน เป็นต้น
ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล : 
        ในกรณีของผู้ค้ำประกันการทำงาน การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ค้ำประกันการทำงาน เป็นการจำเป็นเพื่อการดำเนินการเข้าทำสัญญาค้ำประกันการทำงานซึ่งผู้ค้ำประกันการทำงานเป็นคู่สัญญา
     • ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน เป็นการจำเป็นในการบริหารจัดการด้านทรัพยากรบุคคลของบริษัท เช่น การตรวจสอบและพิจารณาคุณสมบัติของพนักงาน เพื่อบรรจุพนักงานเข้าทำงานในตำแหน่งที่เหมาะสม เป็นต้น
     • ฐานกฎหมาย : ในกรณีของกรรมการและผู้บริหารของบริษัท การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของกรรมการและผู้บริหารของบริษัท เป็นการจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 เช่น การจัดทำแบบฟอร์ม และเอกสารต่างๆ เพื่อยื่นต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
     • ฐานความยินยอม : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวของพนักงาน อาทิ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ และข้อมูลชีวภาพ จะกระทำโดยอาศัยความยินยอมที่ได้รับจากพนักงาน
        3) เพื่อวัตถุประสงค์ในการติดต่อสื่อสารกับ ผู้สมัครงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน
ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :
     ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทในการติดต่อสื่อสารกับผู้สมัครงาน พนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน
        4) เพื่อวัตถุประสงค์ในการตรวจสอบดูแลความสงบเรียบร้อยความรักษาความปลอดภัยและทรัพย์สินของบริษัทฯ
ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล : 
     • ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย ในการตรวจสอบดูแลความสงบเรียบร้อยและรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินของบริษัทฯ หรือการใช้ภาพบันทึกจากกล้องวงจรปิด (CCTV) เพื่อป้องกันการสูญหาย หรือเสียหายในทรัพย์สินของบริษัท หรือใช้เพื่อติดตามเอาคืนทรัพย์สิน หรือเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหาย ในกรณีที่มีการทำให้ทรัพย์สินของบริษัทฯ สูญหาย หรือเสียหาย เป็นต้น
     • ฐานการป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของพนักงาน : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบ ดูแล ป้องกัน หรือระงับเหตุการณ์ใดๆ ที่อาจเป็นอันตรายชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของพนักงาน
        5) เพื่อการดำเนินการใดๆ ที่จำเป็น และเป็นประโยชน์ต่อท่าน หรือเกี่ยวข้องโดยตรงกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดข้างต้น

ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :

• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์ชอบด้วยกฎหมายในการดำเนินการใดๆ ที่จำเป็นของบริษัทฯ และ/หรือเป็นประโยชน์ต่อท่าน หรือเกี่ยวข้องโดยตรงกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดข้างต้น

6) เพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ ที่บริษัท จะแจ้งให้ท่านทราบ

ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :

     • บริษัทฯ จะแจ้งให้ท่านทราบถึงวัตถุประสงค์อื่นใด อันเป็นเหตุให้บริษัทฯต้องประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านนอกเหนือไปจากวัตถุประสงค์ตามที่ระบุไว้ข้างต้นหรือเมื่อบริษัทฯ มีการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์เดิมที่กำหนดไว้

ทั้งนี้ หากเป็นกรณีที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดให้การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลใดต้องได้รับความยินยอมจากท่าน บริษัทฯ จะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่าน

6. ระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล
     6.1 บริษัทจะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ตามประเภทข้อมูลส่วนบุคคลแต่ละประเภท เว้นแต่กฎหมายจะอนุญาตให้มีระยะเวลาการเก็บรักษาที่นานขึ้น ในกรณีที่ไม่สามารถระบุระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลได้ชัดเจน บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลไว้ตามระยะเวลาที่อาจคาดหมายได้ตามมาตรฐานของการเก็บรวบรวม (เช่น อายุความตามกฎหมายทั่วไปสูงสุด 10 ปี)

6.2 บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษา หรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาหรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น

6.3 กรณีที่บริษัทใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยขอความยินยอมจากท่าน บริษัทจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวจนกว่าท่านจะแจ้งขอยกเลิกความยินยอม และบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านเสร็จสิ้นแล้ว อย่างไรก็ดีบริษัทจะยังเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเท่าที่จำเป็นสำหรับบันทึกเป็นประวัติว่าท่านเคยยกเลิกความยินยอม เพื่อให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อคำขอของท่านในอนาคตได้

6.4 กรณีข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมโดยกล้องโทรทัศน์วงจรปิด บริษัทจะเก็บข้อมูล ดังนี้

(1) ในสถานการณ์ปกติ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอาจถูกเก็บไว้ไม่เกิน 30 วัน

(2) ในกรณีจำเป็น เช่น กรณีที่จำเป็นต้องใช้เป็นหลักฐานในการสืบสวน สอบสวน หรือการดำเนินคดี หรือกรณีที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลร้องขอ ข้อมูลส่วนบุคคลอาจถูกเก็บรักษาไว้เกินกว่า 30 วัน และบริษัทจะดำเนินการลบข้อมูลดังกล่าวอย่างปลอดภัยเมื่อเสร็จสิ้นวัตถุประสงค์นั้น

7. การเปิดเผยข้อมูล
        การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่บุคคลภายนอก เพื่อให้บุคคลเหล่านี้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน สำหรับกรณีดังต่อไปนี้

7.1 ผู้ให้บริการใดๆ ที่ปฏิบัติงานให้กับบริษัท หรือให้บริการแก่บริษัท ทั้งนี้รวมถึง ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ผู้บังคับบัญชา และผู้ปฏิบัติงานของบุคคลดังกล่าว

7.2 ผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการดูแลผลประโยชน์ใดๆ ของบริษัท

7.3 บุคคลผู้ติดต่อ และตัวแทนของบริษัท

7.4 สถาบันทางการเงิน และผู้ให้บริการรับชำระเงิน

7.5 หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย รัฐบาล ศาล หน่วยงานระงับข้อพิพาท ผู้มีอำนาจควบคุมของบริษัท ผู้ตรวจสอบบัญชี และบุคคลใดๆ ซึ่งแต่งตั้งหรือร้องขอโดยมีผู้อำนาจควบคุมของบริษัท ให้ทำการตรวจสอบกิจกรรมการดำเนินงานของบริษัท

7.6 บุคคลอื่นใดซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทใดๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรม

7.7 หน่วยงานป้องกันการทุจริตซึ่งใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อสืบหา และป้องกันการทุจริต และอาชญากรรมอื่นๆ

7.8 บุคคลใดๆ ที่บริษัท ได้รับคำสั่งจากท่านให้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้กับบุคคลดังกล่าว

ทั้งนี้ บริษัท จะไม่อนุญาตให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว และจะกำหนดให้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม

8. การส่งและ/หรือเปิดเผยข้อมูลไปต่างประเทศ

บริษัท ไม่มีการโอนถ่าย และ/หรือส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตบริษัท มีความจำเป็นต้องมีการโอนถ่าย และ/หรือส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศ บริษัทจะกำหนดมาตรฐานในการทำข้อตกลง และ/หรือสัญญาร่วมธุรกิจกับหน่วยงาน องค์กร ที่จะได้รับข้อมูลส่วนบุคคลนั้นให้มีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นที่ยอมรับและสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลนั้นจะได้รับการคุ้มครองอย่างปลอดภัย โดย

8.1 การส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังต่างประเทศจะต้องเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และบริษัท จะต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบ

8.2 การประมวลผลในระบบคลาวด์ (Cloud) บริษัทจะพิจารณาองค์กรที่มีมาตรฐานความมั่นคงปลอดภัยในระดับสากล และจะจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบการเข้ารหัส หรือวิธีการอื่นๆ ที่ไม่สามารถระบุตัวตนของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ เป็นต้น

9. สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทเคารพสิทธิส่วนบุคคลของท่าน และเปิดโอกาสให้ท่านสามารถเลือกวิธีการควบคุม หรือวิธีการที่บริษัทใช้ติดต่อท่าน โดยบริษัทจะปฏิบัติตามที่ท่านได้ร้องขอ เพื่อช่วยให้เกิดความโปร่งใส และเพื่อคุณภาพของข้อมูล และความถูกต้องของข้อมูล ท่านมีสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโดยท่านสามารถส่งคำขอให้บริษัททราบเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางที่บริษัทกำหนดในการดำเนินการตามสิทธิ ดังต่อไปนี้

 9.1 สิทธิขอถอนความยินยอม หากท่านได้ให้ความยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน (ไม่ว่าจะเป็นความยินยอมที่ท่านให้ไว้ก่อนวันที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลใช้บังคับหรือ หลังจากนั้น) ท่านมีสิทธิที่จะถอนความยินยอมเมื่อใดก็ได้ตลอดระยะเวลาที่ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอยู่กับบริษัททั้งนี้ บริษัทขอแจ้งให้ท่านทราบว่า การเพิกถอนความยินยอมไม่ส่งผลกระทบต่อการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมไว้แล้วโดยชอบ เว้นแต่มีข้อจำกัดสิทธินั้นโดยกฎหมาย หรือโดยสภาพ ไม่สามารถถอนความยินยอมได้ หรือมีสัญญาระหว่างท่านกับบริษัทที่ให้ประโยชน์แก่ท่านอยู่ หรืออาจส่งผลให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์บางส่วนหรือทั้งหมดตามที่ระบุไว้ในเอกสารฉบับนี้ได้

9.2 สิทธิขอเข้าถึงข้อมูล ท่านมีสิทธิขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท และขอให้บริษัททำสำเนาข้อมูลดังกล่าวให้แก่ท่าน รวมถึงขอให้บริษัทเปิดเผยว่าบริษัทได้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมาได้อย่างไร เว้นแต่กรณีที่บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่านตามกฎหมาย หรือคำสั่งของศาล หรือกรณีที่คำขอของท่านจะมีผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น

9.3 สิทธิขอถ่ายโอนข้อมูล ท่านมีสิทธิขอให้โอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในกรณีที่บริษัทได้จัดทำข้อมูลส่วนบุคคลนั้นอยู่ในรูปแบบให้สามารถอ่านหรือใช้งานได้ด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติ และสามารถใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ รวมทั้งมีสิทธิขอให้บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นเมื่อสามารถทำได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ และมีสิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยัง ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นโดยตรง เว้นแต่ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะเหตุทางเทคนิคทั้งนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านข้างต้นต้องเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัท หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทจำเป็นต้องประมวลผล เพื่อให้ท่านสามารถใช้บริการของบริษัทได้ตามความประสงค์ซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาอยู่กับบริษัท หรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนใช้บริการ หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอื่นตามที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายกำหนด

 9.4 สิทธิขอคัดค้าน ท่านมีสิทธิขอคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในเวลาใดก็ได้ หากประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านทำขึ้นเพื่อการดำเนินงานที่จำเป็นภายใต้ประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นโดยไม่เกินขอบเขตที่ท่านสามารถคาดหมายได้อย่างสมเหตุสมผล หรือเพื่อดำเนินการตามภารกิจเพื่อสาธารณประโยชน์ หรือเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือสถิติหากท่านยื่นคัดค้าน บริษัทจะยังคงดำเนินการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไปเฉพาะที่บริษัทสามารถแสดงเหตุผลตามกฎหมายได้ว่ามีความสำคัญยิ่งกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานของท่าน หรือเป็นไปเพื่อการยืนยันสิทธิตามกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมาย หรือการต่อสู้ในการฟ้องร้องตามกฎหมาย ตามแต่ละกรณี

   9.5 สิทธิขอให้ลบหรือทำลายข้อมูล ท่านมีสิทธิขอลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนของท่านได้ หากท่านเชื่อว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกประมวลผลโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หรือเห็นว่าบริษัทหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องในประกาศฉบับนี้ หรือเมื่อบริษัทเห็นว่าสามารถปฏิบัติตามที่ท่านได้ใช้สิทธิขอถอนความยินยอมหรือใช้สิทธิขอคัดค้านตามที่แจ้งไว้ข้างต้นแล้ว

 9.6 สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูล ท่านมีสิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลชั่วคราวในกรณีที่บริษัทอยู่ระหว่างตรวจสอบตามคำร้องขอใช้สิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล หรือขอคัดค้านของท่าน หรือกรณีอื่นใด ที่บริษัทหมดความจำเป็นและต้องลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องแต่ท่านขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลแทน

9.7 สิทธิขอให้แก้ไขข้อมูล ท่านมีสิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้งนี้ หากท่านประสงค์จะขอแก้ไขข้อมูลเกี่ยวกับภาพ บริษัทจะทำการแก้ไขเฉพาะรายการข้อมูลที่เกี่ยวกับภาพของท่านเพื่อให้ถูกต้อง ตามความจำเป็นของบริษัทที่ชอบด้วยกฎหมายและในกรณีที่การดำเนินการตามคำขอก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายบริษัทอาจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากท่าน

     9.8 สิทธิร้องเรียน ท่านมีสิทธิร้องเรียนต่อบริษัทผ่าน เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: (Data Protection Officer) อีเมล : dpo@vincent.clinic หรือผู้มีอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากท่านเชื่อว่าการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เป็นการกระทำในลักษณะที่ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

10. วิธีการใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูล

10.1 การร้องขอใด ๆ เพื่อการใช้สิทธิของท่านจะต้องกระทำเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งบริษัทได้จัดให้มีขึ้นในเว็บไซต์ของบริษัท หรือกรอกข้อมูลผ่าน แบบฟอร์มคำร้องขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject Request Form) ส่งมาที่อีเมล : dpo@vincent.clinic หรือ ทางไปรษณีย์ตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในแบบฟอร์มดังกล่าว

ทั้งนี้ บริษัทจะใช้ความพยายามอย่างดีที่สุดที่จะดำเนินการภายในระยะเวลาที่สมเหตุสมผล และไม่เกินระยะเวลา 30 วัน นับแต่ได้รับคำร้อง อย่างไรก็ดี บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่าน ในกรณีที่มีข้อยกเว้นตามกฎหมาย หรือบริษัทจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาได้ หรือมีผลกระทบกับการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญา หรือเป็นการปฏิเสธตามคำสั่งศาล หรือหากบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านจะส่งผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น โดยบริษัทจะดำเนินการบันทึกการปฏิเสธคำร้องขอพร้อมด้วยเหตุผลไว้ ทั้งนี้ หากปรากฏอย่างชัดเจนว่าคำร้องขอของท่านเป็นคำร้องขอที่ไม่สมเหตุสมผล หรือคำร้องขอฟุ่มเฟือยบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินการตามที่ท่านร้องขอในอัตราที่บริษัทกำหนด

10.2 บริษัทจะพยายามอย่างเต็มที่ตามความสามารถของระบบงานที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกและดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน เว้นแต่จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า การดำเนินการตามคำร้องขอนั้นเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ใช้งานรายอื่น หรือเป็นการขัดต่อกฎหมาย หรือนโยบายความปลอดภัยของระบบ หรือกรณีที่เป็นการพ้นวิสัยในทางปฏิบัติตามคำร้องขอ เนื่องมาจากเหตุทางเทคนิค

10.3 ในบางสถานการณ์บริษัทอาจขอให้ท่านพิสูจน์ตัวตนของท่านก่อนการใช้สิทธิเพื่อความปลอดภัยของท่านเอง โดยบางครั้งอาจเกิดข้อจำกัดในการขอใช้สิทธิของท่านบางประการ ซึ่งบริษัทจะทำการชี้แจงให้ท่านทราบหากไม่สามารถปฏิบัติตามคำร้องขอใช้สิทธิของท่านได้

10.4 หากเป็นกรณีกิจกรรมที่บริษัททำการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามฐานการปฏิบัติตามสัญญา หรือฐานเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย หรือฐานการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย บริษัทมีสิทธิปฏิเสธการใช้สิทธิของท่านในกรณีที่ท่านใช้สิทธิโต้แย้ง หรือขอระงับการใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่าน และขอให้ดำเนินการลบ หรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่านได้ รวมถึงบริษัทอาจปฏิเสธที่จะดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน หากบริษัท มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บข้อมูลต่อไป เพื่อการกระทำการ ดังต่อไปนี้

(1) เพื่อทำรายการใด ๆ ตามวัตถุประสงค์ที่บริษัท เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น หรือดำเนินการตามสมควรภายในขอบเขตความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างบริษัทกับท่าน

(2) เพื่อใช้เป็นการภายในตามสมควรโดยสอดคล้องกับความคาดหมายของท่านที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบริษัท และสอดคล้องกับบริบทที่ท่านได้ให้ข้อมูลดังกล่าวไว้แต่แรก และเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ข้อบังคับ กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง

10.5 ในกรณีที่ท่านไม่ประสงค์ถูกบันทึกภาพ ท่านมีสิทธิที่จะขอรับและติดสัญลักษณ์ “ห้ามถ่ายภาพบุคคล” ตลอดการร่วมประชุม ทั้งนี้ บริษัทขอเรียนให้ทราบว่าด้วยลักษณะการจัดกิจกรรมอาจมีการถ่ายภาพบรรยากาศกิจกรรม ซึ่งแม้ท่านขอรับสัญลักษณ์ดังกล่าวแล้วก็ตาม ก็อาจปรากฎภาพของท่านเป็นส่วนประกอบของภาพได้ ดังนั้น บริษัทจึงแนะนำให้ท่านแจ้งต่อบริษัทเพื่อปฏิเสธขณะที่บริษัทกำลังบันทึกภาพ หรือหลีกเลี่ยงบริเวณที่บันทึกภาพ หรือไม่เข้าร่วมกิจกรรมขณะมีการบันทึกภาพ หรือภาพเคลื่อนไหว

10.6 บริษัทจำเป็นต้องแจ้งให้ทราบว่า การขอใช้สิทธิของท่านบางประการ อาจเกิดข้อจำกัด ในกรณีที่ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นข้อมูลที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อบริษัทในการปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมาย เพื่อการชำระเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นกู้ ตัวแทนของบุคคลดังกล่าว และการบริการจัดการทะเบียนผู้ถือหุ้น และข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่จำเป็นต่อบริษัทในการปฏิบัติตามสัญญา หรือข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิ และหน้าของผู้ออกหุ้น ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ หากท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นแก่บริษัท หรือใช้สิทธิ ขอให้ลบ ระงับการใช้ข้อมูล บริษัทอาจไม่สามารถบริการหรือจัดการสัญญาระหว่างท่านกับบริษัท รวมถึงสิทธิประโยชน์ที่ท่านอาจจะได้รับ

11. มาตรการการรักษาความปลอดภัย

บริษัท กำหนดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการสูญหาย การเข้าถึง การใช้ การเปลี่ยนแปลง การแก้ไข หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่มีอำนาจหรือโดยขัดต่อกฎหมาย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศของบริษัท (Information Security Policy) และนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Policy)

12. การแก้ไขเปลี่ยนแปลง

บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไข ทบทวน และปรับปรุงประกาศความเป็นส่วนตัวที่จะมีผลบังคับใช้ ณ เวลาที่ได้เผยแพร่ต่อไปโดยมิต้องแจ้งให้ท่านทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ เพื่อความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการให้บริการ ดังนั้น บริษัทจึงขอแนะนำให้ท่านอ่านประกาศความเป็นส่วนตัวทุกครั้งที่เยี่ยมชม หรือใช้บริการจากบริษัท หรือเว็บไซต์ของบริษัท ที่ https://vincent.clinic/th 

2.5 ประกาศความเป็นส่วนตัวสำหรับคู่ค้า และผู้เกี่ยวข้อง
1. วัตถุประสงค์

บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (“บริษัท”) ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของคู่ค้า และผู้ที่เกี่ยวข้อง (ซึ่งรวมเรียกว่า “ท่าน”) และเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าเราจะให้ความคุ้มครองและปฏิบัติต่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน โดยสอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท จึงได้จัดทำนโยบายฉบับนี้ขึ้น เพื่อแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่านทราบรายละเอียดการดำเนินการกับข้อมูลส่วนบุคคลไม่ว่าจะเป็นการเก็บรวบรวม ใช้และเปิดเผย (รวมเรียกว่า “การประมวลผล”) ซึ่งอาจเกิดขึ้นตลอดจนแจ้งให้ท่านทราบถึงสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน และช่องทางการติดต่อเรา

2. คำนิยามและศัพท์

2.1 บริษัท หมายถึง บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

2.2 คู่ค้า หมายถึง นิติบุคคล/บุคคลธรรมดา ที่จะขายสินค้าหรือให้บริการแก่บริษัท เช่น คู่สัญญา ผู้ขาย ผู้ให้บริการ ที่ปรึกษา ผู้รับเหมา ผู้รับจ้าง เป็นต้น และให้หมายความรวมถึงบุคคลธรรมดาที่เกี่ยวข้องหรือเป็นตัวแทนของนิติบุคคลซึ่งเป็นคู่ค้า เช่น ผู้บริหาร กรรมการ ตัวแทน ผู้แทน หรือบุคคลธรรมดาอื่นใดและบุคคลที่มีข้อมูลส่วนบุคคลปรากฎในเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการทำธุรกรรมระหว่างบริษัทกับนิติบุคคลนั้น เช่น ผู้ประสานงาน ผู้ส่งสินค้า ผู้สั่งจ่ายเช็ค เป็นต้น

2.3 ผู้เกี่ยวข้อง หมายถึง บุคคลอื่นที่มิใช่ คู่ค้า หรือผู้ปฏิบัติงาน ที่มีความเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ เช่น ผู้ปฏิบัติงานในหน่วยราชการ ซึ่งกำกับการประกอบธุรกิจหรือกำกับดูแลการปฏิบัติตามกฎหมาย

2.4 ท่าน หมายถึง เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

3. วัตถุประสงค์การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัท อาจดำเนินการประมวลผลข้อมูลของท่านเพื่อวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้

1 เพื่อการดำเนินการตามกระบวนการต่างๆ ก่อนเข้าทำสัญญา เช่น

(1) การเสนอราคา การเจรจาต่อรอง

(2) การพิจารณาคุณสมบัติของคู่ค้า/ผู้ขาย, การคัดเลือกคู่ค้า/ผู้ขาย

(3) การขึ้นทะเบียนคู่ค้ารายใหม่/ผู้ขายรายใหม่

(4) การจัดเตรียมข้อมูลก่อนเข้าสู่กระบวนการ การจัดซื้อจัดจ้าง เช่น การสืบและจัดทำราคากลาง, การระบุชื่อและรายละเอียดของคู่ค้าในระบบภายในของบริษัท เป็นต้น การตรวจสอบอำนาจ การมอบอำนาจและการรับมอบอำนาจในการยื่นเอกสารเสนอราคาของผู้เสนอราคา และการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เสนอราคา ตามกระบวนการจัดชื้อจัดจ้าง

ฐานทางกฎหมาย : ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย

2. เพื่อความจำเป็นในการทำธุรกรรมระหว่างคู่ค้า/ผู้ขาย เช่น

(1) การตรวจสอบยืนยันตัวตน การตรวจสอบอำนาจ การมอบอำนาจ และการรับมอบอำนาจ รวมทั้งเพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง

(2) การดำเนินการตามกฎ ระเบียบ และกระบวนการภายในต่างๆของบริษัท

(3) การพิจารณา จัดทำ และลงนามในสัญญาทางการค้า

(4) การปฏิบัติตามสัญญาซื้อขาย สัญญาว่าจ้าง สัญญาบริการ สัญญาทางการค้าอื่นๆ การชำระราคา การจัดส่ง-รับส่งข้อมูลระหว่างกัน รวมถึงกระบวนการขอและพิจารณาเอกสารที่เกี่ยวข้องอันอาจมีข้อมูลส่วนบุคคลของกรรมการบริษัทซึ่งเป็นบุคคลภายนอกหรือผู้แทนจากหน่วยงานรัฐ

(5) การส่งมอบงาน การตรวจสอบและตรวจรับงานตามสัญญาระหว่างบริษัทและผู้รับจ้างบริการ การออกหนังสือรับรองผลงาน

ฐานทางกฎหมาย : ฐานการปฏิบัติตามสัญญา / ฐานประโยชน์ โดยชอบด้วยกฎหมาย

3.  เพื่อการติดต่อสื่อสารทางธุรกิจ เช่น ติดต่อ นัดพบ เข้าพบประชุม ร่วมพบปะพูดคุยทางธุรกิจเกี่ยวกับบริการ และโครงการต่างๆ รวมถึงการบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับการติดต่อดังกล่าว

ฐานทางกฎหมาย : ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย

4.  เพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรม เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐ กฎหมายว่าด้วยภาษีอากร กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการ

ฐานทางกฎหมาย : ฐานการปฏิบัติตามกฎหมาย

     5. เพื่อการสืบสวน สอบสวนเรื่องร้องเรียนภายในองค์กร การป้องกันการทุจริต หรือการดำเนินกระบวนการทางกฎหมายอื่นใด รวมทั้งการตรวจสอบและจัดการข้อร้องเรียน และข้อกล่าวหาที่เกี่ยวกับการดำเนินการของบริษัท หรือผู้ที่เกี่ยวข้องให้เกิดความโปร่งใส และความยุติธรรมกับทุกฝ่าย

ฐานทางกฎหมาย : ฐานความจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย

6. เพื่อการรักษาความปลอดภัยภายในบริเวณอาคารสำนักงาน คลังสินค้าให้เช่าของบริษัท หรือของคู่ค้า รวมถึงการแลกบัตรก่อนเข้าบริเวณพื้นที่ดังกล่าว การบันทึกภาพผู้มาติดต่อ ด้วยกล้องวงจรปิด (CCTV)

ฐานทางกฎหมาย :  ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย

7.  เพื่อปรับปรุงพัฒนาการให้บริการของคู่ค้ากับบริษัท เช่น การทำแบบสอบถามความพึงพอใจ แจ้งผลการประเมินคู่ค้า

ฐานทางกฎหมาย :  ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย

4. ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีการเก็บรวบรวม
         บริษัท ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ดังต่อไปนี้

     4.1 ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป

4.1.1 ข้อมูลที่ใช้ระบุตัวตน เช่น ชื่อ นามสกุล เลขประจำตัวบัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด เพศ อายุ ลายมือชื่อ ภาพถ่าย เป็นต้น

4.1.2 ข้อมูลติดต่อ (Contact Data) เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล ตำแหน่งที่อยู่ และบัญชีการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ Line ID เป็นต้น

4.1.3 ข้อมูลทางการเงิน (Financial Data) เช่น หมายเลขบัญชีธนาคาร เป็นต้น

4.1.4 ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ของบริษัท รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งาน Application ข้อมูลในการเข้าชมเว็บไซต์ เช่น ประวัติการเข้าชมเว็บไซต์ ข้อมูลที่อยู่ IP (IP Address) เป็นต้น

     4.2 ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความละเอียดอ่อน

โดยทั่วไปแล้ว บริษัท ไม่มีความประสงค์จะเก็บรวบรวม ใช้ข้อมูลศาสนาที่ปรากฎในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของท่าน เพื่อวัตถุประสงค์ใดโดยเฉพาะ หากท่านได้มอบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่บริษัท ขอให้ท่านปกปิดข้อมูลดังกล่าว มีผลสมบูรณ์และบังคับใช้ได้ตามกฎหมายทุกประการ ทั้งนี้หากบริษัท ไม่สามารถปกปิดข้อมูลได้เนื่องจากข้อจำกัดทางเทคนิคบางประการ บริษัท จะเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลดังกล่าว เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเอกสารยืนยันตัวตนของท่านเท่านั้น

กรณีบริษัท จำเป็นต้องเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความละเอียดอ่อนของท่าน บริษัท จะขอความยินยอมโดยชัดแจ้ง จากท่านเป็นกรณีไป ทั้งนี้ เว้นแต่กฎหมายจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

5. ระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล

5.1 บริษัทจะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ตามประเภทข้อมูลส่วนบุคคลแต่ละประเภท เว้นแต่กฎหมายจะอนุญาตให้มีระยะเวลาการเก็บรักษาที่นานขึ้น ในกรณีที่ไม่สามารถระบุระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลได้ชัดเจน บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลไว้ตามระยะเวลาที่อาจคาดหมายได้ตามมาตรฐานของการเก็บรวบรวม (เช่น อายุความตามกฎหมายทั่วไปสูงสุด 10 ปี)

5.2 บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษา หรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาหรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น

5.3 กรณีที่บริษัทใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยขอความยินยอมจากท่าน บริษัทจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวจนกว่าท่านจะแจ้งขอยกเลิกความยินยอม และบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านเสร็จสิ้นแล้ว อย่างไรก็ดีบริษัทจะยังเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเท่าที่จำเป็นสำหรับบันทึกเป็นประวัติว่าท่านเคยยกเลิกความยินยอม เพื่อให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อคำขอของท่านในอนาคตได้

5.4 กรณีข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมโดยกล้องโทรทัศน์วงจรปิด บริษัทจะเก็บข้อมูล ดังนี้

(1) ในสถานการณ์ปกติ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอาจถูกเก็บไว้ไม่เกิน 30 วัน

(2) ในกรณีจำเป็น เช่น กรณีที่จำเป็นต้องใช้เป็นหลักฐานในการสืบสวน สอบสวน หรือการดำเนินคดี หรือ

กรณีที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลร้องขอ ข้อมูลส่วนบุคคลอาจถูกเก็บรักษาไว้เกินกว่า 30 วัน และ บริษัทจะดำเนินการลบข้อมูลดังกล่าวอย่างปลอดภัยเมื่อเสร็จสิ้นวัตถุประสงค์นั้น

6. การเปิดเผยข้อมูล

การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่บุคคลภายนอก เพื่อให้บุคคลเหล่านี้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน สำหรับกรณีดังต่อไปนี้

6.1 ผู้ให้บริการใดๆ ที่ปฏิบัติงานให้กับบริษัท หรือให้บริการแก่บริษัท ทั้งนี้รวมถึง ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ผู้บังคับบัญชา และผู้ปฏิบัติงานของบุคคลดังกล่าว

6.2 ผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการดูแลผลประโยชน์ใดๆ ของบริษัท

6.3 บุคคลผู้ติดต่อ และตัวแทนของบริษัท

6.4 สถาบันทางการเงิน และผู้ให้บริการรับชำระเงิน

6.5 หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย รัฐบาล ศาล หน่วยงานระงับข้อพิพาท ผู้มีอำนาจควบคุมของบริษัท ผู้ตรวจสอบบัญชีและบุคคลใดๆ ซึ่งแต่งตั้งหรือร้องขอโดยมีผู้อำนาจควบคุมของบริษัท ให้ทำการตรวจสอบกิจกรรมการดำเนินงานของบริษัท

6.6 บุคคลอื่นใดซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทใดๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรม

6.7 หน่วยงานป้องกันการทุจริตซึ่งใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อสืบหา และป้องกันการทุจริต และอาชญากรรมทางการเงินอื่นๆ

6.8 บุคคลใดๆ ที่บริษัท ได้รับคำสั่งจากท่านให้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้กับบุคคลดังกล่าว

ทั้งนี้ บริษัท จะไม่อนุญาตให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว และจะกำหนดให้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม

7. การส่งและ/หรือเปิดเผยข้อมูลไปต่างประเทศ

บริษัท ไม่มีการโอนถ่าย และ/หรือส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตบริษัท มีความจำเป็นต้องมีการโอนถ่าย และ/หรือส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศ บริษัทจะกำหนดมาตรฐานในการทำข้อตกลง และ/หรือสัญญาร่วมธุรกิจกับหน่วยงาน องค์กร ที่จะได้รับข้อมูลส่วนบุคคลนั้นให้มีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นที่ยอมรับและสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลนั้นจะได้รับการคุ้มครองอย่างปลอดภัย โดย

7.1 การส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังต่างประเทศจะต้องเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และบริษัท จะต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบ

7.2 การประมวลผลในระบบคลาวด์ (Cloud) บริษัทจะพิจารณาองค์กรที่มีมาตรฐานความมั่นคงปลอดภัยในระดับสากล และจะจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบการเข้ารหัส หรือวิธีการอื่นๆ ที่ไม่สามารถระบุตัวตนของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ เป็นต้น

8. สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทเคารพสิทธิส่วนบุคคลของท่าน และเปิดโอกาสให้ท่านสามารถเลือกวิธีการควบคุม หรือวิธีการที่บริษัทใช้ติดต่อท่าน โดยบริษัทจะปฏิบัติตามที่ท่านได้ร้องขอ เพื่อช่วยให้เกิดความโปร่งใส และเพื่อคุณภาพของข้อมูล และความถูกต้องของข้อมูล ท่านมีสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโดยท่านสามารถส่งคำขอให้บริษัททราบเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางที่บริษัทกำหนดในการดำเนินการตามสิทธิ ดังต่อไปนี้

     8.1 สิทธิขอถอนความยินยอม

หากท่านได้ให้ความยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน (ไม่ว่าจะเป็นความยินยอมที่ท่านให้ไว้ก่อนวันที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลใช้บังคับหรือ หลังจากนั้น) ท่านมีสิทธิที่จะถอนความยินยอมเมื่อใดก็ได้ตลอดระยะเวลาที่ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอยู่กับบริษัททั้งนี้ บริษัทขอแจ้งให้ท่านทราบว่า การเพิกถอนความยินยอมไม่ส่งผลกระทบต่อการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมไว้แล้วโดยชอบ เว้นแต่มีข้อจำกัดสิทธินั้นโดยกฎหมาย หรือโดยสภาพ ไม่สามารถถอนความยินยอมได้ หรือมีสัญญาระหว่างท่านกับบริษัทที่ให้ประโยชน์แก่ท่านอยู่ หรืออาจส่งผลให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์บางส่วนหรือทั้งหมดตามที่ระบุไว้ในเอกสารฉบับนี้ได้

     8.2 สิทธิขอเข้าถึงข้อมูล ท่านมีสิทธิขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท และขอให้บริษัททำสำเนาข้อมูลดังกล่าวให้แก่ท่าน รวมถึงขอให้บริษัทเปิดเผยว่าบริษัทได้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมาได้อย่างไร เว้นแต่กรณีที่บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่านตามกฎหมาย หรือคำสั่งของศาล หรือกรณีที่คำขอของท่านจะมีผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น

     8.3 สิทธิขอถ่ายโอนข้อมูล ท่านมีสิทธิขอให้โอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในกรณีที่บริษัทได้จัดทำข้อมูลส่วนบุคคลนั้นอยู่ในรูปแบบให้สามารถอ่านหรือใช้งานได้ด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติ และสามารถใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ รวมทั้งมีสิทธิขอให้บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นเมื่อสามารถทำได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ และมีสิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยัง ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นโดยตรง เว้นแต่ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะเหตุทางเทคนิคทั้งนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านข้างต้นต้องเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัท หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทจำเป็นต้องประมวลผล เพื่อให้ท่านสามารถใช้บริการของบริษัทได้ตามความประสงค์ซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาอยู่กับบริษัท หรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนใช้บริการ หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอื่นตามที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายกำหนด

     8.4 สิทธิขอคัดค้าน ท่านมีสิทธิขอคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในเวลาใดก็ได้ หากประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านทำขึ้นเพื่อการดำเนินงานที่จำเป็นภายใต้ประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นโดยไม่เกินขอบเขตที่ท่านสามารถคาดหมายได้อย่างสมเหตุสมผล หรือเพื่อดำเนินการตามภารกิจเพื่อสาธารณประโยชน์ หรือเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือสถิติหากท่านยื่นคัดค้าน บริษัทจะยังคงดำเนินการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไปเฉพาะที่บริษัทสามารถแสดงเหตุผลตามกฎหมายได้ว่ามีความสำคัญยิ่งกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานของท่าน หรือเป็นไปเพื่อการยืนยันสิทธิตามกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมาย หรือการต่อสู้ในการฟ้องร้องตามกฎหมาย ตามแต่ละกรณี

     8.5 สิทธิขอให้ลบหรือทำลายข้อมูล ท่านมีสิทธิขอลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนของท่านได้ หากท่านเชื่อว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกประมวลผลโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หรือเห็นว่าบริษัทหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องในประกาศฉบับนี้ หรือเมื่อบริษัทเห็นว่าสามารถปฏิบัติตามที่ท่านได้ใช้สิทธิขอถอนความยินยอมหรือใช้สิทธิขอคัดค้านตามที่แจ้งไว้ข้างต้นแล้ว

     8.6 สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูล ท่านมีสิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลชั่วคราวในกรณีที่บริษัทอยู่ระหว่างตรวจสอบตามคำร้องขอใช้สิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล หรือขอคัดค้านของท่าน หรือกรณีอื่นใด ที่บริษัทหมดความจำเป็นและต้องลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องแต่ท่านขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลแทน

     8.7 สิทธิขอให้แก้ไขข้อมูล ท่านมีสิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้งนี้ หากท่านประสงค์จะขอแก้ไขข้อมูลเกี่ยวกับภาพ บริษัทจะทำการแก้ไขเฉพาะรายการข้อมูลที่เกี่ยวกับภาพของท่านเพื่อให้ถูกต้อง ตามความจำเป็นของบริษัทที่ชอบด้วยกฎหมายและในกรณีที่การดำเนินการตามคำขอก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายบริษัทอาจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากท่าน

     8.8 สิทธิร้องเรียน ท่านมีสิทธิร้องเรียนต่อบริษัทผ่าน เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: (Data Protection Officer) อีเมล : dpo@vincent.clinic หรือผู้มีอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากท่านเชื่อว่าการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เป็นการกระทำในลักษณะที่ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

9. วิธีการใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูล

9.1 การร้องขอใด ๆ เพื่อการใช้สิทธิของท่านจะต้องกระทำเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งบริษัทได้จัดให้มีขึ้นในเว็บไซต์ของบริษัท หรือกรอกข้อมูลผ่าน แบบฟอร์มคำร้องขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject Request Form) ส่งมาที่อีเมล : dpo@vincent.clinic  หรือ ทางไปรษณีย์ตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในแบบฟอร์มดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทจะใช้ความพยายามอย่างดีที่สุดที่จะดำเนินการภายในระยะเวลาที่สมเหตุสมผล และไม่เกินระยะเวลา 30 วัน นับแต่ได้รับคำร้อง อย่างไรก็ดี บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่าน ในกรณีที่มีข้อยกเว้นตามกฎหมาย หรือบริษัท จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาได้ หรือมีผลกระทบกับการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญา หรือเป็นการปฏิเสธตามคำสั่งศาล หรือหากบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านจะส่งผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น โดยบริษัทจะดำเนินการบันทึกการปฏิเสธคำร้องขอพร้อมด้วยเหตุผลไว้ ทั้งนี้ หากปรากฏอย่างชัดเจนว่าคำร้องขอของท่านเป็นคำร้องขอที่ไม่สมเหตุสมผล หรือคำร้องขอฟุ่มเฟือยบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินการตามที่ท่านร้องขอในอัตราที่บริษัทกำหนด

9.2 บริษัทจะพยายามอย่างเต็มที่ตามความสามารถของระบบงานที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกและดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน เว้นแต่จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า การดำเนินการตามคำร้องขอนั้นเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ใช้งานรายอื่น หรือเป็นการขัดต่อกฎหมาย หรือนโยบายความปลอดภัยของระบบ หรือกรณีที่เป็นการพ้นวิสัยในทางปฏิบัติตามคำร้องขอ เนื่องมาจากเหตุทางเทคนิค

9.3 ในบางสถานการณ์บริษัทอาจขอให้ท่านพิสูจน์ตัวตนของท่านก่อนการใช้สิทธิเพื่อความปลอดภัยของท่านเองโดยบางครั้งอาจเกิดข้อจำกัดในการขอใช้สิทธิของท่านบางประการ ซึ่งบริษัทจะทำการชี้แจงให้ท่านทราบหากไม่สามารถปฏิบัติตามคำร้องขอใช้สิทธิของท่านได้

9.4 หากเป็นกรณีกิจกรรมที่บริษัททำการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามฐานการปฏิบัติตามสัญญา หรือฐานเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย หรือฐานการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย บริษัทมีสิทธิปฏิเสธการใช้สิทธิของท่านในกรณีที่ท่านใช้สิทธิโต้แย้ง หรือขอระงับการใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่าน และขอให้ดำเนินการลบ หรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่านได้ รวมถึงบริษัทอาจปฏิเสธที่จะดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน หากบริษัท มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บข้อมูลต่อไป เพื่อการกระทำการ ดังต่อไปนี้

(1) เพื่อทำรายการใด ๆ ตามวัตถุประสงค์ที่บริษัท เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น หรือดำเนินการตามสมควรภายในขอบเขตความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างบริษัทกับท่าน

(2) เพื่อใช้เป็นการภายในตามสมควรโดยสอดคล้องกับความคาดหมายของท่านที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบริษัท และสอดคล้องกับบริบทที่ท่านได้ให้ข้อมูลดังกล่าวไว้แต่แรก และเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ข้อบังคับ กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง

9.5 ในกรณีที่ท่านไม่ประสงค์ถูกบันทึกภาพ ท่านมีสิทธิที่จะขอรับและติดสัญลักษณ์ “ห้ามถ่ายภาพบุคคล” ตลอดการร่วมประชุม ทั้งนี้ บริษัทขอเรียนให้ทราบว่าด้วยลักษณะการจัดกิจกรรมอาจมีการถ่ายภาพบรรยากาศกิจกรรม ซึ่งแม้ท่านขอรับสัญลักษณ์ดังกล่าวแล้วก็ตาม ก็อาจปรากฎภาพของท่านเป็นส่วนประกอบของภาพได้ ดังนั้น บริษัทจึงแนะนำให้ท่านแจ้งต่อบริษัทเพื่อปฏิเสธขณะที่บริษัทกำลังบันทึกภาพ หรือหลีกเลี่ยงบริเวณที่บันทึกภาพ หรือไม่เข้าร่วมกิจกรรมขณะมีการบันทึกภาพ หรือภาพเคลื่อนไหว

9.6 บริษัทจำเป็นต้องแจ้งให้ทราบว่า การขอใช้สิทธิของท่านบางประการ อาจเกิดข้อจำกัด ในกรณีที่ข้อมูลส่วนบุคคลนั้น เป็นข้อมูลที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อบริษัทในการปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมาย เพื่อการชำระเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นกู้ ตัวแทนของบุคคลดังกล่าว และการบริการจัดการทะเบียนผู้ถือหุ้น และข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่จำเป็นต่อบริษัทในการปฏิบัติตามสัญญา หรือข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิ และหน้าของผู้ออกหุ้น ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ หากท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นแก่บริษัท หรือใช้สิทธิ ขอให้ลบ ระงับการใช้ข้อมูล บริษัทอาจไม่สามารถบริการหรือจัดการสัญญาระหว่างท่านกับบริษัท รวมถึงสิทธิประโยชน์ที่ท่านอาจจะได้รับ

10. มาตรการการรักษาความปลอดภัย

บริษัท กำหนดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการสูญหาย การเข้าถึง การใช้ การเปลี่ยนแปลง การแก้ไข หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่มีอำนาจหรือโดยขัดต่อกฎหมาย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศของบริษัท (Information Security Policy) และนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Policy)

11. การแก้ไขเปลี่ยนแปลง

บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไข ทบทวน และปรับปรุงประกาศความเป็นส่วนตัวที่จะมีผลบังคับใช้ ณ เวลาที่ได้เผยแพร่ต่อไปโดยมิต้องแจ้งให้ท่านทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ เพื่อความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการให้บริการ ดังนั้น บริษัทจึงขอแนะนำให้ท่านอ่านประกาศความเป็นส่วนตัวทุกครั้งที่เยี่ยมชม หรือใช้บริการจากบริษัทหรือเว็บไซต์ของบริษัท ที่ https://vincent.clinic/th 

12. ช่องทางการติดต่อ

กรณีที่เจ้าของข้อมูลมีข้อสงสัยใด ๆ หรือต้องการใช้สิทธิตามที่กำหนดไว้ในนโยบายนี้ หรือสอบถามเพิ่มเติม ผ่านช่องทาง ดังนี้

1. ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด อาคาร Exchange Tower ( เอ็กซ์เชนจ์ทาวเวอร์ ) ยูนิต 3W/F ชั้น 3 เลขที่ 388 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110

โทรศัพท์: 066 017 4488

อีเมล : dpo@vincent.clinic

เว็บไซต์บริษัท  https://vincent.clinic/th 

     2. เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด อาคาร Exchange Tower ( เอ็กซ์เชนจ์ทาวเวอร์ ) ยูนิต 3W/F ชั้น 3 เลขที่ 388 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110

โทรศัพท์: 066 017 4488

อีเมล : dpo@vincent.clinic

เว็บไซต์บริษัท https://vincent.clinic/th 

นโยบายคุกกี้

คำนำ

บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (บริษัท) อาจมีการใช้คุกกี้หรือเทคโนโลยีอื่นใดที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน (รวมเรียกว่า “คุกกี้”) บนเว็บไซต์และ/หรือแอปพลิเคชัน (รวมเรียกว่า “บริการ”) เพื่อช่วยให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีจากการใช้บริการ และช่วยให้สามารถพัฒนาคุณภาพของบริการให้ตอบสนองต่อความต้องการของท่านได้มากยิ่งขึ้น​

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากนโยบายการใช้คุกกี้ฉบับนี้ จะใช้งานคุกกี้ภายใต้รายละเอียดที่ระบุในคำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวซึ่งท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก https://vincentclinicofficial.com/

1. คุกกี้ คืออะไร

คุกกี้ คือ ไฟล์ข้อความขนาดเล็กที่ถูกดาวน์โหลดไปยังอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์มือถือของท่าน ซึ่งทำหน้าที่บันทึกข้อมูลและการตั้งค่าการใช้งานเว็บไซต์และ/หรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น ข้อมูลการตั้งค่าภาษา ข้อมูลสถานะการเข้าใช้บริการในปัจจุบันของท่าน ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการเข้าใช้บริการที่ท่านชื่นชอบ เพื่อช่วยให้ท่านสามารถเข้าใช้งานเว็บไซต์และ/หรือแอปพลิเคชันได้อย่างต่อเนื่อง โดยคุกกี้ไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์มือถือของท่าน และเนื้อหาในคุกกี้จะถูกเรียกออกมาดูหรืออ่านได้โดยบริการที่สร้างคุกกี้ดังกล่าวเท่านั้น

2. ประโยชน์ของคุกกี้

คุกกี้จะบอกให้ทราบว่าท่านเข้าใช้งานส่วนใดในเว็บไซต์และ/หรือแอปพลิเคชันเพื่อที่จะสามารถมอบประสบการณ์การใช้บริการที่ดีขึ้นและตรงกับความต้องการของท่านได้ นอกจากนี้ การบันทึกการตั้งค่าแรกของบริการด้วยคุกกี้จะช่วยให้ท่านเข้าถึงบริการด้วยค่าที่ตั้งไว้ทุกครั้งที่ใช้งาน ยกเว้นในกรณีที่คุกกี้ถูกลบซึ่งจะทำให้การตั้งค่าทุกอย่างกลับไปที่ค่าเริ่มต้น

3. ประเภทของคุกกี้

     3.1 คุกกี้ที่จำเป็น (Necessary)

ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

     3.2 คุกกี้ในส่วนวิเคราะห์ (Analytics)

คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

3.2.1 คุกกี้เพื่อการโฆษณา (Advertisement)

คุกกี้ประเภทนี้เป็นคุกกี้ที่เกิดจากการเชื่อมโยงเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม ซึ่งเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานและเว็บไซต์ที่ท่านได้เข้าเยี่ยมชม เพื่อนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่นที่ไม่ใช่เว็บไซต์ของ Vincent Clinic ทั้งนี้ หากท่านปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะไม่ส่งผลต่อการใช้งานเว็บไซต์ของ Vincent Clinic แต่จะส่งผลให้การนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่น ๆ ไม่สอดคล้องกับความสนใจของท่าน

ทั้งนี้ ในกรณีที่จะใช้คุกกี้ในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อการโฆษณา จะขอความยินยอมจากท่านหรือดำเนินการตามที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด

4. การตั้งค่าและการปิดการทำงานคุกกี้

ท่านสามารถเลือกเปิดการทำงานของคุกกี้ทุกประเภท หรือเลือกปิดการทำงานของคุกกี้ทุกประเภทได้ ทางเลือกใดทางเลือกหนึ่ง ตามความต้องการของท่านnเมื่อท่านเลือกปิดการทำงานของคุกกี้ โดยการตั้งค่าเบราว์เซอร์ของท่าน และตั้งค่าความเป็นส่วนตัวเพื่อระงับการรวบรวมข้อมูลโดยคุกกี้ในอนาคต (รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถศึกษาได้จาก AboutCookies.org)ท่านยังคงเข้าใช้งานเว็บไซต์และ/หรือแอปพลิเคชันได้ต่อไป แต่ผลจากการปิดการทำงานของคุกกี้ดังกล่าวอาจทำให้ท่านใช้งานเว็บไซต์และ/หรือแอปพลิเคชันบางฟังก์ชันหรือทั้งหมดของบริการได้อย่างไม่ราบรื่น

5. การเปลี่ยนแปลงนโยบายคุกกี้

อาจทำการเปลี่ยนแปลงนโยบายการใช้คุกกี้นี้เป็นครั้งคราว เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่เกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน และเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง จะแจ้งให้ท่านทราบถึงการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใด ๆ ด้วยช่องทางที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ท่านตรวจสอบทบทวนนโยบายการใช้คุกกี้นี้เป็นครั้งคราว

6.  ช่องทางการติดต่อบริษัท
     1. ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด อาคาร Exchange Tower ( เอ็กซ์เชนจ์ทาวเวอร์ ) ยูนิต 3W/F ชั้น 3 เลขที่ 388 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110
โทรศัพท์: 066 017 4488
อีเมล : dpo@vincent.clinic
เว็บไซต์บริษัท https://vincent.clinic/th 
     2. เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด อาคาร Exchange Tower ( เอ็กซ์เชนจ์ทาวเวอร์ ) ยูนิต 3W/F ชั้น 3 เลขที่ 388 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110
โทรศัพท์: 066 017 4488
อีเมล : dpo@vincent.clinic
เว็บไซต์บริษัท https://vincent.clinic/th  
นโยบายการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลและนโยบายการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคล
1. คำนำ

บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (“บริษัท”) จัดทำนโยบายเรื่อง นโยบายการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลส่วนบุคคล และนโยบายการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคล (“นโยบายฯ”) ฉบับนี้ขึ้น เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง และให้หมายความรวมถึงกฎหมายฉบับแก้ไขเพิ่มเติมใดๆ ในอนาคต (“กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล”) เพื่ออธิบายให้ท่านทราบถึงนโยบายและแนวทางปฏิบัติของบริษัทเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่ถูกเก็บรวบรวม แหล่งที่มาและการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล ระยะเวลาเก็บรักษา รวมถึงการทำลายข้อมูลส่วนบุคคล
นโยบายฯ ฉบับนี้ครอบคลุมระบบการเก็บข้อมูลทั้งรูปแบบกายภาพ และอิเล็กทรอนิกส์ของบริษัท รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทจัดเก็บผ่านช่องทางต่างๆ เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน เครือข่ายสังคมของบุคคลที่สามจุดให้บริการ และกิจกรรมต่าง ๆ นอกจากนี้ บริษัทอาจรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ หรือจากบุคคลภายนอก เช่น การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากแหล่งข้อมูลสาธารณะ แหล่งข้อมูลทางการค้า เป็นต้น ทั้งนี้ หากท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลบางประการที่ระบุว่าเป็นข้อมูลที่จำเป็นกับการให้บริการหรือการให้สิทธิประโยชน์บางประการแก่บริษัท บริษัทอาจไม่สามารถให้บริการหรือสิทธิประโยชน์นั้น ๆ แก่ท่าน

2. ข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกเก็บรวมรวบ

บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเท่าที่จำเป็น โดยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่ถูกเก็บรวบรวมและประมวลผลภายใต้ประกาศฯ ฉบับนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้ไว้กับบริษัทโดยตรง หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมจากท่านโดยอัตโนมัติ หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาจากบุคคลภายนอก ได้แก่

     2.1 ข้อมูลติดต่อส่วนบุคคล

(1) ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด อายุ เพศ เลขบัตรประจำตัวประชาชน รูปถ่าย และลายมือชื่อ เป็นต้น

(2) ข้อมูลการติดต่อ เช่น ที่อยู่อาศัย หมายเลขโทรศัพท์ โทรสาร อีเมล ไอดีผู้ใช้สำหรับแอปพลิเคชั่น (Line ID) ข้อมูลผู้ที่สามารถติดต่อได้ เป็นต้น

(3) ข้อมูลทางธุรกรรม เช่น ประวัติการรับบริการต่าง ๆ รายละเอียดการชำระเงิน บัญชีธนาคาร ประวัติการทำสัญญาต่าง ๆ (ถ้ามี) เป็นต้น

(4) ข้อมูลทางการตลาด อาทิ ความพึงพอใจของท่านต่อบริการที่ได้รับ และความเห็นต่อการให้บริการของพนักงาน เจ้าหน้าที่ ที่ให้บริการ

(5) ข้อมูลด้านเทคนิค ข้อมูลคอมพิวเตอร์/อุปกรณ์เคลื่อนที่ใด ๆ เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ทางเทคโนโลยีอื่นใดที่ท่านใช้เพื่อเข้าถึงหนึ่งในเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของบริษัท เช่น ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ (Log) หมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ (IP Address) ชนิดของระบบปฏิบัติการ ชนิดและเวอร์ชั่นของเว็บเบราว์เซอร์ และข้อมูลที่บริษัทได้เก็บรวบรวมผ่านคุกกี้ (Cookies) หรือเทคโนโลยีอื่นที่คล้ายคลึงกัน เป็นต้น

(6) ข้อมูลจากการใช้เว็บไซต์/การติดต่อสื่อสารเมื่อท่านใช้เว็บไซต์ของบริษัท บริษัทจะใช้เทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลอัตโนมัติเพื่อเก็บข้อมูลบางประการเกี่ยวกับการดำเนินการของท่าน เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่เว็บไซต์ ความเห็นของผู้ใช้งานข้อมูลใด ๆ ที่ท่านเปิดเผยแก่บริษัทโดยสมัครใจเกี่ยวกับประสบการณ์การใช้สินค้าและบริการของบริษัท เพจหรือเนื้อหาและระยะเวลาที่ท่านอ่าน และข้อมูลและสถิติอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน เช่น จำนวนครั้งของการตอบสนองต่อเนื้อหา ความผิดพลาดของการดาวน์โหลดและระยะเวลาในการเยี่ยมชมเพจต่าง ๆ เป็นต้น

(7) ข้อมูลอื่น ๆ เช่น การถ่ายภาพหรือบันทึกภาพเคลื่อนไหวในเหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านกล้องวงจรปิด (CCTV) เป็นต้น

     2.2 ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว

บริษัท จะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวเพียงเท่าที่จำเป็น เมื่อบริษัทมีความจำเป็นต้องประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวของท่านเนื่องจากสาเหตุใดก็ตาม บริษัทจะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งเพื่อดำเนินการประเมินและการประมวลผลโดยสมัครใจ เช่น เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด โดยอาจผ่านทางช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบออนไลน์ หรือ ออฟไลน์ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมายกำหนด

     2.3 ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เยาว์ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ

บริษัท จะไม่ร้องขอหรือจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลจากผู้เยาว์ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ หากบริษัท พบว่าได้จัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลจากผู้เยาว์ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะโดยไม่ได้เจตนา บริษัท จะลบข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เยาว์ออกจากระบบเก็บข้อมูลทันที อย่างไรก็ตามบริษัท อาจจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับผู้เยาว์ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะจากบิดามารดาหรือผู้ปกครองโดยตรงและเมื่อได้รับความยินยอมอย่างชัดแจ้งจากบุคคลดังกล่าว

3. แหล่งที่มาและการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัท เก็บรวบรวมและรับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านผ่าน 2 ช่องทางหลัก ดังนี้

 3.1 ข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้ไว้กับบริษัทโดยตรง โดยบริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากขั้นตอนการให้บริการดังนี้

(1) เมื่อท่านลงทะเบียนบัญชีเพื่อใช้บริการกับบริษัท หรือเมื่อท่านยื่นคำร้องขอใช้สิทธิต่าง ๆ กับบริษัท รวมถึงแบบฟอร์มการลงทะเบียนรูปแบบอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน ไม่ว่าเป็นการเก็บรวบรวมผ่านไปรษณีย์ โทรศัพท์ การออกงานส่งเสริมการขายหรือกิจกรรมต่าง ๆ เป็นต้น

(2) จากเว็บไซต์ของบริษัท และเว็บไซต์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น Google, Facebook เป็นต้น

(3) จาก Google Form ซึ่งบริษัทสร้างขึ้น

(4) จากเว็บไซต์ของบริษัทสำหรับมือถือ/อุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ หรือแอปพลิเคชัน (Mobile Application) ต่าง ๆ

(5) จากการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยอัตโนมัติผ่านทางช่องทางต่าง ๆ เช่น การใช้คุกกี้ (Cookies) หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน รายละเอียดเพิ่มเติมโปรดดู นโยบายการใช้คุกกี้

(6) จากอีเมล จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เนื้อหาและข้อความอื่น ๆ ทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีการติดต่อสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างท่านและบริษัท

     3.2 ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับจากบุคคลภายนอก

บริษัท อาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากบุคคลภายนอก เช่น การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากแหล่งข้อมูลสาธารณะ แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจของท่าน แหล่งข้อมูลทางการค้า การวิจัยทางการตลาด เครือข่ายสังคมของบุคคลที่สาม เช่น Facebook, Google, YouTube เป็นต้น

4. ระยะเวลาเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัท จะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดในการประมวลผลส่วนบุคคลนั้น ๆ โดยการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลจะเปลี่ยนแปลงไปโดยขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่กำหนดในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล นอกจากนี้ บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลเป็นระยะเวลาตามที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกำหนด (ถ้ามี) โดยคำนึงถึงอายุความตามกฎหมายสำหรับการดำเนินคดีที่อาจจะเกิดขึ้นจากหรือเกี่ยวกับเอกสารหรือข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมไว้ในแต่ละรายการ และโดยคำนึงถึงแนวปฏิบัติของบริษัท และของภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องสำหรับข้อมูลส่วนบุคคลแต่ละประเภทเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ โดยทั่วไปบริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันที่นิติสัมพันธ์ระหว่างท่านกับบริษัทสิ้นสุดลง อย่างไรก็ดี บริษัทอาจเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นระยะเวลาเกินกว่าระยะเวลาดังกล่าว หากกฎหมายอนุญาตหรือเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวจำเป็นต่อการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องทางกฎหมายของบริษัท

5. การเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล ตามหน่วยงานในองค์กร

5.1 บริษัทจะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์

ตามประเภทข้อมูลส่วนบุคคลแต่ละประเภท เว้นแต่กฎหมายจะอนุญาตให้มีระยะเวลาการเก็บรักษาที่นานขึ้น ในกรณีที่ไม่สามารถระบุระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลได้ชัดเจน บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลไว้ตามระยะเวลาที่อาจคาดหมายได้ตามมาตรฐานของการเก็บรวบรวม (เช่น อายุความตามกฎหมายทั่วไปสูงสุด 10 ปี)

5.2 บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษา หรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาหรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น

5.3 กรณีที่บริษัทใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยขอความยินยอมจากท่าน บริษัทจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวจนกว่าท่านจะแจ้งขอยกเลิกความยินยอม และบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านเสร็จสิ้นแล้ว อย่างไรก็ดีบริษัทจะยังเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเท่าที่จำเป็นสำหรับบันทึกเป็นประวัติว่าท่านเคยยกเลิกความยินยอม เพื่อให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อคำขอของท่านในอนาคตได้

5.4 กรณีข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมโดยกล้องโทรทัศน์วงจรปิด บริษัทจะเก็บข้อมูล ดังนี้

(1) ในสถานการณ์ปกติ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอาจถูกเก็บไว้ไม่เกิน 30 วัน

(2) ในกรณีจำเป็น เช่น กรณีที่จำเป็นต้องใช้เป็นหลักฐานในการสืบสวน สอบสวน หรือการดำเนินคดี หรือกรณีที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลร้องขอ ข้อมูลส่วนบุคคลอาจถูกเก็บรักษาไว้เกินกว่า 30 วัน และบริษัทจะดำเนินการลบข้อมูลดังกล่าวอย่างปลอดภัยเมื่อเสร็จสิ้นวัตถุประสงค์นั้น

ทั้งนี้ บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลตามมาตรการป้องกันด้านการบริหารจัดการ (Administrative Safeguard) มาตรการป้องกันด้านเทคนิค (Technical Safeguard) และมาตรการป้องกันทางกายภาพ (Physical Safeguard) เพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสม หมายความว่า มีการธำรงไว้ซึ่งความลับ (Confidentiality) ความครบถ้วนถูกต้อง (Integrity) และให้ข้อมูลอยู่ในลักษณะที่พร้อมใช้งาน (Availability) และเพื่อป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล นอกจากนี้ บริษัท ยังได้กำหนดให้พนักงาน บุคลากร บุคคลภายนอก และผู้รับข้อมูลจากบริษัท มีหน้าที่รักษาข้อมูลส่วนบุคคล ไว้เป็นความลับและมีความปลอดภัยตามมาตรการที่บริษัทกำหนด เมื่อต้องมีการดำเนินการใด ๆ กับข้อมูลส่วนบุคคล

6. การทำลายข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทและพนักงานบริษัทควรทบทวนข้อมูลส่วนบุคคลที่จัดเก็บอย่างสม่ำเสมอ ทั้งที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์และรูปแบบกระดาษ เพื่อพิจารณาการลบหรือทำลายข้อมูลดังกล่าว เมื่อใดก็ตามที่การเก็บรักษาไม่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้สำหรับข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวแล้ว หรือเมื่อเป็นไปตามกำหนดการการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นผู้รับผิดชอบและกำกับดูแลเกี่ยวกับการทำลายข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว

      6.1 แนวปฏิบัติทั่วไปสำหรับการทำลายข้อมูลส่วนบุคคล

เมื่อใดก็ตามที่ตัดสินใจได้ว่าต้องมีการทำลายข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลส่วนบุคคลต้องถูกลบออกจากระบบสารสนเทศหรือระบบจัดเก็บ หรือถูกทำลายด้วยเครื่องทำลายเอกสาร หรือถูกทำลายด้วยวิธีอื่นตามความเหมาะสมเทียบเคียงกับมูลค่าของข้อมูลต่อบุคคลอื่นและระดับความสำคัญของข้อมูลส่วนบุคคลนั้น วิธีการทำลายอาจแตกต่างกันไปตามคุณลักษณะของเอกสาร ตัวอย่างเช่น เอกสารที่บรรจุข้อมูลส่วนบุคคลประเภทอ่อนไหว ต้องกำจัดเป็นขยะที่เป็นความลับและต้องลบด้วยกระบวนการลบแบบ Secure Delete นอกจากนั้น สัญญาที่สิ้นสุดแล้วหรือถูกแทนที่ด้วยสัญญาฉบับใหม่ต้องถูกทำลายด้วยเครื่องทำลายเอกสารภายในบริษัท เป็นต้น

พนักงานต้องทำการทำลาย และถือว่าเป็นผู้รับผิดชอบการทำลายสารสนเทศด้วยวิธีที่ถูกต้อง เหมาะสม นอกจากนั้น อาจมีกระบวนการลบหรือทำลายด้วยวิธีเฉพาะ ซึ่งอาจกระทำโดยพนักงานหรือโดยผู้ให้บริการภายนอกซึ่งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นผู้มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบดูแลการว่าจ้างโดยการดำเนินการต้องเป็นไปตามนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท และเป็นไปตาม พรบ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

6.2 กำหนดการประจำสำหรับการทำลายข้อมูลส่วนบุคคล

ข้อมูลส่วนบุคคลต่อไปนี้ อยู่ในกลุ่มที่ต้องได้รับการทำลายเป็นประจำ ยกเว้นเมื่ออาจถูกใช้หรือร้องขอระหว่างการดำเนินงานทางกฎหมาย

(1) ไฟส์ชั่วคราว (Temporary Files) เช่น ไฟส์ที่ใช้ชั่วคราวในกระบวนการนำเข้า (import) / ส่งออก (export) / สกัด (extra) ข้อมูล

(2) เอกสารนำส่ง เช่น จดหมาย ใบปะหน้าเอกสาร ข้อความอีเมล ใบสลิปการเดินเอกสาร ใบสลิปอื่นๆ หรือเอกสารอื่นในลักษณะเดียวกันที่มาพร้อมกับเอกสารแต่ไม่เพิ่มมูลค่าให้กับเอกสารหรือข้อมูลหลัก

(3) ใบสลิปข้อความ

(4) รายการที่อยู่หรือรายการแจกจ่ายที่ถูกแทนที่ไปแล้ว

(5) เอกสารซ้ำซ้อน เช่น สำเนาการ CC หรือ FYI ร่างเอกสารที่ซ้ำซ้อนกับเอกสารจริง snapshot ของข้อมูลที่ดึงออกมาจากฐานข้อมูล รวมถึงไฟส์ประจำวัน (day file) เอกสาร (hardcopy) ที่บรรจุข้อมูลส่วนบุคคลต้องได้รับการทำลายด้วยเครื่องทำลายเอกสาร และข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ต้องได้รับการลบแบบ Secure Delete

7. การแก้ไขเปลี่ยนแปลง

บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไข ทบทวน และปรับปรุงประกาศความเป็นส่วนตัวที่จะมีผลบังคับใช้ ณ เวลาที่ได้เผยแพร่ต่อไปโดยมิต้องแจ้งให้ท่านทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ เพื่อความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการให้บริการ ดังนั้น บริษัทจึงขอแนะนำให้ท่านอ่านประกาศความเป็นส่วนตัวทุกครั้งที่เยี่ยมชม หรือใช้บริการจากบริษัท หรือเว็บไซต์ของบริษัท ที่ https://vincent.clinic/th

8. ช่องทางการติดต่อ

กรณีที่เจ้าของข้อมูลมีข้อสงสัยใด ๆ หรือต้องการใช้สิทธิตามที่กำหนดไว้ในนโยบายนี้ หรือสอบถามเพิ่มเติม ผ่านช่องทาง ดังนี้

1. ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด อาคาร Exchange Tower ( เอ็กซ์เชนจ์ทาวเวอร์ ) ยูนิต 3W/F ชั้น 3 เลขที่ 388 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110

โทรศัพท์: 066 – 017 – 4488

อีเมล : dpo@vincent.clinic

เว็บไซต์บริษัท https://vincent.clinic/th 

2. เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด อาคาร Exchange Tower ( เอ็กซ์เชนจ์ทาวเวอร์ ) ยูนิต 3W/F ชั้น 3 เลขที่ 388 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110

โทรศัพท์: 066 – 017 – 4488

อีเมล : dpo@vincent.clinic

เว็บไซต์บริษัท https://vincent.clinic/th 

คำนำ
บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (“บริษัท”) ตระหนักถึงความสำคัญของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จึงได้จัดทำนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลขึ้น เพื่อให้พนักงานภายในองค์กรรับทราบและปฏิบัติตามเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยนโยบายนี้ได้อธิบายถึงวิธีการที่บริษัทปฏิบัติต่อข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การเก็บรวบรวม การจัดเก็บรักษา การใช้ การเปิดเผย รวมถึงสิทธิต่าง ๆ ของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น รวมถึงเพื่อแจ้งให้เจ้าของข้อมูลได้รับทราบถึงนโยบายในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท บริษัทจึงประกาศนโยบายฯ ดังต่อไปนี้

1. ข้อมูลส่วนบุคคล
1.1 คำนิยาม
         บริษัท หมายถึง บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
         ข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง ข้อมูลใด ๆ ที่เกี่ยวกับบุคคลธรรมดาที่ทำให้สามารถระบุถึงตัวบุคคลธรรมดานั้นได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม โดยไม่รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ถึงแก่กรรม
          ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว หมายถึง ข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ความเชื่อในลัทธิ ศาสนาหรือปรัชญา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ ความพิการ ข้อมูลสหภาพแรงงาน ข้อมูลพันธุกรรม  ข้อมูลชีวภาพ (เช่น การสแกนลายนิ้วมือ การสแกนใบหน้า เป็นต้น) หรือข้อมูลอื่นใดซึ่งกระทบต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในทำนองเดียวกันตามที่คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลประกาศกำหนด
           การประมวลผล หมายถึง การกระทำหรือดำเนินการใดๆ กับข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งครอบคลุมถึงการเก็บรวบรวม การใช้ หรือการเปิดเผยด้วยการส่ง หรือกระจายข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆ
           เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง บุคคลธรรมดาซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัท เก็บรวบรวม ใช้หรือเปิดเผย ซึ่งประกอบด้วย
                    (1) ลูกค้าบุคคลธรรมดา
                    (2) คู่ค้าบุคคลธรรมดา
                    (3) กรรมการ ผู้บริหาร ที่ปรึกษา หุ้นส่วน ผู้ถือหุ้น ผู้รับมอบอำนาจ ตัวแทน ผู้แทน
                    (4) พนักงาน ผู้ปฏิบัติงาน ลูกจ้าง
                    (5) ผู้เข้าชมเว็บไซต์ แพลตฟอร์มออนไลน์ หรือช่องทางการสื่อสารอื่นๆ ซึ่งควบคุมโดยบริษัท
                    (6) บุคคลอื่นๆ ที่บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ผู้สมัครงาน ครอบครัวของพนักงาน ผู้รับผลประโยชน์ในกรมธรรม์ประกันภัย ผู้ค้ำประกันการทำงาน เป็นต้น
          ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง บุคคลหรือนิติบุคคลที่มีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม การใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
          ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง บุคคลหรือนิติบุคคลซึ่งดำเนินการเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม การใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามคำสั่งหรือในนามของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ บุคคลหรือนิติบุคคลซึ่งดำเนินการดังกล่าวไม่เป็นผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
1.2 ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีการเก็บรวบรวม
         บริษัท อาจมีการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ดังต่อไปนี้
  ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป:
       1) ข้อมูลส่วนตัว ได้แก่ ชื่อและนามสกุล วันเดือนปี สถานที่เกิด สถานภาพ ข้อมูลตามที่ระบุในบัตรประจำตัวประชาชนและหนังสือเดินทาง สำเนาบัตรประชาชน หรือหมายเลขบัตรประชาชน
       2) ข้อมูลติดต่อ ได้แก่ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ Line ID ช่องทางติดต่อในสื่อสังคมออนไลน์ สถานที่ทำงานตำแหน่งงาน หน่วยงานหรือองค์กร
       3) ข้อมูลการชำระเงิน เช่น บัญชีธนาคาร รายละเอียดของบัตรเครดิต/เดบิต หรือธนาคารออนไลน์
       4) ข้อมูลการเข้ารับบริการ เช่น ข้อมูลหัตถการ ข้อมูลการนัดหมายแพทย์ ภาพจากกล้องวงจรปิด (CCTV
       5) ข้อมูลสถิติ เช่น จำนวนการเข้าชมเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของบริษัท
       6) ข้อมูลด้านสุขภาพ ข้อมูลชีวภาพ (เช่น ข้อมูลภาพจำลองใบหน้า เป็นต้น) ข้อมูลพันธุกรรม รายงานที่เกี่ยวกับสุขภาพ การใช้ยา แพ้ยา แพ้อาหาร และการวินิจฉัย
       7) ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานระบบอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ email หมายเลขไอพี (IP Address) ประเภทของโปรแกรมบราวเซอร์ (Browser) และคุกกี้ (Cookies) ประวัติการสนทนาในแอปพลิเคชันต่าง ๆ
       8) ข้อมูลที่ท่านได้ให้ไว้เมื่อท่านติดต่อ หรือร่วมกิจกรรมใด ๆ กับบริษัท เป็นต้น
   ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว
                    บริษัท ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ได้แก่ ภาพสแกนใบหน้า หมู่โลหิต ศาสนา เพื่อการให้บริการของบริษัท ซึ่งบริษัทจะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่านโดยตรง ทั้งนี้ เว้นแต่กฎหมายจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

2. วัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม หรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
        บริษัท เก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
     1) เพื่อประโยชน์ในการให้หรือรับบริการทางการแพทย์ รวมถึงการติดตามผลการให้บริการ และบริการภายหลังการขาย
     2) เพื่อการทำธุรกรรมทางการเงิน ทางบัญชี และภาษี
     3) การค้นคว้า หรือการวิจัย
     4) เพื่อประโยชน์ในการจัดทำฐานข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์และนำเสนอบริการหรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ ของบริษัทและบริษัทในกลุ่ม หรือบุคคลที่เป็นผู้จำหน่าย เป็นตัวแทน หรือมีความเกี่ยวข้องกับบริษัท
     5) เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงคุณภาพในการดำเนินงาน การให้บริการ และการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัท
     6) เพื่อการวิเคราะห์และติดตามการใช้บริการทางเว็บไซต์ และวัตถุประสงค์ในการตรวจสอบย้อนหลังในกรณีที่เกิดปัญหาการใช้งาน
     7) เพื่อการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของบริษัท
     8) เพื่อวัตถุประสงค์ในการควบคุมการเข้าถึง การป้องกันและระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของท่านหรือบุคคลอื่น การควบคุมและป้องกันโรคติดต่อ และเพื่อประโยชน์ในการดูแลรักษาความปลอดภัย ของบริเวณอาคาร ภายในอาคาร และพื้นที่ของบริษัท
     9) เพื่อการตลาดและการโฆษณาบริการ/ผลิตภัณฑ์ โดยบริษัทจะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่านก่อน
     10) เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎระเบียบที่ใช้บังคับกับบริษัท ทั้งในปัจจุบันและ ในอนาคต
             ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัท ดำเนินการเก็บรวบรวมเพื่อวัตถุประสงค์ข้างต้นเป็นข้อมูลที่จำเป็นในการปฏิบัติตามสัญญาหรือการปฏิบัติตามกฎหมายต่าง ๆ ที่ใช้บังคับ หากท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นดังกล่าว อาจเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย หรือบริษัท อาจไม่สามารถบริหารหรือจัดการสัญญา หรืออำนวยความสะดวกในการดำเนินการต่างๆ ให้กับท่านได้ ทั้งนี้หากภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท จะแจ้งให้ท่านทราบ และดำเนินการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงจัดให้มีบันทึกการแก้ไขเพิ่มเติมไว้เป็นหลักฐาน

3. การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล
          ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจากเจ้าของข้อมูลโดยตรง และการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท จะขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อนหรือขณะทำการเก็บรวบรวม หากกฎหมายกำหนดให้ต้องขอความยินยอม และจะดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลเท่าที่จำเป็นตามวัตถุประสงค์ที่บริษัท ระบุไว้โดยแจ้งชัด
           ทั้งนี้ บริษัท อาจรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับมาจากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่จากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลโดยตรงเช่น จากสื่อสาธารณะต่าง ๆ เฉพาะในกรณีที่มีความจำเป็นด้วยวิธีการตามที่กฎหมายกำหนด

4. แหล่งที่มาของข้อมูลส่วนบุคคล
          1) ข้อมูลส่วนบุคคลจากผู้สมัครงาน พนักงาน โดยตรงที่ได้รับการจ้างงาน เช่น ใบสมัคร ประวัติส่วนตัว
          2) ข้อมูลส่วนบุคคลจากคู่ค้า ลูกค้า ผู้รับจ้าง หรือผู้มาติดต่องาน เช่น ใบเสนอราคา ชื่อ เบอร์โทร อีเมล
          3) ข้อมูลส่วนบุคคลจากหน่วยงานภายนอก เช่น หน่วยงานของรัฐ โรงพยาบาล สถาบันการเงิน ตัวแทน นายหน้า และคนกลางอื่นๆ
5. ระยะเวลาในการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคล
          บริษัท จะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นระยะเวลาเท่าที่จำเป็นเพื่อวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม
ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งได้ระบุไว้ในคำประกาศฉบับนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่ใช้กำหนดระยะเวลาเก็บ ได้แก่ ระยะเวลาที่บริษัท ยังมีความสัมพันธ์กับท่านในฐานะลูกค้าของบริษัท และอาจเก็บต่อไปตามระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายหรือตามอายุความทางกฎหมาย เพื่อการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมายหรือการใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือการยกขึ้นต่อสู้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือเพื่อเหตุอื่นตามนโยบายและข้อกำหนดภายในของบริษัท
          ในกรณีที่ไม่สามารถระบุระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลได้ชัดเจน บริษัท จะเก็บรักษาข้อมูลไว้ตามระยะเวลาที่อาจคาดหมายได้ตามมาตรฐานของการเก็บรวบรวม (เช่น อายุความตามกฎหมายทั่วไปสูงสุด 10 ปี)

6. การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลไปยังหน่วยงานภายนอกและต่างประเทศ

บริษัทจะไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลไปให้บุคคลใดโดยปราศจากความยินยอมและจะเปิดเผยตามวัตถุประสงค์ที่ได้มีการแจ้งไว้ อย่างไรก็ดีเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของบริษัทและการให้บริการแก่เจ้าของข้อมูล บริษัทอาจมีความจำเป็นในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล ให้แก่บริษัทในเครือ หรือบุคคลอื่นทั้งในและต่างประเทศ เช่น ผู้ให้บริการต่าง ๆ ที่ต้องดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล โดยในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลให้แก่บุคคลดังกล่าว บริษัทจะดำเนินการให้บุคคลเหล่านั้นเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลไว้เป็นความลับ และไม่นำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากขอบเขตที่บริษัทได้กำหนดไว้

บริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้กับบุคคลต่อไปนี้
1) พันธมิตรทางธุรกิจ
2) ตัวแทน ผู้ให้บริการ หรือคู่ค้าที่ให้บริการแก่เรา หรือดำเนินการใดๆ ในฐานะตัวแทนของเรา เช่น ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น ทั้งในและต่างประเทศ
3) หน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย

บริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูล ภายใต้หลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด เช่น การเปิดเผยข้อมูลต่อหน่วยงานราชการ หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล รวมถึงในกรณีที่มีการร้องขอให้เปิดเผยข้อมูลโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย เช่น การร้องขอข้อมูลเพื่อการฟ้องร้องหรือดำเนินคดีตามกฎหมาย หรือการร้องขอจากหน่วยงานเอกชน หรือบุคคลภายนอกอื่นๆที่มีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางกฎหมาย

การเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์/แอปพลิเคชันของบุคคลที่สาม

ในกรณีที่เว็บไซต์และแอปพลิเคชันของเราสามารถเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของบุคคลที่สามได้ เราขอแจ้งให้ท่านทราบว่า นโยบายนี้จะไม่ครอบคลุมไปถึงเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของของบุคคลที่สามดังกล่าว ดังนั้น การที่บุคคลที่สามเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยประการใดๆ จึงอยู่นอกเหนือการรับรู้และการควบคุมของเรา และเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและความรับผิดใดๆ จากการกระทำของบุคคลที่สามดังกล่าวนั้น

อนึ่ง ท่านควรตรวจสอบนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันนั้นก่อนการเข้าชมหรือใช้บริการใดๆ

7. มาตรการในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล
         บริษัท กำหนดให้มีมาตรการที่เหมาะสม และเข้มงวดในการรักษาความมั่นคงปลอดภัย ตามนโยบายและแนวปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัท เพื่อป้องกันการสูญหาย การเข้าถึง ทำลาย ใช้ แปลง แก้ไขหรือมิให้มีการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้โดยไม่มีสิทธิหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย

8. สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
         8.1 สิทธิในการเพิกถอนความยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้ให้ความยินยอมไว้ ทั้งนี้ การเพิกถอนความยินยอมย่อมไม่ส่งผลกระทบต่อการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้ให้ความยินยอมไว้แล้ว
         8.2 สิทธิในการเข้าถึงและขอทำสำเนาข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงการขอให้เปิดเผยการได้มาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่ได้ให้ความยินยอม
         8.3 สิทธิในการขอรับข้อมูลส่วนบุคคล กรณีได้ทำให้อยู่ในรูปแบบที่ใช้งานโดยทั่วไปด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติ
         8.4 สิทธิในการขอคัดค้านการเก็บรวมรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เว้นแต่กรณีที่บริษัทมีเหตุในการปฏิเสธคำขอโดยชอบด้วยกฎหมาย
         8.5 สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล โดยสามารถขอให้บริษัทแก้ไขข้อมูลเพื่อให้ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวให้ถูกต้อง ครบถ้วน และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด
         8.6 สิทธิในการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคล หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ตามที่กฎหมายกำหนด
         8.7 สิทธิในการระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลตามที่กฎหมายกำหนด
         8.8 สิทธิในการร้องเรียนการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล

         เจ้าของข้อมูลสามารถขอใช้สิทธิดังกล่าวข้างต้นได้ โดยยื่นคำร้องขอใช้สิทธิต่อบริษัทเป็นลายลักษณ์อักษรหรือผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ตามแบบฟอร์มที่บริษัทกำหนด ผ่าน “ช่องทางการติดต่อของบริษัท” ด้านล่าง โดยบริษัทจะพิจารณาและแจ้งผลการพิจารณาตามคำร้องฯ ของเจ้าของข้อมูล ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องฯ ดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทอาจปฏิเสธสิทธิของเจ้าของข้อมูลได้ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดไว้

9. การทบทวนและเปลี่ยนแปลงนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
          บริษัทอาจทำการปรับปรุงหรือแก้ไขนโยบายนี้เป็นครั้งคราวเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดตามกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานของบริษัท รวมถึงข้อเสนอแนะและความคิดเห็นจากหน่วยงานต่างๆ โดยบริษัทจะประกาศแจ้งการเปลี่ยนแปลงให้ทราบ
อย่างชัดเจน

นโยบายประกาศความเป็นส่วนตัว (Privacy Notice)
2.1 ประกาศความเป็นส่วนตัวสำหรับลูกค้า และผู้ที่เกี่ยวข้อง
1.วัตถุประสงค์

บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (“บริษัท”) ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า และผู้ที่เกี่ยวข้อง (ซึ่งรวมเรียกว่า “ท่าน”) และเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าเราจะให้ความคุ้มครองและปฏิบัติต่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน โดยสอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทจึงได้จัดทำนโยบายฉบับนี้ขึ้น เพื่อแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่านทราบรายละเอียดการดำเนินการกับข้อมูลส่วนบุคคลไม่ว่าจะเป็นการเก็บรวบรวม ใช้และเปิดเผย (รวมเรียกว่า “การประมวลผล”) ซึ่งอาจเกิดขึ้น ตลอดจนแจ้งให้ท่านทราบถึงสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน และช่องทางการติดต่อบริษัท

2.คำนิยามและศัพท์

2.1 บริษัท หมายถึง บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

     2.2 ลูกค้า หรือผู้ใช้บริการ หมายถึง บุคคลธรรมดาที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ที่ใช้บริการต่างๆ ของบริษัท
     2.3 ผู้ที่เกี่ยวข้อง หมายถึง บุคคลที่ผูกพันตนตามสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างกันผู้ติดตามลูกค้า
     2.4 ท่าน หมายถึง เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
3. วัตถุประสงค์การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล

 1 เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามขั้นตอนการปฏิบัติงานของบริษัทในเรื่อง การนำเสนอบริการ การเสนอราคา การขึ้นทะเบียนลูกค้า การประเมินลูกค้า รับ – ส่งข้อมูลระหว่างกัน การสำรวจความพึงพอใจ การติชม
ฐานทางกฎหมาย : เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย (Legitimate Interests)
   2 เพื่อประโยชน์ในการให้หรือรับบริการทางการแพทย์ รวมถึงการติดตามผลการให้บริการ และบริการภายหลังการขาย การวิเคราะห์ปัญหาสุขภาพและความสามารถในการเข้ารับบริการ เพื่อการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อการจัดทำสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างกัน
ฐานทางกฎหมาย : การปฏิบัติตามสัญญา (Contractual Basis) ความยินยอม (Consent)
   3 เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด การวิเคราะห์ การคัดสรรและนำเสนอบริการ สิทธิประโยชน์ รายการส่งเสริมการขาย เช่น โปรโมชั่น ส่วนลดพิเศษ หรือข้อเสนอต่างๆ ซึ่งบริษัทจัดส่งเอกสารเกี่ยวกับโปรโมชั่นต่างๆ ทางไปรษณีย์ อีเมล และด้วยวิธีการอื่นใด รวมถึงการดำเนินการด้านการตลาดแบบตรง เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลจะได้รับจากการเป็นลูกค้าของบริษัท ผ่านการแนะนำบริการที่เกี่ยวข้อง เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลสามารถเลือกที่จะไม่รับการสื่อสาร เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาดจากบริษัท ยกเว้นการติดต่อสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล และ/หรือบริการที่บริษัท ได้ให้แก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ใบเสร็จรับเงิน เป็นต้น
ฐานทางกฎหมาย : เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย (Legitimate Interests) ความยินยอม (Consent
   4 เพื่อการบริหารจัดการภายในของบริษัท การศึกษาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาและปรับปรุงการปฏิบัติงาน การให้บริการ ซึ่งรวมถึงการบริหารจัดการเว็บไซต์ การบำรุงรักษาระบบ การตรวจสอบและป้องกันการฉ้อโกง การประพฤติมิชอบ หรืออาชญากรรมอื่นๆ

ฐานทางกฎหมาย : การปฏิบัติตามกฎหมาย (Legal Obligations)
     5 เพื่อรักษาความปลอดภัยด้านต่างๆ เช่น จัดให้มีมาตรการรักษาความปลอดภัย ซึ่งรวมถึงความมั่นคงปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์ หรือสารสนเทศ เช่น การเข้าสถานที่ของบริษัท การเข้าสู่ระบบ (Log in) เข้ารหัสเพื่อใช้งานในระบบ
ฐานทางกฎหมาย :  เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย (Legitimate Interests)
     6 เพื่อการพิจารณาให้บริการ รวมถึงกระบวนการตรวจสอบยืนยันตัวตน ตรวจสอบอำนาจ การมอบอำนาจ และการรับมอบอำนาจ การพิจารณาความเสี่ยงในการเข้าทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อการทำสัญญา การปฏิบัติตามสัญญา การให้บริการ รวมไปถึงการติดต่อประสานงาน การเรียกเก็บค่าใช้จ่าย การจัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้อง
ฐานทางกฎหมาย :  การปฏิบัติตามสัญญา (Contractual Basis) ความยินยอม (Consent)
     7 เพื่อประโยชน์ในการประเมิน ปรับปรุงการให้บริการ และรายการส่งเสริมการขายต่างๆ ของบริษัท รวมถึงเพื่อสำรวจความพึงพอใจเกี่ยวกับบริการของบริษัท เพื่อให้เหมาะสมและตรงตามความต้องการของท่าน
ฐานทางกฎหมาย :  เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย (Legitimate Interests)
     8 เพื่อใช้เป็นข้อมูลและเอกสารประกอบการดำเนินงานใดๆ กับธนาคาร สถาบันการเงิน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และหน่วยงานภายนอกอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ฐานทางกฎหมาย : เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย (Legitimate Interests)
     9 เพื่อวัตถุประสงค์ในการยืนยันตัวตนของลูกค้า ก่อนการเข้าทำสัญญาตามนโยบายของบริษัท และตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ฐานทางกฎหมาย :  การปฏิบัติตามสัญญา (Contractual Basis)
     10 เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการให้บริการหลังการขายแก่ลูกค้า คู่ค้า รวมถึงการให้บริการติดตาม ประสานงาน แก้ไขปัญหาต่างๆ แก่ลูกค้า คู่ค้า หรือการส่งเสริมการขาย
ฐานทางกฎหมาย : เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย (Legitimate Interests)
      11 เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด การส่งเสริมการขาย โฆษณา เช่น การจัดส่งเอกสารเกี่ยวกับโปรโมชั่นต่างๆ ทางไปรษณีย์ อีเมล และด้วยวิธีการอื่นใด รวมถึงการดำเนินการด้านการตลาดแบบตรง เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลจะได้รับจากการเป็นลูกค้าของบริษัท ผ่านการแนะนำบริการที่เกี่ยวข้อง เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลสามารถเลือกที่จะไม่รับการสื่อสาร เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาดจากบริษัท ยกเว้นการติดต่อสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล และ/หรือบริการที่บริษัท ได้ให้แก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ใบเสร็จรับเงิน เป็นต้น
ฐานทางกฎหมาย : เพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย (Legitimate Interests) ความยินยอม (Consent)

4. ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีการเก็บรวบรวม

     บริษัท ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ดังต่อไปนี้

     4.1 ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป

(1) ข้อมูลที่ใช้ระบุตัวตน เช่น ชื่อ นามสกุล เลขประจำตัวประชาชนหรือเลขหนังสือเดินทาง วันเดือนปี เกิด เพศ อายุ ลายมือชื่อ ภาพถ่าย เป็นต้น

(2) ข้อมูลติดต่อ (Contact Data) เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล ตำแหน่งที่อยู่ บัญชีการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ Line ID และ Line Ads เป็นต้น

(3) ข้อมูลทางการเงิน (Financial Data) เช่น หมายเลขบัญชีธนาคาร เป็นต้น

(4) ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ของบริษัท รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งาน Application ข้อมูลในการเข้าชมเว็บไซต์ เช่น บัตรสมาชิกอิเล็กทรอนิกส์ ประวัติการเข้าชมเว็บไซต์ ข้อมูลที่อยู่ IP (IP Address) เป็นต้น

     4.2 ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว

บริษัท ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ได้แก่ ภาพสแกนใบหน้า ภาพทรวงอก ภาพของลูกค้าที่ต้องการให้บริษัทให้บริการทางการแพทย์ ภาพแผลที่เกิดจากการรักษา หมู่โลหิต ศาสนา เพื่อการให้บริการของบริษัท ซึ่งบริษัทจะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่านโดยตรง ทั้งนี้ เว้นแต่กฎหมายจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

5. ระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล

5.1 บริษัทจะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ตามประเภทข้อมูลส่วนบุคคลแต่ละประเภท เว้นแต่กฎหมายจะอนุญาตให้มีระยะเวลาการเก็บรักษาที่นานขึ้น ในกรณีที่ไม่สามารถระบุระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลได้ชัดเจน บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลไว้ตามระยะเวลาที่อาจคาดหมายได้ตามมาตรฐานของการเก็บรวบรวม (เช่น อายุความตามกฎหมายทั่วไปสูงสุด 10 ปี)

5.2 บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาหรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาหรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น

5.3 กรณีที่บริษัทใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยขอความยินยอมจากท่าน บริษัทจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวจนกว่าท่านจะแจ้งขอยกเลิกความยินยอม และบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านเสร็จสิ้นแล้ว อย่างไรก็ดีบริษัทจะยังเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเท่าที่จำเป็นสำหรับบันทึกเป็นประวัติว่าท่านเคยยกเลิกความยินยอม เพื่อให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อคำขอของท่านในอนาคตได้

5.4 กรณีข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมโดยกล้องโทรทัศน์วงจรปิด บริษัทจะเก็บข้อมูล ดังนี้

(1) ในสถานการณ์ปกติ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอาจถูกเก็บไว้ไม่เกิน 30 วัน

(2) ในกรณีจำเป็น เช่น กรณีที่จำเป็นต้องใช้เป็นหลักฐานในการสืบสวน สอบสวน หรือการดำเนินคดี หรือกรณีที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลร้องขอ ข้อมูลส่วนบุคคลอาจถูกเก็บรักษาไว้เกินกว่า 30 วัน และบริษัทจะดำเนินการลบข้อมูลดังกล่าวอย่างปลอดภัยเมื่อเสร็จสิ้นวัตถุประสงค์นั้น

6. การเปิดเผยข้อมูล
     การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลต่อบุคคลภายนอก และ/หรือองค์กรภายนอก และ/หรือหน่วยงานภายนอก บริษัทต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เว้นแต่เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ของทางราชการ เมื่อได้รับความยินยอมดังกล่าวแล้ว โดยบริษัท จะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลให้แก่บุคคลภายนอก และ/หรือองค์กรภายนอก และ/หรือหน่วยงานภายนอก อาทิเช่น กรณีดังต่อไปนี้

6.1 บริษัทที่ให้บริการในการจัดเก็บข้อมูลและรวบรวมข้อมูล บริษัทรับพัฒนาระบบและบำรุงรักษาระบบในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของบริษัท

6.2 ผู้ให้บริการภายนอก เพื่อการพัฒนา ปรับปรุงบริการของบริษัท การวิเคราะห์ข้อมูล การประมวลผลข้อมูล การให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง การส่งอีเมล/SMS การพัฒนาเว็บไซต์ การสำรวจความพึงพอใจและการทำวิจัย การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า การบริหารความเสี่ยง การควบคุมภายใน การกำกับดูแลกิจการ การจัดการข้อร้องเรียน และ/หรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่นใดที่จำเป็นต่อการให้บริการแก่ลูกค้า และผู้ค้ำประกัน เป็นต้น

6.3 หน่วยงานราชการ หรือองค์กรอื่นตามกฎหมาย เพื่อเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย คำสั่ง คำร้องขอ หรือเพื่อการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามกฎหมาย

6.4 สื่อ Social Media ซึ่งเป็นของบริษัท และ/หรือคู่ค้าของบริษัท และธุรกิจพันธมิตรของบริษัท

7. การส่งและ/หรือเปิดเผยข้อมูลไปต่างประเทศ
     บริษัท ไม่มีการโอนถ่าย และ/หรือส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตบริษัท มีความจำเป็นต้องมีการโอนถ่าย และ/หรือส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศ บริษัท จะกำหนดมาตรฐานในการทำข้อตกลง และ/หรือสัญญาร่วมธุรกิจกับหน่วยงาน องค์กร ที่จะได้รับข้อมูลส่วนบุคคลนั้นให้มีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นที่ยอมรับและสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลนั้นได้รับการคุ้มครองอย่างปลอดภัย โดย

7.1 การส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังต่างประเทศจะต้องเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และบริษัท จะต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบ

7.2 การประมวลผลในระบบคลาวด์ (Cloud) บริษัท จะพิจารณาองค์กรที่มีมาตรฐานความมั่นคงปลอดภัยในระดับสากล และจะจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบการเข้ารหัส หรือวิธีการอื่นๆ ที่ไม่สามารถระบุตัวตนของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ เป็นต้น

การเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์/แอปพลิเคชันของบุคคลที่สาม

ในกรณีที่เว็บไซต์และแอปพลิเคชันของเราสามารถเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของบุคคลที่สามได้ เราขอแจ้งให้ท่านทราบว่า นโยบายนี้จะไม่ครอบคลุมไปถึงเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของของบุคคลที่สามดังกล่าว ดังนั้น การที่บุคคลที่สามเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยประการใดๆ จึงอยู่นอกเหนือการรับรู้และการควบคุมของเรา และเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและความรับผิดใดๆ จากการกระทำของบุคคลที่สามดังกล่าวนั้น

อนึ่ง ท่านควรตรวจสอบนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันนั้นก่อนการเข้าชมหรือใช้บริการใดๆ

8. สิทธิในฐานะเจ้าของข้อมูล
     บริษัทเคารพสิทธิส่วนบุคคลของท่าน และเปิดโอกาสให้ท่านสามารถเลือกวิธีการควบคุม หรือวิธีการที่บริษัทใช้ติดต่อท่าน โดยบริษัทจะปฏิบัติตามที่ท่านได้ร้องขอ เพื่อช่วยให้เกิดความโปร่งใส และเพื่อคุณภาพของข้อมูล และความถูกต้องของข้อมูล ท่านมีสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโดยท่านสามารถส่งคำขอให้บริษัททราบเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางที่บริษัทกำหนดในการดำเนินการตามสิทธิ ดังต่อไปนี้

     8.1 สิทธิขอถอนความยินยอม

หากท่านได้ให้ความยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน (ไม่ว่าจะเป็นความยินยอมที่ท่านให้ไว้ก่อนวันที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลใช้บังคับหรือ หลังจากนั้น) ท่านมีสิทธิที่จะถอนความยินยอมเมื่อใดก็ได้ตลอดระยะเวลาที่ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอยู่กับบริษัททั้งนี้ บริษัทขอแจ้งให้ท่านทราบว่า การเพิกถอนความยินยอมไม่ส่งผลกระทบต่อการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมไว้แล้วโดยชอบ เว้นแต่มีข้อจำกัดสิทธินั้นโดยกฎหมาย หรือโดยสภาพ ไม่สามารถถอนความยินยอมได้ หรือมีสัญญาระหว่างท่านกับบริษัทที่ให้ประโยชน์แก่ท่านอยู่ หรืออาจส่งผลให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์บางส่วนหรือทั้งหมดตามที่ระบุไว้ในเอกสารฉบับนี้ได้

     8.2 สิทธิขอเข้าถึงข้อมูล

ท่านมีสิทธิขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท และขอให้บริษัททำสำเนาข้อมูลดังกล่าวให้แก่ท่าน รวมถึงขอให้บริษัทเปิดเผยว่าบริษัทได้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมาได้อย่างไร เว้นแต่กรณีที่บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่านตามกฎหมาย หรือคำสั่งของศาล หรือกรณีที่คำขอของท่านจะมีผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น

     8.3 สิทธิขอถ่ายโอนข้อมูล

ท่านมีสิทธิขอให้โอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในกรณีที่บริษัทได้จัดทำข้อมูลส่วนบุคคลนั้นอยู่ในรูปแบบให้สามารถอ่านหรือใช้งานได้ด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติ และสามารถใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ รวมทั้งมีสิทธิขอให้บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นเมื่อสามารถทำได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ และมีสิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยัง ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นโดยตรง เว้นแต่ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะเหตุทางเทคนิคทั้งนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านข้างต้นต้องเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัท หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทจำเป็นต้องประมวลผล เพื่อให้ท่านสามารถใช้บริการของบริษัทได้ตามความประสงค์ซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาอยู่กับบริษัท หรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนใช้บริการ หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอื่นตามที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายกำหนด

8.4 สิทธิขอคัดค้าน

ท่านมีสิทธิขอคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในเวลาใดก็ได้ หากประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านทำขึ้นเพื่อการดำเนินงานที่จำเป็นภายใต้ประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นโดยไม่เกินขอบเขตที่ท่านสามารถคาดหมายได้อย่างสมเหตุสมผล หรือเพื่อดำเนินการตามภารกิจเพื่อสาธารณประโยชน์ หรือเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือสถิติหากท่านยื่นคัดค้าน บริษัทจะยังคงดำเนินการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไปเฉพาะที่บริษัทสามารถแสดงเหตุผลตามกฎหมายได้ว่ามีความสำคัญยิ่งกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานของท่าน หรือเป็นไปเพื่อการยืนยันสิทธิตามกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมาย หรือการต่อสู้ในการฟ้องร้องตามกฎหมาย ตามแต่ละกรณี

     8.5 สิทธิขอให้ลบหรือทำลายข้อมูล

ท่านมีสิทธิขอลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนของท่านได้ หากท่านเชื่อว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกประมวลผลโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หรือเห็นว่าบริษัทหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องในประกาศฉบับนี้ หรือเมื่อบริษัทเห็นว่าสามารถปฏิบัติตามที่ท่านได้ใช้สิทธิขอถอนความยินยอมหรือใช้สิทธิขอคัดค้านตามที่แจ้งไว้ข้างต้นแล้ว

     8.6 สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูล

ท่านมีสิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลชั่วคราวในกรณีที่บริษัทอยู่ระหว่างตรวจสอบตามคำร้องขอใช้สิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล หรือขอคัดค้านของท่าน หรือกรณีอื่นใด ที่บริษัทหมดความจำเป็นและต้องลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องแต่ท่านขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลแทน

     8.7 สิทธิขอให้แก้ไขข้อมูล

ท่านมีสิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้งนี้ หากท่านประสงค์จะขอแก้ไขข้อมูลเกี่ยวกับภาพ บริษัทจะทำการแก้ไขเฉพาะรายการข้อมูลที่เกี่ยวกับภาพของท่านเพื่อให้ถูกต้อง ตามความจำเป็นของบริษัทที่ชอบด้วยกฎหมายและในกรณีที่การดำเนินการตามคำขอก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายบริษัทอาจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากท่าน

      8.8 สิทธิร้องเรียน

ท่านมีสิทธิร้องเรียนต่อบริษัทผ่าน เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: (Data Protection Officer) อีเมล : dpo@vincent.clinic หรือผู้มีอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากท่านเชื่อว่าการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เป็นการกระทำในลักษณะที่ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

9. วิธีการใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูล
     9.1 การร้องขอใด ๆ เพื่อการใช้สิทธิของท่านจะต้องกระทำเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งบริษัทได้จัดให้มีขึ้นในเว็บไซต์ของบริษัท หรือกรอกข้อมูลผ่าน แบบฟอร์มคำร้องขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject Request Form) ส่งมาที่อีเมล : dpo@vincent.clinic  หรือ ทางไปรษณีย์ตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในแบบฟอร์มดังกล่าว

ทั้งนี้ บริษัทจะใช้ความพยายามอย่างดีที่สุดที่จะดำเนินการภายในระยะเวลาที่สมเหตุสมผล และไม่เกินระยะเวลา 30 วัน นับแต่ได้รับคำร้อง อย่างไรก็ดี บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่าน ในกรณีที่มีข้อยกเว้นตามกฎหมาย หรือบริษัทจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาได้ หรือมีผลกระทบกับการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญา หรือเป็นการปฏิเสธตามคำสั่งศาล หรือหากบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านจะส่งผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น โดยบริษัทจะดำเนินการบันทึกการปฏิเสธคำร้องขอพร้อมด้วยเหตุผลไว้ ทั้งนี้ หากปรากฏอย่างชัดเจนว่าคำร้องขอของท่านเป็นคำร้องขอที่ไม่สมเหตุสมผล หรือคำร้องขอฟุ่มเฟือยบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินการตามที่ท่านร้องขอในอัตราที่บริษัทกำหนด

9.2 บริษัทจะพยายามอย่างเต็มที่ตามความสามารถของระบบงานที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกและดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน เว้นแต่จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า การดำเนินการตามคำร้องขอนั้นเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ใช้งานรายอื่น หรือเป็นการขัดต่อกฎหมาย หรือนโยบายความปลอดภัยของระบบ หรือกรณีที่เป็นการพ้นวิสัยในทางปฏิบัติตามคำร้องขอ เนื่องมาจากเหตุทางเทคนิค

9.3 ในบางสถานการณ์บริษัทอาจขอให้ท่านพิสูจน์ตัวตนของท่านก่อนการใช้สิทธิเพื่อความปลอดภัยของท่านเอง โดยบางครั้งอาจเกิดข้อจำกัดในการขอใช้สิทธิของท่านบางประการ ซึ่งบริษัทจะทำการชี้แจงให้ท่านทราบหากไม่สามารถปฏิบัติตามคำร้องขอใช้สิทธิของท่านได้

9.4 หากเป็นกรณีกิจกรรมที่บริษัททำการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามฐานการปฏิบัติตามสัญญา หรือฐานเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย หรือฐานการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย บริษัทมีสิทธิปฏิเสธการใช้สิทธิของท่านในกรณีที่ท่านใช้สิทธิโต้แย้ง หรือขอระงับการใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่าน และขอให้ดำเนินการลบ หรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่านได้ รวมถึงบริษัทอาจปฏิเสธที่จะดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน หากบริษัท มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บข้อมูลต่อไป เพื่อการกระทำการ ดังต่อไปนี้

(1) เพื่อทำรายการใด ๆ ตามวัตถุประสงค์ที่บริษัท เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น หรือดำเนินการตามสมควรภายในขอบเขตความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างบริษัทกับท่าน

(2) เพื่อใช้เป็นการภายในตามสมควรโดยสอดคล้องกับความคาดหมายของท่านที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบริษัท และสอดคล้องกับบริบทที่ท่านได้ให้ข้อมูลดังกล่าวไว้แต่แรก และเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ข้อบังคับ กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง

9.5 ในกรณีที่ท่านไม่ประสงค์ถูกบันทึกภาพ ท่านมีสิทธิที่จะขอรับและติดสัญลักษณ์ “ห้ามถ่ายภาพบุคคล” ตลอดการร่วมประชุม ทั้งนี้ บริษัทขอเรียนให้ทราบว่าด้วยลักษณะการจัดกิจกรรมอาจมีการถ่ายภาพบรรยากาศกิจกรรม ซึ่งแม้ท่านขอรับสัญลักษณ์ดังกล่าวแล้วก็ตาม ก็อาจปรากฎภาพของท่านเป็นส่วนประกอบของภาพได้ ดังนั้น บริษัทจึงแนะนำให้ท่านแจ้งต่อบริษัทเพื่อปฏิเสธขณะที่บริษัทกำลังบันทึกภาพ หรือหลีกเลี่ยงบริเวณที่บันทึกภาพ หรือไม่เข้าร่วมกิจกรรมขณะมีการบันทึกภาพ หรือภาพเคลื่อนไหว

9.6 บริษัทจำเป็นต้องแจ้งให้ทราบว่า การขอใช้สิทธิของท่านบางประการ อาจเกิดข้อจำกัด ในกรณีที่ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นข้อมูลที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อบริษัทในการปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมาย เพื่อการชำระเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นกู้ ตัวแทนของบุคคลดังกล่าว และการบริการจัดการทะเบียนผู้ถือหุ้น และข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่จำเป็นต่อบริษัทในการปฏิบัติตามสัญญา หรือข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิ และหน้าของผู้ออกหุ้น ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ หากท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นแก่บริษัท หรือใช้สิทธิ ขอให้ลบ ระงับการใช้ข้อมูล บริษัทอาจไม่สามารถบริการหรือจัดการสัญญาระหว่างท่านกับบริษัท รวมถึงสิทธิประโยชน์ที่ท่านอาจจะได้รับ

10. มาตรการการรักษาความปลอดภัย
      บริษัท กำหนดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการสูญหาย การเข้าถึง การใช้ การเปลี่ยนแปลง การแก้ไข หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่มีอำนาจหรือโดยขัดต่อกฎหมาย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศของบริษัท (Information Security Policy) และนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Policy)

11. การแก้ไขเปลี่ยนแปลง
     บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไข ทบทวน และปรับปรุงประกาศความเป็นส่วนตัวที่จะมีผลบังคับใช้ ณ เวลาที่ได้เผยแพร่ต่อไปโดยมิต้องแจ้งให้ท่านทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ เพื่อความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการให้บริการ ดังนั้น บริษัทจึงขอแนะนำให้ท่านอ่านประกาศความเป็นส่วนตัวทุกครั้งที่เยี่ยมชม หรือใช้บริการจากบริษัท หรือเว็บไซต์ของบริษัท ที่ https://vincent.clinic/th 

2.2 ประกาศความเป็นส่วนตัว สำหรับผู้ถือหุ้น และกรรมการ (Privacy Notice – Shareholders and directors)
1. วัตถุประสงค์

บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (“บริษัท”) เคารพและให้ความสำคัญในสิทธิความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในฐานะผู้ถือหุ้น กรรมการ และตัวแทนของบุคคลดังกล่าว (“ท่าน”) ที่บริษัท ในฐานะผู้จัดการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีทั้งในรูปแบบออนไลน์ และออฟไลน์ และกิจกรรมอื่นใดที่เกี่ยวข้อง กับ (“กิจกรรม”) และมีความรับผิดชอบในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ที่อยู่ภายใต้ความดูแลของบริษัท และมุ่งมั่นที่จะจัดการข้อมูลดังกล่าวด้วยวิธีการที่มั่นคงปลอดภัยและน่าเชื่อถือ ในการนี้ บริษัทจึงได้จัดทำประกาศความเป็นส่วนตัว (Privacy Notice) เพื่ออธิบายถึงวิธีการปฏิบัติต่อข้อมูลส่วนบุคคล และข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว และชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ การเปิดเผย และวัตถุประสงค์ที่บริษัทได้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลพร้อมแจ้งสิทธิต่าง ๆ ของท่าน ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้

2. คำนิยามและศัพท์
     2.1 บริษัท หมายถึง บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

2.2 ท่าน หมายถึง เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

2.3 ประมวลผล หมายถึง การเก็บรวบรวม ใช้ และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

3. วิธีที่บริษัทเก็บรวบรวมและรับข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทเก็บรวบรวมและรับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้

3.1 ข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้ไว้กับบริษัทโดยตรงท่านอาจให้ข้อมูลส่วนบุคคลแก่บริษัทโดยตรง เช่น การส่งมอบเอกสารแสดงตนต่างๆ ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลของท่านปรากฏอยู่มาให้กับบริษัท เป็นต้น

3.2 ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมจากท่านอัตโนมัติ บริษัทอาจเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยอัตโนมัติผ่านทางช่องทางต่างๆ เช่น การใช้คุกกี้ (Cookies) หรือเทคโนโลยีอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน รายละเอียดเพิ่มเติมโปรดดู นโยบายคุกกี้

3.3 ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาจากบุคคลภายนอก บริษัทอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากบุคคลภายนอก เช่น บุคคลในครอบครัว เป็นต้น

ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ท่านจะได้รับการแจ้งถึงรายละเอียดต่างๆ ตามที่ระบุในประกาศฯ ฉบับนี้ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะวัตถุประสงค์และฐานทางกฎหมายในการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย และ/หรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล หรือหากกรณีที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดให้การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลใดต้องได้รับความยินยอมจากท่าน บริษัทจะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่าน

ในกรณีที่บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ก่อนวันที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลมีผลใช้บังคับ บริษัทจะเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไปตามวัตถุประสงค์เดิมที่บริษัทได้แจ้งไว้แก่ท่านในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งท่านมีสิทธิยกเลิกความยินยอม โดยติดต่อมายังบริษัท ตามรายละเอียดการติดต่อที่ระบุในข้อ 13. ของประกาศฯ ฉบับนี้ ทั้งนี้ บริษัทขอสงวนสิทธิในการพิจารณาคำขอยกเลิกความยินยอมของท่านและดำเนินการตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

4. ข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกเก็บรวบรวม
      บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลของท่านโดยการขอข้อมูลจากท่านโดยตรง ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบเอกสาร หรือข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยอาจให้ท่านกรอกข้อมูลลงในเอกสารที่บริษัทจัดเตรียมไว้ หรือกรอกข้อมูลลงในแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ทางบริษัทได้กำหนด และ/หรือวิธีอื่นใด อย่างไรก็ตาม ด้วยลักษณะของกิจกรรม บริษัทจำเป็นต้องประมวลผลข้อมูลของท่านบางประการ ซึ่งอาจเป็นข้อมูลที่บริษัทได้รับจากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่จากท่านโดยตรง เช่น การจัดเก็บข้อมูลผู้ถือหุ้นจากนายทะเบียนหลักทรัพย์ หรือข้อมูลบัญชีธนาคารซึ่งท่านกำหนดให้เป็นบัญชีรับชำระเงินปันผล ทั้งนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทจัดเก็บจากท่านอาจแตกต่างกันแล้วแต่กรณี และลักษณะของกิจกรรมที่บริษัทจำเป็นต้องประมวลผลข้อมูลของท่าน

     4.1 ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป

4.1.1 ข้อมูลที่ใช้ระบุตัวตน (Identity Data) เช่น ชื่อ-นามสกุล เลขประจำตัวประชาชน หมายเลขหนังสือเดินทาง วัน เดือน ปีเกิด อายุ ลายมือชื่อ ข้อมูลการเปลี่ยนชื่อ นามสกุล เป็นต้น

4.1.2 ข้อมูลติดต่อ (Contact Data) เช่น ที่อยู่ เบอร์โทร ที่อยู่อีเมล เป็นต้น

4.1.3 ข้อมูลทางการเงิน (Financial Data) เช่น หมายเลขบัญชีธนาคาร จำนวนหุ้น หุ้นกู้ เป็นต้น

4.1.4 ข้อมูลการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นโดยบริษัท และ/หรือข้อมูลการติดต่อกับ บริษัท (Communication Data) เช่น บันทึกภาพนิ่ง หรือภาพเคลื่อนไหวหรือทั้ง ภาพ และ/หรือเสียงเมื่อท่านได้ติดต่อเข้าร่วมการประชุมประจำปี หรือเข้าร่วมกิจกรรมอื่นใดกับบริษัท

4.1.5 ข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น บัญชีผู้ใช้แอปพลิเคชัน ไลน์ไอดี เป็นต้น

4.1.6 ข้อมูลที่เกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ คำแนะนำต่าง ๆ ตลอดเวลาที่ท่านเข้าร่วมกิจกรรม

4.1.7 ข้อมูลส่วนบุคคลอื่นๆ เช่น อาชีพ ประวัติการทำงาน เป็นต้น

     4.2 ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว

4.2.1 บริษัทไม่มีความประสงค์จะจัดเก็บ รวบรวม ใช้ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งจัดเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวของท่าน เช่น เชื้อชาติ หรือข้อมูลศาสนา ถึงแม้ว่าข้อมูลดังกล่าวจะปรากฏอยู่บนบัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน หรือเอกสารอื่นใดที่ท่านได้สมัครใจเปิดเผยไว้ต่อบริษัทก็ตาม ทั้งนี้ หากท่านได้ทำการส่งมอบข้อมูลใด ๆ ซึ่งปรากฏข้อมูลที่มีลักษณะเช่นว่านี้ให้แก่บริษัทไม่ว่าจะเป็นการส่งมอบข้อมูลในลักษณะเป็นเอกสาร หรือสื่ออื่นใด ท่านจะต้องปกปิดข้อมูลอ่อนไหวเหล่านี้ ด้วยตัวท่านเอง หากท่านมิได้ปกปิดข้อมูลด้วยตัวท่านเอง บริษัทถือว่าท่านได้อนุญาตโดยชัดแจ้งให้บริษัททำการปกปิดข้อมูลเหล่านี้ให้แก่ท่าน และให้ถือว่าข้อมูลที่ท่านส่งมอบมานี้ซึ่งบริษัทได้จัดการปกปิดข้อมูลอ่อนไหวให้แก่ท่านแล้วเป็นเอกสารที่สมบูรณ์ ใช้บังคับได้ตามกฎหมายทุกประการ และให้บริษัทสามารถนำไปประมวลผลได้ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ทั้งนี้ หากเป็นกรณีที่บริษัทไม่สามารถจัดการปกปิดข้อมูลอ่อนไหวแก่ท่านได้ เนื่องด้วยปัญหาเชิงเทคนิค หรือปัญหาอื่นใด บริษัทจะทำการจัดเก็บข้อมูลอ่อนไหวนี้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเอกสารยืนยันตัวตนของท่านเท่านั้น

4.2.2 กิจกรรมที่ท่านได้เข้าร่วมแล้วหรือจะได้เข้าร่วมในอนาคต ซึ่งอาจมีการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวเพิ่มเติม เช่น ข้อมูลสุขภาพของท่าน ทั้งนี้ การจัดเก็บข้อมูลดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ เพื่อการให้บริการและอำนวยความสะดวกอย่างดีที่สุดแก่ท่านเท่านั้น และในการจัดเก็บข้อมูลอ่อนไหวนี้ บริษัทจะได้ทำการขอความยินยอมของท่านไว้โดยชัดแจ้ง โดยทำเป็นเอกสารขอความยินยอมก่อนการจัดเก็บข้อมูลอ่อนไหวเหล่านั้นเสมอ

4.3 บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของกรรมการ และผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการ

โดยจะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลจากท่านโดยตรง รวมทั้งจากหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานที่กำกับดูแล ข้อมูลที่มีการเปิดเผยสู่สาธารณะ ดังนี้

4.3.1 ในกระบวนการสรรหา บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจากบัตรประจำตัวประชาชน และ/หรือเอกสารอื่นใดที่สามารถใช้ในการยืนยันตัวตนได้ หรือเอกสารที่ทางราชการออกให้ เช่น ชื่อนามสกุล หมายเลขประจำตัวประชาชน หมายเลขหนังสือเดินทาง รูปถ่าย วันเดือนปีเกิด สัญชาติ สถานที่เกิด ส่วนสูง

4.3.2 บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการเพิ่มเติม เช่น การถือครอง ซื้อ ขาย หลักทรัพย์ของบริษัท การจ่ายค่าตอบแทนกรรมการ การจัดอบรม การจัดกิจกรรม สถานะการสมรส ข้อมูลเกี่ยวกับคู่สมรส ผู้ที่อยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา บุตร บิดามารดา พี่น้อง หมายเลขบัญชีธนาคาร อีเมล ประวัติการศึกษา อาชีพ ประวัติการทำงาน การเป็นกรรมการ หรือมีตำแหน่งในบริษัทหรือกิจการอื่น ๆ การเข้าประชุมคณะกรรมการบริษัท หรือคณะกรรมการชุดย่อย หรือผู้ถือหุ้น ชื่อบริษัทหลักทรัพย์ ผลการปฏิบัติงานของกรรมการ และข้อมูลอื่นตามที่กฎหมาย หรือหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีกำหนด

4.4 กรณีที่เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล เมื่อท่านได้จองซื้อ เป็นผู้ถือหุ้น หรือเป็นผู้ถือหุ้นกู้ บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจากท่านโดยตรง รวมทั้งอาจมีการเก็บรวบรวมข้อมูลของท่านผ่านทางนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Broker) หรือนายทะเบียนหลักทรัพย์ด้วย เช่น ช่องทางการติดต่อ สัญชาติ เลขประจำตัวผู้เสียภาษี เลขประจำตัวประชาชน จำนวนหุ้น เป็นต้น

6. ระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล

6.1 บริษัทจะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ตามประเภทข้อมูลส่วนบุคคลแต่ละประเภท เว้นแต่กฎหมายจะอนุญาตให้มีระยะเวลาการเก็บรักษาที่นานขึ้น ในกรณีที่ไม่สามารถระบุระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลได้ชัดเจน บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลไว้ตามระยะเวลาที่อาจคาดหมายได้ตามมาตรฐานของการเก็บรวบรวม (เช่น อายุความตามกฎหมายทั่วไปสูงสุด 10 ปี)

6.2 บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษา หรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาหรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น

6.3 กรณีที่บริษัทใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยขอความยินยอมจากท่าน บริษัทจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวจนกว่าท่านจะแจ้งขอยกเลิกความยินยอม และบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านเสร็จสิ้นแล้ว อย่างไรก็ดีบริษัทจะยังเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเท่าที่จำเป็นสำหรับบันทึกเป็นประวัติว่าท่านเคยยกเลิกความยินยอม เพื่อให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อคำขอของท่านในอนาคตได้

6.4 กรณีข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมโดยกล้องโทรทัศน์วงจรปิด บริษัทจะเก็บข้อมูล ดังนี้

(1) ในสถานการณ์ปกติ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอาจถูกเก็บไว้ไม่เกิน 30 วัน

(2) ในกรณีจำเป็น เช่น กรณีที่จำเป็นต้องใช้เป็นหลักฐานในการสืบสวน สอบสวน หรือการดำเนินคดี หรือกรณีที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลร้องขอ ข้อมูลส่วนบุคคลอาจถูกเก็บรักษาไว้เกินกว่า 30 วัน และบริษัทจะดำเนินการลบข้อมูลดังกล่าวอย่างปลอดภัยเมื่อเสร็จสิ้นวัตถุประสงค์นั้น

7. การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
      บริษัท จะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามวัตถุประสงค์ที่ท่านให้ไว้กับบริษัทเท่านั้น ทั้งนี้บริษัทจะกำหนดให้ผู้ที่ได้รับข้อมูลมีมาตรการปกป้องข้อมูลของท่านอย่างเหมาะสม และประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยปราศจากอำนาจโดยมิชอบ ซึ่งบริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อบุคคล หรือองค์กร ดังต่อไปนี้

7.1 นายทะเบียนผู้ถือหุ้น นายทะเบียนหลักทรัพย์

7.2 หน่วยงานราชการ หน่วยงานในกำกับดูแล หรือหน่วยงานอื่นตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงเจ้าพนักงานซึ่งใช้อำนาจตามกฎหมาย เช่น ศาล ตำรวจ สำนักคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กรมสรรพากร

7.3 ผู้ให้บริการและผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัท มอบหมายหรือว่าจ้างให้ทำหน้าที่บริหารจัดการหรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลให้แก่บริษัท ในการให้บริการต่าง ๆ รวมถึง ผู้ที่ทำหน้าที่ในนามบริษัท หรือร่วมกับบริษัท เช่น การให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ช่างภาพ ผู้รับจ้างที่บริษัทได้ว่าจ้างให้ดำเนินการจัดงาน และจัดกิจกรรม ต่าง ๆ หรือบริการอื่นใดที่อาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน ซึ่งมีความจำเป็นอย่างสมเหตุสมผลที่ต้องได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อทำให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ระบุในเอกสารฉบับนี้

7.4 ธนาคารในกรณีมีหน้าที่จ่ายเงินให้ท่าน หรือบริษัทประกันในกรณีมีการเดินทางสำหรับท่านที่เข้าร่วมกิจกรรม

8. การส่งและ/หรือเปิดเผยข้อมูลไปต่างประเทศ
     บริษัท ไม่มีการโอนถ่าย และ/หรือส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตบริษัท มีความจำเป็นต้องมีการโอนถ่าย และ/หรือส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศ บริษัทจะกำหนดมาตรฐานในการทำข้อตกลง และ/หรือสัญญาร่วมธุรกิจกับหน่วยงาน องค์กร ที่จะได้รับข้อมูลส่วนบุคคลนั้นให้มีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นที่ยอมรับและสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลนั้นจะได้รับการคุ้มครองอย่างปลอดภัย โดย

8.1การส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังต่างประเทศจะต้องเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และบริษัท จะต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบ

8.2การประมวลผลในระบบคลาวด์ (Cloud) บริษัทจะพิจารณาองค์กรที่มีมาตรฐานความมั่นคงปลอดภัยในระดับสากล และจะจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบการเข้ารหัส หรือวิธีการอื่นๆ ที่ไม่สามารถระบุตัวตนของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ เป็นต้น

9. สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
     บริษัทเคารพสิทธิส่วนบุคคลของท่าน และเปิดโอกาสให้ท่านสามารถเลือกวิธีการควบคุม หรือวิธีการที่บริษัทใช้ติดต่อท่าน โดยบริษัทจะปฏิบัติตามที่ท่านได้ร้องขอ เพื่อช่วยให้เกิดความโปร่งใส และเพื่อคุณภาพของข้อมูล และความถูกต้องของข้อมูล ท่านมีสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโดยท่านสามารถส่งคำขอให้บริษัททราบเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางที่บริษัทกำหนดในการดำเนินการตามสิทธิ ดังต่อไปนี้

9.1 สิทธิขอถอนความยินยอม หากท่านได้ให้ความยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน (ไม่ว่าจะเป็นความยินยอมที่ท่านให้ไว้ก่อนวันที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลใช้บังคับหรือ หลังจากนั้น) ท่านมีสิทธิที่จะถอนความยินยอมเมื่อใดก็ได้ตลอดระยะเวลาที่ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอยู่กับบริษัททั้งนี้ บริษัทขอแจ้งให้ท่านทราบว่า การเพิกถอนความยินยอมไม่ส่งผลกระทบต่อการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมไว้แล้วโดยชอบ เว้นแต่มีข้อจำกัดสิทธินั้นโดยกฎหมาย หรือโดยสภาพ ไม่สามารถถอนความยินยอมได้ หรือมีสัญญาระหว่างท่านกับบริษัทที่ให้ประโยชน์แก่ท่านอยู่ หรืออาจส่งผลให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์บางส่วนหรือทั้งหมดตามที่ระบุไว้ในเอกสารฉบับนี้ได้

9.2 สิทธิขอเข้าถึงข้อมูล ท่านมีสิทธิขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท และขอให้บริษัททำสำเนาข้อมูลดังกล่าวให้แก่ท่าน รวมถึงขอให้บริษัทเปิดเผยว่าบริษัทได้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมาได้อย่างไร เว้นแต่กรณีที่บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่านตามกฎหมาย หรือคำสั่งของศาล หรือกรณีที่คำขอของท่านจะมีผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น

9.3 สิทธิขอถ่ายโอนข้อมูล  ท่านมีสิทธิขอให้โอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในกรณีที่บริษัทได้จัดทำข้อมูลส่วนบุคคลนั้นอยู่ในรูปแบบให้สามารถอ่านหรือใช้งานได้ด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติ และสามารถใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ รวมทั้งมีสิทธิขอให้บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นเมื่อสามารถทำได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ และมีสิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยัง ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นโดยตรง เว้นแต่ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะเหตุทางเทคนิคทั้งนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านข้างต้นต้องเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัท หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทจำเป็นต้องประมวลผล เพื่อให้ท่านสามารถใช้บริการของบริษัทได้ตามความประสงค์ซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาอยู่กับบริษัท หรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนใช้บริการ หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอื่นตามที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายกำหนด

9.4 สิทธิขอคัดค้าน ท่านมีสิทธิขอคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในเวลาใดก็ได้ หากประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านทำขึ้นเพื่อการดำเนินงานที่จำเป็นภายใต้ประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นโดยไม่เกินขอบเขตที่ท่านสามารถคาดหมายได้อย่างสมเหตุสมผล หรือเพื่อดำเนินการตามภารกิจเพื่อสาธารณประโยชน์ หรือเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือสถิติหากท่านยื่นคัดค้าน บริษัทจะยังคงดำเนินการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไปเฉพาะที่บริษัทสามารถแสดงเหตุผลตามกฎหมายได้ว่ามีความสำคัญยิ่งกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานของท่าน หรือเป็นไปเพื่อการยืนยันสิทธิตามกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมาย หรือการต่อสู้ในการฟ้องร้องตามกฎหมาย ตามแต่ละกรณี

9.5 สิทธิขอให้ลบหรือทำลายข้อมูล ท่านมีสิทธิขอลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนของท่านได้ หากท่านเชื่อว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกประมวลผลโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หรือเห็นว่าบริษัทหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องในประกาศฉบับนี้ หรือเมื่อบริษัทเห็นว่าสามารถปฏิบัติตามที่ท่านได้ใช้สิทธิขอถอนความยินยอมหรือใช้สิทธิขอคัดค้านตามที่แจ้งไว้ข้างต้นแล้ว

9.6 สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูล ท่านมีสิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลชั่วคราวในกรณีที่บริษัทอยู่ระหว่างตรวจสอบตามคำร้องขอใช้สิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล หรือขอคัดค้านของท่าน หรือกรณีอื่นใด ที่บริษัทหมดความจำเป็นและต้องลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องแต่ท่านขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลแทน

 9.7 สิทธิขอให้แก้ไขข้อมูล ท่านมีสิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้งนี้ หากท่านประสงค์จะขอแก้ไขข้อมูลเกี่ยวกับภาพ บริษัทจะทำการแก้ไขเฉพาะรายการข้อมูลที่เกี่ยวกับภาพของท่านเพื่อให้ถูกต้อง ตามความจำเป็นของบริษัทที่ชอบด้วยกฎหมายและในกรณีที่การดำเนินการตามคำขอก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายบริษัทอาจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากท่าน

9.8 สิทธิร้องเรียน ท่านมีสิทธิร้องเรียนต่อบริษัทผ่าน เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: (Data Protection Officer) อีเมล :  dpo@vincent.clinic  หรือผู้มีอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากท่านเชื่อว่าการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เป็นการกระทำในลักษณะที่ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

10. วิธีการใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูล

10.1 การร้องขอใด ๆ เพื่อการใช้สิทธิของท่านจะต้องกระทำเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งบริษัทได้จัดให้มีขึ้นในเว็บไซต์ของบริษัท หรือกรอกข้อมูลผ่าน แบบฟอร์มคำร้องขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject Request Form) ส่งมาที่อีเมล : dpo@vincent.clinic  หรือ ทางไปรษณีย์ตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในแบบฟอร์มดังกล่าว

ทั้งนี้ บริษัทจะใช้ความพยายามอย่างดีที่สุดที่จะดำเนินการภายในระยะเวลาที่สมเหตุสมผล และไม่เกินระยะเวลา 30 วัน นับแต่ได้รับคำร้อง อย่างไรก็ดี บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่าน ในกรณีที่มีข้อยกเว้นตามกฎหมาย หรือบริษัทจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาได้ หรือมีผลกระทบกับการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญา หรือเป็นการปฏิเสธตามคำสั่งศาล หรือหากบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านจะส่งผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น โดยบริษัทจะดำเนินการบันทึกการปฏิเสธคำร้องขอพร้อมด้วยเหตุผลไว้ ทั้งนี้ หากปรากฏอย่างชัดเจนว่าคำร้องขอของท่านเป็นคำร้องขอที่ไม่สมเหตุสมผล หรือคำร้องขอฟุ่มเฟือยบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินการตามที่ท่านร้องขอในอัตราที่บริษัทกำหนด

10.2 บริษัทจะพยายามอย่างเต็มที่ตามความสามารถของระบบงานที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกและดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน เว้นแต่จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า การดำเนินการตามคำร้องขอนั้นเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ใช้งานรายอื่น หรือเป็นการขัดต่อกฎหมาย หรือนโยบายความปลอดภัยของระบบ หรือกรณีที่เป็นการพ้นวิสัยในทางปฏิบัติตามคำร้องขอ เนื่องมาจากเหตุทางเทคนิค

10.3 ในบางสถานการณ์บริษัทอาจขอให้ท่านพิสูจน์ตัวตนของท่านก่อนการใช้สิทธิเพื่อความปลอดภัยของท่านเอง โดยบางครั้งอาจเกิดข้อจำกัดในการขอใช้สิทธิของท่านบางประการ ซึ่งบริษัทจะทำการชี้แจงให้ท่านทราบหากไม่สามารถปฏิบัติตามคำร้องขอใช้สิทธิของท่านได้

10.4 หากเป็นกรณีกิจกรรมที่บริษัททำการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามฐานการปฏิบัติตามสัญญา หรือฐานเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย หรือฐานการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย บริษัทมีสิทธิปฏิเสธการใช้สิทธิของท่านในกรณีที่ท่านใช้สิทธิโต้แย้ง หรือขอระงับการใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่าน และขอให้ดำเนินการลบ หรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่านได้ รวมถึงบริษัทอาจปฏิเสธที่จะดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน หากบริษัท มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บข้อมูลต่อไป เพื่อการกระทำการ ดังต่อไปนี้

(1) เพื่อทำรายการใด ๆ ตามวัตถุประสงค์ที่บริษัท เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น หรือดำเนินการตามสมควรภายในขอบเขตความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างบริษัทกับท่าน

(2) เพื่อใช้เป็นการภายในตามสมควรโดยสอดคล้องกับความคาดหมายของท่านที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบริษัท และสอดคล้องกับบริบทที่ท่านได้ให้ข้อมูลดังกล่าวไว้แต่แรก และเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ข้อบังคับ กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง

10.5 ในกรณีที่ท่านไม่ประสงค์ถูกบันทึกภาพ ท่านมีสิทธิที่จะขอรับและติดสัญลักษณ์ “ห้ามถ่ายภาพบุคคล” ตลอดการร่วมประชุม ทั้งนี้ บริษัทขอเรียนให้ทราบว่าด้วยลักษณะการจัดกิจกรรมอาจมีการถ่ายภาพบรรยากาศกิจกรรม ซึ่งแม้ท่านขอรับสัญลักษณ์ดังกล่าวแล้วก็ตาม ก็อาจปรากฎภาพของท่านเป็นส่วนประกอบของภาพได้ ดังนั้น บริษัทจึงแนะนำให้ท่านแจ้งต่อบริษัทเพื่อปฏิเสธขณะที่บริษัทกำลังบันทึกภาพ หรือหลีกเลี่ยงบริเวณที่บันทึกภาพ หรือไม่เข้าร่วมกิจกรรมขณะมีการบันทึกภาพ หรือภาพเคลื่อนไหว

10.6 บริษัทจำเป็นต้องแจ้งให้ทราบว่า การขอใช้สิทธิของท่านบางประการ อาจเกิดข้อจำกัด ในกรณีที่ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นข้อมูลที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อบริษัทในการปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมาย เพื่อการชำระเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นกู้ ตัวแทนของบุคคลดังกล่าว และการบริการจัดการทะเบียนผู้ถือหุ้น และข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่จำเป็นต่อบริษัทในการปฏิบัติตามสัญญา หรือข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิ และหน้าของผู้ออกหุ้น ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ หากท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นแก่บริษัท หรือใช้สิทธิ ขอให้ลบ ระงับการใช้ข้อมูล บริษัทอาจไม่สามารถบริการหรือจัดการสัญญาระหว่างท่านกับบริษัท รวมถึงสิทธิประโยชน์ที่ท่านอาจจะได้รับ

11. มาตรการการรักษาความปลอดภัย
     บริษัท กำหนดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการสูญหาย การเข้าถึง การใช้ การเปลี่ยนแปลง การแก้ไข หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่มีอำนาจหรือโดยขัดต่อกฎหมาย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศของบริษัท (Information Security Policy) และนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Policy)

12. การแก้ไขเปลี่ยนแปลง

บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไข ทบทวน และปรับปรุงประกาศความเป็นส่วนตัวที่จะมีผลบังคับใช้ ณ เวลาที่ได้เผยแพร่ต่อไปโดยมิต้องแจ้งให้ท่านทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ เพื่อความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการให้บริการ ดังนั้น บริษัทจึงขอแนะนำให้ท่านอ่านประกาศความเป็นส่วนตัวทุกครั้งที่เยี่ยมชม หรือใช้บริการจากบริษัท หรือเว็บไซต์ของบริษัท ที่ https://vincent.clinic/th 

2.3 ประกาศความเป็นส่วนตัวของบุคลากร และผู้เกี่ยวข้อง (Privacy Notice)
1. บทนำ

บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (“บริษัท”) ได้จัดทำประกาศความเป็นส่วนตัวของบุคลากร และผู้เกี่ยวข้อง (ซึ่งรวมเรียกว่า “ท่าน”) ฉบับนี้ขึ้น เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง และให้หมายความรวมถึงกฎหมายฉบับแก้ไขเพิ่มเติมใดๆ ในอนาคต (“กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล”)

เพื่ออธิบายให้ท่านทราบถึงวัตถุประสงค์และวิธีการที่บริษัทปฏิบัติต่อข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนของท่าน หรืออาจระบุตัวตนของท่านได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น วิธีการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย หรือการดำเนินการใด ๆ กับข้อมูลส่วนบุคคล อาทิ การบันทึก การจัดระบบ การจัดเก็บ การเปลี่ยนแปลงหรือการดัดแปลง การเรียกคืน การส่ง โอน การเผยแพร่ หรือการทำให้สามารถเข้าถึงหรือพร้อมใช้งานโดยวิธีใดๆ การจัดเรียง การนำมารวมกัน การจำกัดหรือการห้ามเข้าถึง การลบหรือการทำลาย (“ประมวลผล”) และเพื่อแจ้งให้ท่านทราบถึงวัตถุประสงค์ ระยะเวลาในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล ตลอดจนสิทธิของท่านในฐานะเจ้าขงข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ บริษัทขอให้ท่านอ่านและทำความเข้าใจถึงข้อกำหนดต่าง ๆ ภายใต้ประกาศฯ ฉบับนี้ โดยมีรายละเอียดดังนี้

2. กลุ่มหรือประเภทของบุคคลที่บริษัททำการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล
     ภายใต้ประกาศฯ ฉบับนี้ กลุ่มหรือประเภทของบุคคลที่บริษัททำการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลประกอบด้วย

2.1 บริษัท หมายถึง บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

2.2 บุคลากร หมายถึง บุคคลซึ่งทำงานหรือปฏิบัติหน้าที่ใด ๆ ให้กับบริษัท และได้ค่าจ้าง สวัสดิการ หรือ ค่าตอบแทนอื่นจากบริษัท เพื่อตอบแทนการทำงาน เช่น กรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน ผู้ฝึกงาน หรือบุคคลอื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่ไม่รวมถึงผู้รับจ้างหรือผู้ให้บริการซึ่งเป็นคู่ค้าของบริษัท

2.3 ผู้ที่เกี่ยวข้อง หมายถึง บุคคลที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรของบริษัท รวมถึงผู้ที่มีข้อมูลส่วนบุคคลปรากฏในเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการที่เกี่ยวข้อง เช่น บุคคลในครอบครัว (เช่น บิดา มารดา คู่สมรส และบุตร เป็นต้น) บุคคลที่สามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน บุคคลอ้างอิง (Reference Person) และผู้รับผลประโยชน์ เป็นต้น

2.4 ท่าน หมายถึง เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

3. วิธีที่บริษัทเก็บรวบรวมและรับข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทเก็บรวบรวมและรับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้

3.1 ข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้ไว้กับบริษัทโดยตรง ท่านอาจให้ข้อมูลส่วนบุคคลแก่บริษัทโดยตรง เช่น เมื่อท่านยื่นใบสมัครงานและเอกสารประกอบการสมัครงานให้แก่บริษัท ไม่ว่าโดยการ walk-in การสมัครงานผ่านเว็บไซต์ของบริษัท การสมัครทางอีเมล หรือตามช่องทางอื่นๆ ที่บริษัทกำหนดให้ และให้หมายความรวมถึงกรณีที่ท่านเข้าสัมภาษณ์งาน เข้าทำสัญญากับบริษัท และส่งมอบเอกสารต่างๆ ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลของท่านปรากฏอยู่มาให้กับบริษัท เป็นต้น

3.2 ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมจากท่านอัตโนมัติ บริษัทอาจเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยอัตโนมัติผ่านทางช่องทางต่างๆ เช่น การใช้คุกกี้ (Cookies) หรือเทคโนโลยีอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน รายละเอียดเพิ่มเติมโปรดดู นโยบายคุกกี้

3.3 ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาจากบุคคลภายนอก บริษัทอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากบุคคลภายนอก เช่น เว็บไซด์สมัครงานของบุคคลที่สาม บุคคลอ้างอิงของท่าน บริษัทจัดหางาน หน่วยงานของรัฐ สถานศึกษา แหล่งข้อมูล Social Media หรือใบสมัครงานและ/หรือเอกสารของบุคคลซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับท่านในฐานะที่ท่านเป็นบุคคลในครอบครัว บุคคลที่สามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน บุคคลอ้างอิง ผู้รับผลประโยชน์ หรือผู้ค้ำประกันการทำงานของบุคคลดังกล่าว เป็นต้น

ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ท่านจะได้รับการแจ้งถึงรายละเอียดต่างๆ ตามที่ระบุในประกาศฯ ฉบับนี้ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะวัตถุประสงค์และฐานทางกฎหมายในการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย และ/หรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล หรือหากกรณีที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดให้การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลใดต้องได้รับความยินยอมจากท่าน บริษัทจะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่าน

ในกรณีที่บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ก่อนวันที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครอง ข้อมูลส่วนบุคคลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลมีผลใช้บังคับ บริษัทจะเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไปตามวัตถุประสงค์เดิมที่บริษัทได้แจ้งไว้แก่ท่านในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งท่านมีสิทธิยกเลิกความยินยอม โดยติดต่อมายังบริษัท ตามรายละเอียดการติดต่อที่ระบุในข้อ 9. ของประกาศฯ ฉบับนี้ ทั้งนี้ บริษัทขอสงวนสิทธิในการพิจารณาคำขอยกเลิกความยินยอมของท่านและดำเนินการตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

4. ข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกเก็บรวบรวม

บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเท่าที่จำเป็น โดยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่ถูกเก็บรวบรวมและประมวลผลภายใต้ประกาศฯ ฉบับนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้ไว้กับบริษัทโดยตรง หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมจากท่านโดยอัตโนมัติ หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาจากบุคคลภายนอก ได้แก่

4.1 ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ นามสกุล วัน/เดือน/ปีเกิด อายุ เพศ น้ำหนัก ส่วนสูง หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน รูปถ่าย ลายมือชื่อ สัญชาติ เชื้อชาติ สถานภาพการสมรส สถานภาพทางทหาร ข้อมูลบุคคลในครอบครัว (เช่น บิดา มารดา คู่สมรส และบุตร เป็นต้น)

4.2 ข้อมูลการติดต่อ เช่น ที่อยู่อาศัย หมายเลขโทรศัพท์ โทรสาร อีเมล ไอดีผู้ใช้สำหรับ แอปพลิเคชั่น (line ID) ข้อมูลผู้ที่สามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน และข้อมูลบุคคลอ้างอิง เป็นต้น

4.3 ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา การฝึกอบรม เช่น ชื่อสถาบัน คณะ วิชา สาขา และปีที่จบการศึกษา เป็นต้น หนังสือรับรองคุณวุฒิ ใบแสดงผลการศึกษา ความสามารถทางภาษา ความสามารถทางด้านคอมพิวเตอร์ ข้อมูลการอบรม ข้อมูลการทดสอบ และกิจกรรมที่เข้าร่วมระหว่างการศึกษา เป็นต้น

4.4 ข้อมูลเกี่ยวกับการสมัครงาน เช่น ประวัติส่วนตัว ประวัติการทำงาน ข้อมูลที่ปรากฏใน Resume/CV ข้อมูลประวัติอาชญากรรม ตำแหน่งที่สมัครงาน เงินเดือนที่คาดหวัง ข้อมูลการสัมภาษณ์งาน หลักฐานหรือหนังสืออ้างอิงต่างๆ และข้อมูลที่ปรากฏในแบบประเมินผลการสัมภาษณ์ เป็นต้น

4.5 ข้อมูลที่ใช้ประกอบเป็นหลักฐานในการสมัครงานหรือทำนิติกรรมต่าง ๆ เช่น ข้อมูลส่วนบุคคลที่ปรากฏในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาหนังสือเดินทาง สำเนาใบเปลี่ยนชื่อนามสกุล สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาใบสำคัญการเกณฑ์ทหาร สำเนาสมุดบัญชีธนาคาร สำเนาทะเบียนสมรส สำเนาสูติบัตร ใบรับรองแพทย์ ผลการตรวจสุขภาพ/ตรวจร่างกายก่อนเข้าทำงาน แบบระบุนามผู้รับผลประโยชน์ แบบขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน หนังสือยินยอมในการตรวจหาสารเสพติด หนังสือยินยอมให้ตรวจสอบประวัติบุคคล สัญญาจ้าง หนังสือสัญญาค้ำประกันการทำงาน และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ข้อตกลงว่าจ้างที่ปรึกษา เป็นต้น

4.6 ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานและการประเมินผล เช่น รหัสพนักงาน ตำแหน่ง แผนก สังกัด สายการบังคับบัญชา การประเมินผล การปฏิบัติงาน พฤติกรรมในการทำงาน ผลงานและ/หรือรางวัลที่เคยได้รับ ข้อมูลการฝึกอบรม ข้อมูลการลงโทษทางวินัย ข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือโอนย้ายพนักงานข้ามบริษัท สัญญายืมตัวพนักงาน ใบลาออกจากการเป็นพนักงาน และเหตุผลที่ลาออก เป็นต้น

4.7 ข้อมูลเกี่ยวกับผลประโยชน์และค่าตอบแทน เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง ผลตอบแทน โบนัส รายละเอียดเกี่ยวกับค่าบำเหน็จ สวัสดิการ เลขที่บัญชีธนาคาร ข้อมูลของผู้ค้ำประกันการทำงาน ข้อมูลของผู้รับผลประโยชน์ ข้อมูลเกี่ยวกับการประกันสังคม ข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ข้อมูลด้านภาษีอากร ข้อมูลการหักลดหย่อนภาษี ข้อมูลสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับสุขภาพ (รวมถึงสำหรับบุคคลในครอบครัว) และ/หรือผลประโยชน์อื่น ๆ ข้อมูลส่วนบุคคลที่ปรากฏในใบรับรองแพทย์ รายงานสุขภาพประจำปี แบบแจ้งการลาคลอด แบบยืมกู้ยืมเงินสวัสดิการบริษัท หนังสือยินยอมให้หักเงินเดือน ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ แบบเรียกค่าสินไหมทดแทน (สำหรับการประกันอุบัติเหตุ และประกันภัย) และแบบขออนุมัติผลประโยชน์เมื่อพ้นสภาพพนักงานสำหรับการเกษียณอายุ เป็นต้น

4.8 ข้อมูลเกี่ยวกับสถิติทางทะเบียน เช่น วันที่เริ่มงาน วันครบกำหนดทดลองงาน วันและเวลาที่เข้างาน จำนวนชั่วโมงที่ทำงาน จำนวนชั่วโมงที่ทำงานล่วงเวลา วันหยุดพักผ่อนประจำปี วันลา แบบแจ้งการลา รายละเอียดการลาถึงสาเหตุการลา บันทึกการเข้าออกบริษัทและการบันทึกการใช้ระบบต่างๆของบริษัท เป็นต้น

4.9 ข้อมูลด้านเทคนิค เช่น ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ (log) หมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ (IP Address) และข้อมูลที่บริษัทได้เก็บรวบรวมผ่านคุกกี้ (Cookies) หรือเทคโนโลยีอื่นที่คล้ายคลึงกัน เป็นต้น

4.10 ข้อมูลอื่นๆ เช่น บันทึกเสียงการสนทนา รวมถึงการถ่ายภาพหรือบันทึกภาพเคลื่อนไหวในเหตุการณ์ต่างๆ ผ่านกล้องวงจรปิด (CCTV) หรือกล้องของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ซึ่งเชื่อมต่อกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เช่น Zoom, MS Team, Google Meet เป็นต้น

5. วัตถุประสงค์และฐานทางกฎหมายในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
     5.1 บริษัทประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ภายใต้ฐานทางกฎหมาย ดังต่อไปนี้ (รวมกันเรียกว่า “วัตถุประสงค์ที่กำหนด”)

1) เพื่อวัตถุประสงค์ในการอนุมัติเงินเดือนและผลประโยชน์สำหรับพนักงานของบริษัท

   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :

• ฐานสัญญา : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของบุคลากร และผู้เกี่ยวข้อง เป็นการจำเป็น เพื่อใช้ในการพิจารณาคำขอของผู้สมัครงานที่ผ่านขั้นตอนการสัมภาษณ์งานและเข้าสู่กระบวนการอนุมัติเงินเดือนและผลประโยชน์สำหรับพนักงานก่อนเข้าทำสัญญาจ้าง หรือสัญญาอื่นใด เพื่อบรรจุเข้าเป็นพนักงานของบริษัท

• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของของบุคลากร และผู้เกี่ยวข้อง เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท เนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลที่ประมวลผลมีความจำเป็นต่อการพิจารณาอนุมัติเงินเดือนและผลประโยชน์สำหรับพนักงานของบริษัท

• ฐานสัญญา : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นเพื่อดำเนินการเข้าทำสัญญาจ้าง และสัญญาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องตลอดจนการดำเนินการใดๆ ที่จำเป็นก่อนการเข้าทำสัญญาดังกล่าว

2) เพื่อวัตถุประสงค์ในการดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับจ้างงาน และการบรรจุพนักงานเข้าทำงาน อาทิ การตรวจร่างกายก่อนเข้าทำงาน การระบุนามผู้รับประโยชน์ การขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน การตรวจสอบประวัติอาชญากรรม และการเข้าทำสัญญาจ้าง เป็นต้น

   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :

• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน เป็นการจำเป็นในการบริหารจัดการด้านทรัพยากรบุคคลของบริษัท เช่น การตรวจสอบและพิจารณาคุณสมบัติของพนักงาน เพื่อบรรจุพนักงานเข้าทำงานในตำแหน่งที่เหมาะสม เป็นต้น
• ฐานกฎหมาย : ในกรณีของกรรมการและผู้บริหารของบริษัท การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของกรรมการและผู้บริหารของบริษัท เป็นการจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 เช่น การจัดทำแบบฟอร์ม และเอกสารต่างๆ เพื่อยื่นต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
• ฐานความยินยอม : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวของพนักงาน อาทิ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ และข้อมูลชีวภาพ จะกระทำโดยอาศัยความยินยอมที่ได้รับจากพนักงาน
        3) เพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหารจัดการสวัสดิการและผลประโยชน์พนักงาน ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะเงินกู้สวัสดิการ การเบิกค่ารักษาพยาบาล สวัสดิการส่วนลดสำหรับพนักงาน การตรวจร่างกายประจำปี การประกันภัย และการเรียกค่าสินไหมทดแทนที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัย
   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล : 
• ฐานสัญญา : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นสำหรับบริษัทในการปฏิบัติตามสัญญาจ้าง และสัญญาอื่นๆ ซึ่งพนักงานเป็นคู่สัญญา
• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน เป็นการจำเป็นต่อการบริหารจัดการด้านทรัพยากรบุคคลของบริษัท เช่น การจัดสรรสวัสดิการและผลประโยชน์ของพนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน
• ฐานการปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อให้บรรลุประสงค์เกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงาน และประกันสังคม : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงาน และการประกันสังคม สวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของผู้มีสิทธิตามกฎหมาย การคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ หรือการคุ้มครองทางสังคม
• ฐานความยินยอม : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวของพนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน อาทิ ข้อมูลสุขภาพ เพื่อการบริหารจัดการการประกันภัยแบบกลุ่มหรือสวัสดิการอื่นๆ จะกระทำโดยอาศัยความยินยอมที่ได้รับจากพนักงานและผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน
        4) เพื่อวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานตามสัญญาจ้าง ข้อตกลงการว่าจ้างสัญญาแต่งตั้ง หรือสัญญาอื่นใด ซึ่งเข้าทำกับบริษัท

   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล : 

• ฐานสัญญา : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงานที่เกี่ยวข้อง เป็นการจำเป็นเพื่อการปฏิบัติหน้าที่หรือทำงานตามขอบเขตที่ระบุในสัญญาจ้าง ข้อตกลงการจ้าง สัญญาแต่งตั้ง หรือสัญญาอื่นใด ซึ่งพนักงานได้เข้าทำกับบริษัท เช่น การใช้และเปิดเผยชื่อ นามสกุล และข้อมูลส่วนบุคคลที่ปรากฏในบัตรประจำตัวประชาชนของพนักงาน เพื่อยืนยันตัวตนในฐานะผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทในการลงนามในสัญญา เอกสาร หรือกระทำการใด ๆ ในนามของบริษัท ตลอดจนการใช้และเปิดเผยชื่อพนักงานในประกาศ ใบอนุมัติ แบบฟอร์ม หรือเอกสารอื่นๆ ของบริษัทตามขอบอำนาจหน้าที่ หรือส่วนงานที่พนักงานดังกล่าวเป็นผู้รับผิดชอบ เป็นต้น

• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายในการดำเนินธุรกิจ และการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องของบริษัท

5) เพื่อวัตถุประสงค์ในการบันทึกเวลาการทำงาน จ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส ค่าตอบแทน หรือสิทธิประโยชน์ใดๆ

ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล : 

• ฐานสัญญา : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นสำหรับการจ่ายค่าจ้าง เงินเดือน โบนัส ค่าตอบแทนและ/หรือสิทธิประโยชน์ใด ๆ ตามสัญญาจ้าง และสัญญาอื่น ๆ ซึ่งพนักงานเป็นคู่สัญญา

• ฐานกฎหมาย : ในบางกรณีการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายของบริษัท เช่น การหักภาษี ณ ที่จ่าย ตามกฎหมายว่าด้วยภาษีอากร เป็นต้น

• ฐานความยินยอม : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวของพนักงาน อาทิ ข้อมูลชีวภาพ จะกระทำโดยอาศัยความยินยอมที่ได้รับจากพนักงาน

        6) เพื่อวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล และคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายของหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :

• ฐานกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายของบริษัท ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะกฎหมายแรงงาน กฎหมายว่าด้วยประกันสังคม กฎหมายว่าด้วยภาษีอากร กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี ต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ การส่งข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงานให้แก่หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมสรรพากร สำนักงานประกันสังคม สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นต้น
       7) เพื่อวัตถุประสงค์ในการประเมินผลการปฏิบัติงาน หรือหน้าที่ของพนักงาน
   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :

• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายในการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานเพื่อการบริหารจัดการด้านทรัพยากรบุคคล หรือเพื่อประโยชน์อื่นใดในการดำเนินธุรกิจของบริษัท
        8) เพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหารจัดการฝึกอบรมบุคลากร ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะการรวบรวมรายชื่อผู้ที่มีความประสงค์จะเข้าฝึกอบรม และดำเนินการบริหารจัดการทางทะเบียนและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ
   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :
• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท ในการบริหารจัดการการฝึกอบรม เช่น การลงทะเบียนหลักสูตรการฝึกอบรม การจัดแผนการดำเนินการและแบบฝึกอบรม ตลอดจนการจัดสรรสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่เหมาะสม สำหรับการจัดฝึกอบรมเป็นต้น
        9) เพื่อวัตถุประสงค์ในการโอนย้ายพนักงาน และการยืมตัวพนักงาน / บุคลากร

   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :

• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายในการบริหารจัดการด้านทรัพยากรบุคคลของบริษัท เช่น การโอนย้าย หรือยืมตัวพนักงาน เป็นต้น

• ฐานสัญญา : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามสัญญาจ้าง สัญญาโอนพนักงานซึ่งมีพนักงานเป็นคู่สัญญา หรือสัญญาอื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน

ในกรณีที่บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงานไปต่างประเทศ บริษัทจะดำเนินการเพื่อทำให้แน่ใจว่าประเทศปลายทาง หรือผู้รับข้อมูลส่วนบุคคลในต่างประเทศนั้นมีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เพียงพอในบางกรณี บริษัทอาจขอความยินยอมของพนักงาน สำหรับการส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงานไปยังต่างประเทศ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

        10) เพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลในเรื่องอื่นๆ อาทิ การลงโทษทางวินัย การเลิกจ้าง การลาออก และการเกษียณ เป็นต้น

   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล : 

• ฐานสัญญา : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นเพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาจ้าง และสัญญาอื่นๆ ซึ่งพนักงานเป็นคู่สัญญา อาทิ การเลิกจ้าง ในกรณีที่พนักงานลาออกหรือเกษียณจากการทำงาน และการบันทึกประวัติการถูกลงโทษทางวินัยของพนักงานที่ฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับการทำงาน เป็นต้น

• ฐานกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายของบริษัท เช่น การดำเนินการตามกระบวนการเลิกจ้าง การลาออก หรือการเกษียณของพนักงานของพนักงาน ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น

• ฐานการปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงาน : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายของบริษัท เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงาน เช่น การลงโทษทางวินัย และการเลิกจ้าง เป็นต้น

• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายในการจัดการด้านทรัพยากรบุคคลของบริษัท เช่น การลงโทษทางวินัยและบันทึกประวัติถูกลงโทษทางวินัยของพนักงาน และการพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของบริษัท เป็นต้น

        11) เพื่อวัตถุประสงค์ในการติดต่อสื่อสารกับ พนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน

   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :

 • ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทในการติดต่อสื่อสารกับพนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน
        12) เพื่อวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามหรือการใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือยกขึ้นต่อสู้ซึ่งสิทธิเรียกร้องของบริษัทในขั้นตอนต่างๆ ตามกฎหมาย
   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :
• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล เป็นการจำเป็นเพื่อการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามหรือการใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือการยกขึ้นต่อสู้สิทธิเรียกร้องของบริษัทในขั้นตอนต่างๆ ตามกฎหมาย เช่น การสอบสวนและ/หรือการไต่สวนโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ การเตรียมคดี การดำเนินคดี และ/หรือการต่อสู้คดีในชั้นศาล เป็นต้น
        13) เพื่อวัตถุประสงค์ในการตรวจสอบดูแลความสงบเรียบร้อยความรักษาความปลอดภัยและทรัพย์สินของบริษัท
   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :
• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย ในการตรวจสอบดูแลความสงบเรียบร้อยและรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินของบริษัท หรือการใช้ภาพบันทึกจากกล้องวงจรปิด (CCTV) เพื่อป้องกันการสูญหาย หรือเสียหายในทรัพย์สินของบริษัท หรือใช้เพื่อติดตามเอาคืนทรัพย์สิน หรือเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหาย ในกรณีที่มีการทำให้ทรัพย์สินของบริษัท สูญหาย หรือเสียหาย เป็นต้น
• ฐานการป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของพนักงาน : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบ ดูแล ป้องกัน หรือระงับเหตุการณ์ใดๆ ที่อาจเป็นอันตรายชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของพนักงาน
        14) เพื่อการดำเนินการใดๆ ที่จำเป็น และเป็นประโยชน์ต่อท่าน หรือเกี่ยวข้องโดยตรงกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดข้างต้น เช่น การบันทึกภาพเคลื่อนไหวเพื่อจัดทำรายงานการประชุม หรือหลักฐานการเข้าประชุมหรือลงมติต่าง ๆ ในการประชุม Work from home เป็นต้น
   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :
• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์ชอบด้วยกฎหมายในการดำเนินการใดๆ ที่จำเป็นของบริษัท และ/หรือเป็นประโยชน์ต่อท่าน หรือเกี่ยวข้องโดยตรงกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดข้างต้น
ทั้งนี้ หากเป็นกรณีที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดให้การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลใดต้องได้รับความยินยอมจากท่าน บริษัท จะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่าน
        15) เพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ ที่บริษัท จะแจ้งให้ท่านทราบ
   ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :
บริษัท จะแจ้งให้ท่านทราบถึงวัตถุประสงค์อื่นใด อันเป็นเหตุให้บริษัท ต้องประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านนอกเหนือไปจากวัตถุประสงค์ตามที่ระบุไว้ข้างต้นหรือเมื่อบริษัท มีการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์เดิมที่กำหนดไว้
      ทั้งนี้ หากเป็นกรณีที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดให้การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลใดต้องได้รับความยินยอมจากท่าน บริษัท จะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่าน

6. ระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล

6.1 บริษัทจะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ตามประเภทข้อมูลส่วนบุคคลแต่ละประเภท เว้นแต่กฎหมายจะอนุญาตให้มีระยะเวลาการเก็บรักษาที่นานขึ้น ในกรณีที่ไม่สามารถระบุระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลได้ชัดเจน บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลไว้ตามระยะเวลาที่อาจคาดหมายได้ตามมาตรฐานของการเก็บรวบรวม (เช่น อายุความตามกฎหมายทั่วไปสูงสุด 10 ปี)

6.2 บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษา หรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาหรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น

6.3 กรณีที่บริษัทใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยขอความยินยอมจากท่าน บริษัทจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวจนกว่าท่านจะแจ้งขอยกเลิกความยินยอม และบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านเสร็จสิ้นแล้ว อย่างไรก็ดีบริษัทจะยังเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเท่าที่จำเป็นสำหรับบันทึกเป็นประวัติว่าท่านเคยยกเลิกความยินยอม เพื่อให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อคำขอของท่านในอนาคตได้

6.4 กรณีข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมโดยกล้องโทรทัศน์วงจรปิด บริษัทจะเก็บข้อมูล ดังนี้

(1) ในสถานการณ์ปกติ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอาจถูกเก็บไว้ไม่เกิน 30 วัน

(2) ในกรณีจำเป็น เช่น กรณีที่จำเป็นต้องใช้เป็นหลักฐานในการสืบสวน สอบสวน หรือการดำเนินคดี หรือกรณีที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลร้องขอ ข้อมูลส่วนบุคคลอาจถูกเก็บรักษาไว้เกินกว่า 30 วัน และบริษัทจะดำเนินการลบข้อมูลดังกล่าวอย่างปลอดภัยเมื่อเสร็จสิ้นวัตถุประสงค์นั้น

7. การเปิดเผยข้อมูล

การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่บุคคลภายนอก เพื่อให้บุคคลเหล่านี้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน สำหรับกรณีดังต่อไปนี้

7.1 ผู้ให้บริการใดๆ ที่ปฏิบัติงานให้กับบริษัท หรือให้บริการแก่บริษัท ทั้งนี้รวมถึง ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ผู้บังคับบัญชา และผู้ปฏิบัติงานของบุคคลดังกล่าว

7.2 ผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการดูแลผลประโยชน์ใดๆ ของบริษัท

7.3 บุคคลผู้ติดต่อ และตัวแทนของบริษัท

7.4 สถาบันทางการเงิน และผู้ให้บริการรับชำระเงิน

7.5 หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย รัฐบาล ศาล หน่วยงานระงับข้อพิพาท ผู้มีอำนาจควบคุมของบริษัท ผู้ตรวจสอบบัญชี และบุคคลใดๆ ซึ่งแต่งตั้งหรือร้องขอโดยมีผู้อำนาจควบคุมของบริษัท ให้ทำการตรวจสอบกิจกรรมการดำเนินงานของบริษัท

7.6 บุคคลอื่นใดซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทใดๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรม

7.7 หน่วยงานป้องกันการทุจริตซึ่งใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อสืบหา และป้องกันการทุจริต และอาชญากรรมอื่นๆ

7.8 บุคคลใดๆ ที่บริษัท ได้รับคำสั่งจากท่านให้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้กับบุคคลดังกล่าว

ทั้งนี้ บริษัท จะไม่อนุญาตให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว และจะกำหนดให้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม

8. การส่งและ/หรือเปิดเผยข้อมูลไปต่างประเทศ
     บริษัท ไม่มีการโอนถ่าย และ/หรือส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตบริษัท มีความจำเป็นต้องมีการโอนถ่าย และ/หรือส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศ บริษัทจะกำหนดมาตรฐานในการทำข้อตกลง และ/หรือสัญญาร่วมธุรกิจกับหน่วยงาน องค์กร ที่จะได้รับข้อมูลส่วนบุคคลนั้นให้มีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นที่ยอมรับและสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลนั้นจะได้รับการคุ้มครองอย่างปลอดภัย โดย

8.1 การส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังต่างประเทศจะต้องเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และบริษัท จะต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบ

8.2 การประมวลผลในระบบคลาวด์ (Cloud) บริษัทจะพิจารณาองค์กรที่มีมาตรฐานความมั่นคงปลอดภัยในระดับสากล และจะจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบการเข้ารหัส หรือวิธีการอื่นๆ ที่ไม่สามารถระบุตัวตนของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ เป็นต้น

9. สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
        บริษัทเคารพสิทธิส่วนบุคคลของท่าน และเปิดโอกาสให้ท่านสามารถเลือกวิธีการควบคุม หรือวิธีการที่บริษัทใช้ติดต่อท่าน โดยบริษัทจะปฏิบัติตามที่ท่านได้ร้องขอ เพื่อช่วยให้เกิดความโปร่งใส และเพื่อคุณภาพของข้อมูล และความถูกต้องของข้อมูล ท่านมีสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโดยท่านสามารถส่งคำขอให้บริษัททราบเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางที่บริษัทกำหนดในการดำเนินการตามสิทธิ ดังต่อไปนี้

9.1 สิทธิขอถอนความยินยอม หากท่านได้ให้ความยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน (ไม่ว่าจะเป็นความยินยอมที่ท่านให้ไว้ก่อนวันที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลใช้บังคับหรือ หลังจากนั้น) ท่านมีสิทธิที่จะถอนความยินยอมเมื่อใดก็ได้ตลอดระยะเวลาที่ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอยู่กับบริษัททั้งนี้ บริษัทขอแจ้งให้ท่านทราบว่า การเพิกถอนความยินยอมไม่ส่งผลกระทบต่อการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมไว้แล้วโดยชอบ เว้นแต่มีข้อจำกัดสิทธินั้นโดยกฎหมาย หรือโดยสภาพ ไม่สามารถถอนความยินยอมได้ หรือมีสัญญาระหว่างท่านกับบริษัทที่ให้ประโยชน์แก่ท่านอยู่ หรืออาจส่งผลให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์บางส่วนหรือทั้งหมดตามที่ระบุไว้ในเอกสารฉบับนี้ได้

9.2 สิทธิขอเข้าถึงข้อมูล ท่านมีสิทธิขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท และขอให้บริษัททำสำเนาข้อมูลดังกล่าวให้แก่ท่าน รวมถึงขอให้บริษัทเปิดเผยว่าบริษัทได้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมาได้อย่างไร เว้นแต่กรณีที่บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่านตามกฎหมาย หรือคำสั่งของศาล หรือกรณีที่คำขอของท่านจะมีผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น

9.3 สิทธิขอถ่ายโอนข้อมูล ท่านมีสิทธิขอให้โอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในกรณีที่บริษัทได้จัดทำข้อมูลส่วนบุคคลนั้นอยู่ในรูปแบบให้สามารถอ่านหรือใช้งานได้ด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติ และสามารถใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ รวมทั้งมีสิทธิขอให้บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นเมื่อสามารถทำได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ และมีสิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยัง ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นโดยตรง เว้นแต่ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะเหตุทางเทคนิคทั้งนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านข้างต้นต้องเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัท หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทจำเป็นต้องประมวลผล เพื่อให้ท่านสามารถใช้บริการของบริษัทได้ตามความประสงค์ซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาอยู่กับบริษัท หรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนใช้บริการ หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอื่นตามที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายกำหนด

9.4 สิทธิขอคัดค้าน ท่านมีสิทธิขอคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในเวลาใดก็ได้ หากประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านทำขึ้นเพื่อการดำเนินงานที่จำเป็นภายใต้ประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นโดยไม่เกินขอบเขตที่ท่านสามารถคาดหมายได้อย่างสมเหตุสมผล หรือเพื่อดำเนินการตามภารกิจเพื่อสาธารณประโยชน์ หรือเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือสถิติหากท่านยื่นคัดค้าน บริษัทจะยังคงดำเนินการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไปเฉพาะที่บริษัทสามารถแสดงเหตุผลตามกฎหมายได้ว่ามีความสำคัญยิ่งกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานของท่าน หรือเป็นไปเพื่อการยืนยันสิทธิตามกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมาย หรือการต่อสู้ในการฟ้องร้องตามกฎหมาย ตามแต่ละกรณี

9.5 สิทธิขอให้ลบหรือทำลายข้อมูล  ท่านมีสิทธิขอลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนของท่านได้ หากท่านเชื่อว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกประมวลผลโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หรือเห็นว่าบริษัทหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องในประกาศฉบับนี้ หรือเมื่อบริษัทเห็นว่าสามารถปฏิบัติตามที่ท่านได้ใช้สิทธิขอถอนความยินยอมหรือใช้สิทธิขอคัดค้านตามที่แจ้งไว้ข้างต้นแล้ว

9.6 สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูล ท่านมีสิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลชั่วคราวในกรณีที่บริษัทอยู่ระหว่างตรวจสอบตามคำร้องขอใช้สิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล หรือขอคัดค้านของท่าน หรือกรณีอื่นใด ที่บริษัทหมดความจำเป็นและต้องลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องแต่ท่านขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลแทน

9.7 สิทธิขอให้แก้ไขข้อมูล ท่านมีสิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้งนี้ หากท่านประสงค์จะขอแก้ไขข้อมูลเกี่ยวกับภาพ บริษัทจะทำการแก้ไขเฉพาะรายการข้อมูลที่เกี่ยวกับภาพของท่านเพื่อให้ถูกต้อง ตามความจำเป็นของบริษัทที่ชอบด้วยกฎหมายและในกรณีที่การดำเนินการตามคำขอก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายบริษัทอาจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากท่าน

9.8 สิทธิร้องเรียน ท่านมีสิทธิร้องเรียนต่อบริษัท ผ่านเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: (Data Protection Officer) อีเมล :  dpo@vincent.clinic หรือผู้มีอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากท่านเชื่อว่าการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เป็นการกระทำในลักษณะที่ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

10. วิธีการใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูล
     10.1 การร้องขอใด ๆ เพื่อการใช้สิทธิของท่านจะต้องกระทำเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งบริษัทได้จัดให้มีขึ้นในเว็บไซต์ของบริษัท หรือกรอกข้อมูลผ่าน แบบฟอร์มคำร้องขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject Request Form) ส่งมาที่อีเมล : dpo@vincent.clinic  หรือ ทางไปรษณีย์ตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในแบบฟอร์มดังกล่าว

ทั้งนี้ บริษัทจะใช้ความพยายามอย่างดีที่สุดที่จะดำเนินการภายในระยะเวลาที่สมเหตุสมผล และไม่เกินระยะเวลา 30 วัน นับแต่ได้รับคำร้อง อย่างไรก็ดี บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่าน ในกรณีที่มีข้อยกเว้นตามกฎหมาย หรือบริษัทจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาได้ หรือมีผลกระทบกับการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญา หรือเป็นการปฏิเสธตามคำสั่งศาล หรือหากบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านจะส่งผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น โดยบริษัทจะดำเนินการบันทึกการปฏิเสธคำร้องขอพร้อมด้วยเหตุผลไว้ ทั้งนี้ หากปรากฏอย่างชัดเจนว่าคำร้องขอของท่านเป็นคำร้องขอที่ไม่สมเหตุสมผล หรือคำร้องขอฟุ่มเฟือยบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินการตามที่ท่านร้องขอในอัตราที่บริษัทกำหนด

10.2 บริษัทจะพยายามอย่างเต็มที่ตามความสามารถของระบบงานที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกและดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน เว้นแต่จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า การดำเนินการตามคำร้องขอนั้นเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ใช้งานรายอื่น หรือเป็นการขัดต่อกฎหมาย หรือนโยบายความปลอดภัยของระบบ หรือกรณีที่เป็นการพ้นวิสัยในทางปฏิบัติตามคำร้องขอ เนื่องมาจากเหตุทางเทคนิค

10.3 ในบางสถานการณ์บริษัทอาจขอให้ท่านพิสูจน์ตัวตนของท่านก่อนการใช้สิทธิเพื่อความปลอดภัยของท่านเอง โดยบางครั้งอาจเกิดข้อจำกัดในการขอใช้สิทธิของท่านบางประการ ซึ่งบริษัทจะทำการชี้แจงให้ท่านทราบหากไม่สามารถปฏิบัติตามคำร้องขอใช้สิทธิของท่านได้

10.4 หากเป็นกรณีกิจกรรมที่บริษัททำการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามฐานการปฏิบัติตามสัญญา หรือฐานเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย หรือฐานการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย บริษัทมีสิทธิปฏิเสธการใช้สิทธิของท่านในกรณีที่ท่านใช้สิทธิโต้แย้ง หรือขอระงับการใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่าน และขอให้ดำเนินการลบ หรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่านได้ รวมถึงบริษัทอาจปฏิเสธที่จะดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน หากบริษัท มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บข้อมูลต่อไป เพื่อการกระทำการ ดังต่อไปนี้

(1) เพื่อทำรายการใด ๆ ตามวัตถุประสงค์ที่บริษัท เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น หรือดำเนินการตามสมควรภายในขอบเขตความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างบริษัทกับท่าน

(2) เพื่อใช้เป็นการภายในตามสมควรโดยสอดคล้องกับความคาดหมายของท่านที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบริษัท และสอดคล้องกับบริบทที่ท่านได้ให้ข้อมูลดังกล่าวไว้แต่แรก และเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ข้อบังคับ กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง

10.5 ในกรณีที่ท่านไม่ประสงค์ถูกบันทึกภาพ ท่านมีสิทธิที่จะขอรับและติดสัญลักษณ์ “ห้ามถ่ายภาพบุคคล” ตลอดการร่วมประชุม ทั้งนี้ บริษัทขอเรียนให้ทราบว่าด้วยลักษณะการจัดกิจกรรมอาจมีการถ่ายภาพบรรยากาศกิจกรรม ซึ่งแม้ท่านขอรับสัญลักษณ์ดังกล่าวแล้วก็ตาม ก็อาจปรากฎภาพของท่านเป็นส่วนประกอบของภาพได้ ดังนั้น บริษัทจึงแนะนำให้ท่านแจ้งต่อบริษัทเพื่อปฏิเสธขณะที่บริษัทกำลังบันทึกภาพ หรือหลีกเลี่ยงบริเวณที่บันทึกภาพ หรือไม่เข้าร่วมกิจกรรมขณะมีการบันทึกภาพ หรือภาพเคลื่อนไหว

10.6 บริษัทจำเป็นต้องแจ้งให้ทราบว่า การขอใช้สิทธิของท่านบางประการ อาจเกิดข้อจำกัด ในกรณีที่ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นข้อมูลที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อบริษัทในการปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมาย เพื่อการชำระเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นกู้ ตัวแทนของบุคคลดังกล่าว และการบริการจัดการทะเบียนผู้ถือหุ้น และข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่จำเป็นต่อบริษัทในการปฏิบัติตามสัญญา หรือข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิ และหน้าของผู้ออกหุ้น ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ หากท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นแก่บริษัท หรือใช้สิทธิ ขอให้ลบ ระงับการใช้ข้อมูล บริษัทอาจไม่สามารถบริการหรือจัดการสัญญาระหว่างท่านกับบริษัท รวมถึงสิทธิประโยชน์ที่ท่านอาจจะได้รับ

11. มาตรการการรักษาความปลอดภัย
       บริษัท กำหนดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการสูญหาย การเข้าถึง การใช้ การเปลี่ยนแปลง การแก้ไข หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่มีอำนาจหรือโดยขัดต่อกฎหมาย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศของบริษัท (Information Security Policy) และนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Policy)

12. การแก้ไขเปลี่ยนแปลง     
       บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไข ทบทวน และปรับปรุงประกาศความเป็นส่วนตัวที่จะมีผลบังคับใช้ ณ เวลาที่ได้เผยแพร่ต่อไปโดยมิต้องแจ้งให้ท่านทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ เพื่อความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการให้บริการ ดังนั้น บริษัทจึงขอแนะนำให้ท่านอ่านประกาศความเป็นส่วนตัวทุกครั้งที่เยี่ยมชม หรือใช้บริการจากบริษัท หรือเว็บไซต์ของบริษัท ที่ https://vincent.clinic/th 

2.4 ประกาศความเป็นส่วนตัวของผู้สมัครงาน และผู้เกี่ยวข้อง (Privacy Notice)
1.วัตถุประสงค์

บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (“บริษัท”) จัดทำนโยบายเรื่อง ประกาศความเป็นส่วนตัวของผู้สมัครงาน และผู้เกี่ยวข้อง (ซึ่งรวมเรียกว่า “ท่าน”) ฉบับนี้ขึ้น เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง และให้หมายความรวมถึงกฎหมายฉบับแก้ไขเพิ่มเติมใดๆ ในอนาคต (“กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล”)

เพื่ออธิบายให้ท่านทราบถึงวัตถุประสงค์และวิธีการที่บริษัทปฏิบัติต่อข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนของท่าน หรืออาจระบุตัวตนของท่านได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น วิธีการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย หรือการดำเนินการใด ๆ กับข้อมูลส่วนบุคคล อาทิ การบันทึก การจัดระบบ การจัดเก็บ การเปลี่ยนแปลงหรือการดัดแปลง การเรียกคืน การส่ง โอน การเผยแพร่ หรือการทำให้สามารถเข้าถึงหรือพร้อมใช้งานโดยวิธีใดๆ การจัดเรียง การนำมารวมกัน การจำกัดหรือการห้ามเข้าถึง การลบหรือการทำลาย (“ประมวลผล”) และเพื่อแจ้งให้ท่านทราบถึงวัตถุประสงค์ ระยะเวลาในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล ตลอดจนสิทธิของท่านในฐานะเจ้าขงข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ บริษัทขอให้ท่านอ่านและทำความเข้าใจถึงข้อกำหนดต่าง ๆ ภายใต้ประกาศฯ ฉบับนี้

2. คำนิยามและศัพท์
        ภายใต้ประกาศฯ ฉบับนี้ กลุ่มหรือประเภทของบุคคลที่บริษัททำการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลประกอบด้วย

2.1 บริษัท หมายถึง บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

2.2 ผู้สมัครงาน หมายถึง บุคคลที่อาจได้รับคัดเลือกเป็นพนักงานของบริษัท โดยบริษัทอาจเป็นผู้เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครงานเองโดยตรง หรือได้รับจากบุคคลภายนอกก็ได้

2.3 ผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้สมัครงาน ซึ่งหมายถึง บุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้สมัครงานและบุคลากรของบริษัท และให้หมายความรวมถึงผู้ที่มีข้อมูลส่วนบุคคลปรากฏในเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการที่เกี่ยวข้อง เช่น บุคคลในครอบครัว ซึ่งได้แก่ บิดา มารดา คู่สมรส และบุตร บุคคลที่สามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน บุคคลอ้างอิง (Reference Person) ผู้รับผลประโยชน์ และผู้ค้ำประกันการทำงาน เป็นต้น

2.4 ท่าน หมายถึง เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

3. วิธีที่บริษัทเก็บรวบรวมและรับข้อมูลส่วนบุคคล
        บริษัทเก็บรวบรวมและรับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้

     3.1 ข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้ไว้กับบริษัทโดยตรง ท่านอาจให้ข้อมูลส่วนบุคคลแก่บริษัทโดยตรง เช่น เมื่อท่านยื่นใบสมัครงานและเอกสารประกอบการสมัครงานให้แก่บริษัทฯ ไม่ว่าโดยการ walk-in ผ่านเว็บไซต์ของบริษัท การสมัครทางอีเมล หรือตามช่องทางอื่นๆ ที่บริษัทกำหนดให้ และให้หมายความรวมถึงกรณีที่ท่านเข้าสัมภาษณ์งาน เข้าทำสัญญากับบริษัท และส่งมอบเอกสารต่างๆ ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลของท่านปรากฏอยู่มาให้กับบริษัท เป็นต้น

     3.2 ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมจากท่านอัตโนมัติ บริษัทอาจเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยอัตโนมัติผ่านทางช่องทางต่างๆ เช่น การใช้คุกกี้ (Cookies) หรือเทคโนโลยีอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน รายละเอียดเพิ่มเติมโปรดดู นโยบายคุกกี้

     3.3 ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาจากบุคคลภายนอก บริษัทอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากบุคคลภายนอก เช่น เว็บไซต์สมัครงานของบุคคลที่สาม บุคคลอ้างอิงของท่าน บริษัทจัดหางาน หน่วยงานของรัฐ สถานศึกษา แหล่งข้อมูล Social Media หรือใบสมัครงานและ/หรือเอกสารของบุคคลซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับท่านในฐานะที่ท่านเป็นบุคคลในครอบครัว บุคคลที่สามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน บุคคลอ้างอิง ผู้รับผลประโยชน์ หรือผู้ค้ำประกันการทำงานของบุคคลดังกล่าว เป็นต้น

ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ท่านจะได้รับการแจ้งถึงรายละเอียดต่างๆ ตามที่ระบุในประกาศฯ ฉบับนี้ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะวัตถุประสงค์และฐานทางกฎหมายในการเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย และ/หรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล หรือหากกรณีที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดให้การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลใดต้องได้รับความยินยอมจากท่าน บริษัทจะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่าน

ในกรณีที่บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้ก่อนวันที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลมีผลใช้บังคับ บริษัทจะเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไปตามวัตถุประสงค์เดิมที่บริษัทได้แจ้งไว้แก่ท่านในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งท่านมีสิทธิยกเลิกความยินยอม โดยติดต่อมายังบริษัท ตามรายละเอียดการติดต่อที่ระบุในข้อ 13. ของประกาศฯ ฉบับนี้ ทั้งนี้ บริษัทขอสงวนสิทธิในการพิจารณาคำขอยกเลิกความยินยอมของท่านและดำเนินการตามที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

4. ข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกเก็บรวบรวม

บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเท่าที่จำเป็น โดยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ที่ถูกเก็บรวบรวมและประมวลผลภายใต้ประกาศฯ ฉบับนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้ไว้กับบริษัทโดยตรง หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมจากท่านโดยอัตโนมัติ หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาจากบุคคลภายนอก ได้แก่

4.1 ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ นามสกุล วัน/เดือน/ปีเกิด อายุ เพศ น้ำหนัก ส่วนสูง หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน รูปถ่าย ลายมือชื่อ สัญชาติ เชื้อชาติ ศาสนา สถานภาพการสมรส สถานภาพทางทหาร และข้อมูลบุคคลในครอบครัว เป็นต้น

4.2 ข้อมูลการติดต่อ เช่น ที่อยู่อาศัย หมายเลขโทรศัพท์ โทรสาร อีเมล ไอดีผู้ใช้สำหรับ แอปพลิเคชั่น (line ID) ข้อมูลผู้ที่สามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน และข้อมูลบุคคลอ้างอิง เป็นต้น

4.3 ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษา การฝึกอบรม เช่น ชื่อสถาบัน คณะ วิชา สาขา และปีที่จบการศึกษา เป็นต้น หนังสือรับรองคุณวุฒิ ใบแสดงผลการศึกษา ความสามารถทางภาษา ความสามารถทางด้านคอมพิวเตอร์ ข้อมูลการอบรม และข้อมูลการทดสอบ และกิจกรรมที่เข้าร่วมระหว่างการศึกษา เป็นต้น

4.4 ข้อมูลเกี่ยวกับการสมัครงาน เช่น ประวัติส่วนตัว ประวัติการทำงาน ข้อมูลที่ปรากฏใน Resume/CV ข้อมูลประวัติอาชญากรรม ตำแหน่งที่สมัครงาน เงินเดือนที่คาดหวัง ข้อมูลการสัมภาษณ์งาน หลักฐานหรือหนังสืออ้างอิงต่างๆ และข้อมูลที่ปรากฏในแบบประเมินผลการสัมภาษณ์ เป็นต้น

4.5 ข้อมูลที่ใช้ประกอบเป็นหลักฐานในการสมัครงานหรือทำนิติกรรมต่าง ๆ เช่น ข้อมูลส่วนบุคคลที่ปรากฏในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาหนังสือเดินทาง สำเนาใบเปลี่ยนชื่อนามสกุล สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาใบสำคัญการเกณฑ์ทหาร สำเนาสมุดบัญชีธนาคาร สำเนาทะเบียนสมรส สำเนาสูติบัตร ใบรับรองแพทย์ ผลการตรวจสุขภาพ/ตรวจร่างกายก่อนเข้าทำงาน แบบระบุผู้รับผลประโยชน์ แบบขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน หนังสือยินยอมในการตรวจหาสารเสพติด หนังสือยินยอมให้ตรวจสอบประวัติบุคคล สัญญาจ้าง หนังสือสัญญาค้ำประกันการทำงานและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ข้อตกลงว่าจ้างที่ปรึกษา เป็นต้น

4.6 ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานและการประเมินผล เช่น รหัสพนักงาน ตำแหน่ง แผนก สังกัด สายการบังคับบัญชา การประเมินผล การปฏิบัติงาน พฤติกรรมในการทำงาน ผลงานและ/หรือรางวัลที่เคยได้รับ ข้อมูลการฝึกอบรม ข้อมูลการลงโทษทางวินัย ข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือโอนย้ายพนักงานข้ามบริษัท สัญญายืมตัวพนักงาน ใบลาออกจากการเป็นพนักงาน และเหตุผลที่ลาออก เป็นต้น

4.7 ข้อมูลเกี่ยวกับผลประโยชน์และค่าตอบแทน เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง ผลตอบแทน โบนัส รายละเอียดเกี่ยวกับค่าบำเหน็จ สวัสดิการ เลขที่บัญชีธนาคาร ข้อมูลของผู้ค้ำประกันการทำงาน ข้อมูลของผู้รับผลประโยชน์ ข้อมูลเกี่ยวกับการประกันสังคม ข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ข้อมูลด้านภาษีอากร ข้อมูลการหักลดหย่อนภาษี ข้อมูลสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับสุขภาพ (รวมถึงสำหรับบุคคลในครอบครัว) และ/หรือผลประโยชน์อื่น ๆ ข้อมูลส่วนบุคคลที่ปรากฏในใบรับรองแพทย์ รายงานสุขภาพประจำปี แบบแจ้งการลาคลอด แบบยืมกู้ยืมเงินสวัสดิการบริษัท หนังสือยินยอมให้หักเงินเดือน ใบเสร็จรับเงิน ใบแจ้งหนี้ แบบเรียกค่าสินไหมทดแทน (สำหรับการประกันอุบัติเหตุ และประกันภัย) และแบบขออนุมัติผลประโยชน์เมื่อพ้นสภาพพนักงานสำหรับการเกษียณอายุ เป็นต้น

4.8 ข้อมูลเกี่ยวกับสถิติทางทะเบียน เช่น วันที่เริ่มงาน วันครบกำหนดทดลองงาน วันและเวลาที่เข้างาน จำนวนชั่วโมงที่ทำงาน จำนวนชั่วโมงที่ทำงานล่วงเวลา วันหยุดพักผ่อนประจำปี วันลา แบบแจ้งการลา รายละเอียดการลาถึงสาเหตุการลา บันทึกการเข้าออกบริษัท และการบันทึกการใช้ระบบต่าง ๆ ของบริษัท เป็นต้น

4.9 ข้อมูลด้านเทคนิค เช่น ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ (log) หมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ (IP Address) และข้อมูลที่บริษัทได้เก็บรวบรวมผ่านคุกกี้ (Cookies) หรือเทคโนโลยีอื่นที่คล้ายคลึงกัน เป็นต้น

4.10 ข้อมูลอื่นๆ เช่น บันทึกเสียงการสนทนา รวมถึงการถ่ายภาพหรือบันทึกภาพเคลื่อนไหวในเหตุการณ์ต่างๆ ผ่านกล้องวงจรปิด (CCTV) เป็นต้น

5. วัตถุประสงค์และฐานทางกฎหมายในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
     5.1 บริษัทประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ภายใต้ฐานทางกฎหมาย ดังต่อไปนี้ (รวมกันเรียกว่า “วัตถุประสงค์ที่กำหนด”)
         1) เพื่อวัตถุประสงค์ในการรับสมัคร คัดเลือกผู้สมัครงาน การสัมภาษณ์ และการดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสมัครงาน
ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :
     • ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้สมัครงาน เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทในการรับสมัครงานหรือในการดำเนินการภายหลังการรับสมัครงาน เช่น การพิจารณาคัดเลือกผู้สมัครงาน และการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครงาน เป็นต้น
     • ฐานความยินยอม : ในกรณีที่บริษัททำการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ที่คาดว่าจะเป็นพนักงาน โดยการตัดสินใจของบริษัทฯ เอง จากแหล่งอื่น เช่น เว็บไซต์จัดหางานโดยที่ผู้ที่คาดว่าจะเป็นพนักงานยังไม่ได้แสดงเจตนาว่าประสงค์ที่จะสมัครงานกับบริษัท
     • ฐานความยินยอม : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ในฐานะในครอบครัวหรือบุคคลอ้างอิงของผู้สมัครงานจะดำเนินการโดยอาศัยความยินยอมที่ได้รับจากท่าน
        2) เพื่อวัตถุประสงค์ในการดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับจ้างงาน และการบรรจุพนักงานเข้าทำงาน อาทิ การตรวจร่างกายก่อนเข้าทำงาน การระบุนามผู้รับประโยชน์ การขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน การตรวจสอบประวัติอาชญากรรม การเข้าทำสัญญาจ้าง และการเข้าทำสัญญาผู้ค้ำประกันการทำงาน เป็นต้น
ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล : 
        ในกรณีของผู้ค้ำประกันการทำงาน การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ค้ำประกันการทำงาน เป็นการจำเป็นเพื่อการดำเนินการเข้าทำสัญญาค้ำประกันการทำงานซึ่งผู้ค้ำประกันการทำงานเป็นคู่สัญญา
     • ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน เป็นการจำเป็นในการบริหารจัดการด้านทรัพยากรบุคคลของบริษัท เช่น การตรวจสอบและพิจารณาคุณสมบัติของพนักงาน เพื่อบรรจุพนักงานเข้าทำงานในตำแหน่งที่เหมาะสม เป็นต้น
     • ฐานกฎหมาย : ในกรณีของกรรมการและผู้บริหารของบริษัท การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของกรรมการและผู้บริหารของบริษัท เป็นการจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 เช่น การจัดทำแบบฟอร์ม และเอกสารต่างๆ เพื่อยื่นต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
     • ฐานความยินยอม : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวของพนักงาน อาทิ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ และข้อมูลชีวภาพ จะกระทำโดยอาศัยความยินยอมที่ได้รับจากพนักงาน
        3) เพื่อวัตถุประสงค์ในการติดต่อสื่อสารกับ ผู้สมัครงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน
ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :
     ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทในการติดต่อสื่อสารกับผู้สมัครงาน พนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน
        4) เพื่อวัตถุประสงค์ในการตรวจสอบดูแลความสงบเรียบร้อยความรักษาความปลอดภัยและทรัพย์สินของบริษัทฯ
ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล : 
     • ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย ในการตรวจสอบดูแลความสงบเรียบร้อยและรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินของบริษัทฯ หรือการใช้ภาพบันทึกจากกล้องวงจรปิด (CCTV) เพื่อป้องกันการสูญหาย หรือเสียหายในทรัพย์สินของบริษัท หรือใช้เพื่อติดตามเอาคืนทรัพย์สิน หรือเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหาย ในกรณีที่มีการทำให้ทรัพย์สินของบริษัทฯ สูญหาย หรือเสียหาย เป็นต้น
     • ฐานการป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของพนักงาน : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบ ดูแล ป้องกัน หรือระงับเหตุการณ์ใดๆ ที่อาจเป็นอันตรายชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของพนักงาน
        5) เพื่อการดำเนินการใดๆ ที่จำเป็น และเป็นประโยชน์ต่อท่าน หรือเกี่ยวข้องโดยตรงกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดข้างต้น

ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :

• ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์ชอบด้วยกฎหมายในการดำเนินการใดๆ ที่จำเป็นของบริษัทฯ และ/หรือเป็นประโยชน์ต่อท่าน หรือเกี่ยวข้องโดยตรงกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดข้างต้น

6) เพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ ที่บริษัท จะแจ้งให้ท่านทราบ

ฐานทางกฎหมายในการประมวลผล :

     • บริษัทฯ จะแจ้งให้ท่านทราบถึงวัตถุประสงค์อื่นใด อันเป็นเหตุให้บริษัทฯต้องประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านนอกเหนือไปจากวัตถุประสงค์ตามที่ระบุไว้ข้างต้นหรือเมื่อบริษัทฯ มีการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์เดิมที่กำหนดไว้

ทั้งนี้ หากเป็นกรณีที่กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนดให้การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลใดต้องได้รับความยินยอมจากท่าน บริษัทฯ จะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่าน

6. ระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล
     6.1 บริษัทจะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ตามประเภทข้อมูลส่วนบุคคลแต่ละประเภท เว้นแต่กฎหมายจะอนุญาตให้มีระยะเวลาการเก็บรักษาที่นานขึ้น ในกรณีที่ไม่สามารถระบุระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลได้ชัดเจน บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลไว้ตามระยะเวลาที่อาจคาดหมายได้ตามมาตรฐานของการเก็บรวบรวม (เช่น อายุความตามกฎหมายทั่วไปสูงสุด 10 ปี)

6.2 บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษา หรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาหรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น

6.3 กรณีที่บริษัทใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยขอความยินยอมจากท่าน บริษัทจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวจนกว่าท่านจะแจ้งขอยกเลิกความยินยอม และบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านเสร็จสิ้นแล้ว อย่างไรก็ดีบริษัทจะยังเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเท่าที่จำเป็นสำหรับบันทึกเป็นประวัติว่าท่านเคยยกเลิกความยินยอม เพื่อให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อคำขอของท่านในอนาคตได้

6.4 กรณีข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมโดยกล้องโทรทัศน์วงจรปิด บริษัทจะเก็บข้อมูล ดังนี้

(1) ในสถานการณ์ปกติ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอาจถูกเก็บไว้ไม่เกิน 30 วัน

(2) ในกรณีจำเป็น เช่น กรณีที่จำเป็นต้องใช้เป็นหลักฐานในการสืบสวน สอบสวน หรือการดำเนินคดี หรือกรณีที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลร้องขอ ข้อมูลส่วนบุคคลอาจถูกเก็บรักษาไว้เกินกว่า 30 วัน และบริษัทจะดำเนินการลบข้อมูลดังกล่าวอย่างปลอดภัยเมื่อเสร็จสิ้นวัตถุประสงค์นั้น

7. การเปิดเผยข้อมูล
        การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่บุคคลภายนอก เพื่อให้บุคคลเหล่านี้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน สำหรับกรณีดังต่อไปนี้

7.1 ผู้ให้บริการใดๆ ที่ปฏิบัติงานให้กับบริษัท หรือให้บริการแก่บริษัท ทั้งนี้รวมถึง ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ผู้บังคับบัญชา และผู้ปฏิบัติงานของบุคคลดังกล่าว

7.2 ผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการดูแลผลประโยชน์ใดๆ ของบริษัท

7.3 บุคคลผู้ติดต่อ และตัวแทนของบริษัท

7.4 สถาบันทางการเงิน และผู้ให้บริการรับชำระเงิน

7.5 หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย รัฐบาล ศาล หน่วยงานระงับข้อพิพาท ผู้มีอำนาจควบคุมของบริษัท ผู้ตรวจสอบบัญชี และบุคคลใดๆ ซึ่งแต่งตั้งหรือร้องขอโดยมีผู้อำนาจควบคุมของบริษัท ให้ทำการตรวจสอบกิจกรรมการดำเนินงานของบริษัท

7.6 บุคคลอื่นใดซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทใดๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรม

7.7 หน่วยงานป้องกันการทุจริตซึ่งใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อสืบหา และป้องกันการทุจริต และอาชญากรรมอื่นๆ

7.8 บุคคลใดๆ ที่บริษัท ได้รับคำสั่งจากท่านให้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้กับบุคคลดังกล่าว

ทั้งนี้ บริษัท จะไม่อนุญาตให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว และจะกำหนดให้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม

8. การส่งและ/หรือเปิดเผยข้อมูลไปต่างประเทศ

บริษัท ไม่มีการโอนถ่าย และ/หรือส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตบริษัท มีความจำเป็นต้องมีการโอนถ่าย และ/หรือส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศ บริษัทจะกำหนดมาตรฐานในการทำข้อตกลง และ/หรือสัญญาร่วมธุรกิจกับหน่วยงาน องค์กร ที่จะได้รับข้อมูลส่วนบุคคลนั้นให้มีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นที่ยอมรับและสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลนั้นจะได้รับการคุ้มครองอย่างปลอดภัย โดย

8.1 การส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังต่างประเทศจะต้องเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และบริษัท จะต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบ

8.2 การประมวลผลในระบบคลาวด์ (Cloud) บริษัทจะพิจารณาองค์กรที่มีมาตรฐานความมั่นคงปลอดภัยในระดับสากล และจะจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบการเข้ารหัส หรือวิธีการอื่นๆ ที่ไม่สามารถระบุตัวตนของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ เป็นต้น

9. สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทเคารพสิทธิส่วนบุคคลของท่าน และเปิดโอกาสให้ท่านสามารถเลือกวิธีการควบคุม หรือวิธีการที่บริษัทใช้ติดต่อท่าน โดยบริษัทจะปฏิบัติตามที่ท่านได้ร้องขอ เพื่อช่วยให้เกิดความโปร่งใส และเพื่อคุณภาพของข้อมูล และความถูกต้องของข้อมูล ท่านมีสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโดยท่านสามารถส่งคำขอให้บริษัททราบเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางที่บริษัทกำหนดในการดำเนินการตามสิทธิ ดังต่อไปนี้

 9.1 สิทธิขอถอนความยินยอม หากท่านได้ให้ความยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน (ไม่ว่าจะเป็นความยินยอมที่ท่านให้ไว้ก่อนวันที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลใช้บังคับหรือ หลังจากนั้น) ท่านมีสิทธิที่จะถอนความยินยอมเมื่อใดก็ได้ตลอดระยะเวลาที่ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอยู่กับบริษัททั้งนี้ บริษัทขอแจ้งให้ท่านทราบว่า การเพิกถอนความยินยอมไม่ส่งผลกระทบต่อการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมไว้แล้วโดยชอบ เว้นแต่มีข้อจำกัดสิทธินั้นโดยกฎหมาย หรือโดยสภาพ ไม่สามารถถอนความยินยอมได้ หรือมีสัญญาระหว่างท่านกับบริษัทที่ให้ประโยชน์แก่ท่านอยู่ หรืออาจส่งผลให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์บางส่วนหรือทั้งหมดตามที่ระบุไว้ในเอกสารฉบับนี้ได้

9.2 สิทธิขอเข้าถึงข้อมูล ท่านมีสิทธิขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท และขอให้บริษัททำสำเนาข้อมูลดังกล่าวให้แก่ท่าน รวมถึงขอให้บริษัทเปิดเผยว่าบริษัทได้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมาได้อย่างไร เว้นแต่กรณีที่บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่านตามกฎหมาย หรือคำสั่งของศาล หรือกรณีที่คำขอของท่านจะมีผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น

9.3 สิทธิขอถ่ายโอนข้อมูล ท่านมีสิทธิขอให้โอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในกรณีที่บริษัทได้จัดทำข้อมูลส่วนบุคคลนั้นอยู่ในรูปแบบให้สามารถอ่านหรือใช้งานได้ด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติ และสามารถใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ รวมทั้งมีสิทธิขอให้บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นเมื่อสามารถทำได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ และมีสิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยัง ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นโดยตรง เว้นแต่ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะเหตุทางเทคนิคทั้งนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านข้างต้นต้องเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัท หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทจำเป็นต้องประมวลผล เพื่อให้ท่านสามารถใช้บริการของบริษัทได้ตามความประสงค์ซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาอยู่กับบริษัท หรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนใช้บริการ หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอื่นตามที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายกำหนด

 9.4 สิทธิขอคัดค้าน ท่านมีสิทธิขอคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในเวลาใดก็ได้ หากประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านทำขึ้นเพื่อการดำเนินงานที่จำเป็นภายใต้ประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นโดยไม่เกินขอบเขตที่ท่านสามารถคาดหมายได้อย่างสมเหตุสมผล หรือเพื่อดำเนินการตามภารกิจเพื่อสาธารณประโยชน์ หรือเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือสถิติหากท่านยื่นคัดค้าน บริษัทจะยังคงดำเนินการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไปเฉพาะที่บริษัทสามารถแสดงเหตุผลตามกฎหมายได้ว่ามีความสำคัญยิ่งกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานของท่าน หรือเป็นไปเพื่อการยืนยันสิทธิตามกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมาย หรือการต่อสู้ในการฟ้องร้องตามกฎหมาย ตามแต่ละกรณี

   9.5 สิทธิขอให้ลบหรือทำลายข้อมูล ท่านมีสิทธิขอลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนของท่านได้ หากท่านเชื่อว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกประมวลผลโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หรือเห็นว่าบริษัทหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องในประกาศฉบับนี้ หรือเมื่อบริษัทเห็นว่าสามารถปฏิบัติตามที่ท่านได้ใช้สิทธิขอถอนความยินยอมหรือใช้สิทธิขอคัดค้านตามที่แจ้งไว้ข้างต้นแล้ว

 9.6 สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูล ท่านมีสิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลชั่วคราวในกรณีที่บริษัทอยู่ระหว่างตรวจสอบตามคำร้องขอใช้สิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล หรือขอคัดค้านของท่าน หรือกรณีอื่นใด ที่บริษัทหมดความจำเป็นและต้องลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องแต่ท่านขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลแทน

9.7 สิทธิขอให้แก้ไขข้อมูล ท่านมีสิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้งนี้ หากท่านประสงค์จะขอแก้ไขข้อมูลเกี่ยวกับภาพ บริษัทจะทำการแก้ไขเฉพาะรายการข้อมูลที่เกี่ยวกับภาพของท่านเพื่อให้ถูกต้อง ตามความจำเป็นของบริษัทที่ชอบด้วยกฎหมายและในกรณีที่การดำเนินการตามคำขอก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายบริษัทอาจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากท่าน

     9.8 สิทธิร้องเรียน ท่านมีสิทธิร้องเรียนต่อบริษัทผ่าน เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: (Data Protection Officer) อีเมล : dpo@vincent.clinic หรือผู้มีอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากท่านเชื่อว่าการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เป็นการกระทำในลักษณะที่ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

10. วิธีการใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูล

10.1 การร้องขอใด ๆ เพื่อการใช้สิทธิของท่านจะต้องกระทำเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งบริษัทได้จัดให้มีขึ้นในเว็บไซต์ของบริษัท หรือกรอกข้อมูลผ่าน แบบฟอร์มคำร้องขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject Request Form) ส่งมาที่อีเมล : dpo@vincent.clinic หรือ ทางไปรษณีย์ตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในแบบฟอร์มดังกล่าว

ทั้งนี้ บริษัทจะใช้ความพยายามอย่างดีที่สุดที่จะดำเนินการภายในระยะเวลาที่สมเหตุสมผล และไม่เกินระยะเวลา 30 วัน นับแต่ได้รับคำร้อง อย่างไรก็ดี บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่าน ในกรณีที่มีข้อยกเว้นตามกฎหมาย หรือบริษัทจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาได้ หรือมีผลกระทบกับการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญา หรือเป็นการปฏิเสธตามคำสั่งศาล หรือหากบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านจะส่งผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น โดยบริษัทจะดำเนินการบันทึกการปฏิเสธคำร้องขอพร้อมด้วยเหตุผลไว้ ทั้งนี้ หากปรากฏอย่างชัดเจนว่าคำร้องขอของท่านเป็นคำร้องขอที่ไม่สมเหตุสมผล หรือคำร้องขอฟุ่มเฟือยบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินการตามที่ท่านร้องขอในอัตราที่บริษัทกำหนด

10.2 บริษัทจะพยายามอย่างเต็มที่ตามความสามารถของระบบงานที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกและดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน เว้นแต่จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า การดำเนินการตามคำร้องขอนั้นเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ใช้งานรายอื่น หรือเป็นการขัดต่อกฎหมาย หรือนโยบายความปลอดภัยของระบบ หรือกรณีที่เป็นการพ้นวิสัยในทางปฏิบัติตามคำร้องขอ เนื่องมาจากเหตุทางเทคนิค

10.3 ในบางสถานการณ์บริษัทอาจขอให้ท่านพิสูจน์ตัวตนของท่านก่อนการใช้สิทธิเพื่อความปลอดภัยของท่านเอง โดยบางครั้งอาจเกิดข้อจำกัดในการขอใช้สิทธิของท่านบางประการ ซึ่งบริษัทจะทำการชี้แจงให้ท่านทราบหากไม่สามารถปฏิบัติตามคำร้องขอใช้สิทธิของท่านได้

10.4 หากเป็นกรณีกิจกรรมที่บริษัททำการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามฐานการปฏิบัติตามสัญญา หรือฐานเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย หรือฐานการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย บริษัทมีสิทธิปฏิเสธการใช้สิทธิของท่านในกรณีที่ท่านใช้สิทธิโต้แย้ง หรือขอระงับการใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่าน และขอให้ดำเนินการลบ หรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่านได้ รวมถึงบริษัทอาจปฏิเสธที่จะดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน หากบริษัท มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บข้อมูลต่อไป เพื่อการกระทำการ ดังต่อไปนี้

(1) เพื่อทำรายการใด ๆ ตามวัตถุประสงค์ที่บริษัท เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น หรือดำเนินการตามสมควรภายในขอบเขตความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างบริษัทกับท่าน

(2) เพื่อใช้เป็นการภายในตามสมควรโดยสอดคล้องกับความคาดหมายของท่านที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบริษัท และสอดคล้องกับบริบทที่ท่านได้ให้ข้อมูลดังกล่าวไว้แต่แรก และเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ข้อบังคับ กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง

10.5 ในกรณีที่ท่านไม่ประสงค์ถูกบันทึกภาพ ท่านมีสิทธิที่จะขอรับและติดสัญลักษณ์ “ห้ามถ่ายภาพบุคคล” ตลอดการร่วมประชุม ทั้งนี้ บริษัทขอเรียนให้ทราบว่าด้วยลักษณะการจัดกิจกรรมอาจมีการถ่ายภาพบรรยากาศกิจกรรม ซึ่งแม้ท่านขอรับสัญลักษณ์ดังกล่าวแล้วก็ตาม ก็อาจปรากฎภาพของท่านเป็นส่วนประกอบของภาพได้ ดังนั้น บริษัทจึงแนะนำให้ท่านแจ้งต่อบริษัทเพื่อปฏิเสธขณะที่บริษัทกำลังบันทึกภาพ หรือหลีกเลี่ยงบริเวณที่บันทึกภาพ หรือไม่เข้าร่วมกิจกรรมขณะมีการบันทึกภาพ หรือภาพเคลื่อนไหว

10.6 บริษัทจำเป็นต้องแจ้งให้ทราบว่า การขอใช้สิทธิของท่านบางประการ อาจเกิดข้อจำกัด ในกรณีที่ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นข้อมูลที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อบริษัทในการปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมาย เพื่อการชำระเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นกู้ ตัวแทนของบุคคลดังกล่าว และการบริการจัดการทะเบียนผู้ถือหุ้น และข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่จำเป็นต่อบริษัทในการปฏิบัติตามสัญญา หรือข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิ และหน้าของผู้ออกหุ้น ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ หากท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นแก่บริษัท หรือใช้สิทธิ ขอให้ลบ ระงับการใช้ข้อมูล บริษัทอาจไม่สามารถบริการหรือจัดการสัญญาระหว่างท่านกับบริษัท รวมถึงสิทธิประโยชน์ที่ท่านอาจจะได้รับ

11. มาตรการการรักษาความปลอดภัย

บริษัท กำหนดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการสูญหาย การเข้าถึง การใช้ การเปลี่ยนแปลง การแก้ไข หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่มีอำนาจหรือโดยขัดต่อกฎหมาย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศของบริษัท (Information Security Policy) และนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Policy)

12. การแก้ไขเปลี่ยนแปลง

บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไข ทบทวน และปรับปรุงประกาศความเป็นส่วนตัวที่จะมีผลบังคับใช้ ณ เวลาที่ได้เผยแพร่ต่อไปโดยมิต้องแจ้งให้ท่านทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ เพื่อความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการให้บริการ ดังนั้น บริษัทจึงขอแนะนำให้ท่านอ่านประกาศความเป็นส่วนตัวทุกครั้งที่เยี่ยมชม หรือใช้บริการจากบริษัท หรือเว็บไซต์ของบริษัท ที่ https://vincent.clinic/th 

2.5 ประกาศความเป็นส่วนตัวสำหรับคู่ค้า และผู้เกี่ยวข้อง
1. วัตถุประสงค์

บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (“บริษัท”) ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของคู่ค้า และผู้ที่เกี่ยวข้อง (ซึ่งรวมเรียกว่า “ท่าน”) และเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าเราจะให้ความคุ้มครองและปฏิบัติต่อข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน โดยสอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท จึงได้จัดทำนโยบายฉบับนี้ขึ้น เพื่อแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่านทราบรายละเอียดการดำเนินการกับข้อมูลส่วนบุคคลไม่ว่าจะเป็นการเก็บรวบรวม ใช้และเปิดเผย (รวมเรียกว่า “การประมวลผล”) ซึ่งอาจเกิดขึ้นตลอดจนแจ้งให้ท่านทราบถึงสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน และช่องทางการติดต่อเรา

2. คำนิยามและศัพท์

2.1 บริษัท หมายถึง บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

2.2 คู่ค้า หมายถึง นิติบุคคล/บุคคลธรรมดา ที่จะขายสินค้าหรือให้บริการแก่บริษัท เช่น คู่สัญญา ผู้ขาย ผู้ให้บริการ ที่ปรึกษา ผู้รับเหมา ผู้รับจ้าง เป็นต้น และให้หมายความรวมถึงบุคคลธรรมดาที่เกี่ยวข้องหรือเป็นตัวแทนของนิติบุคคลซึ่งเป็นคู่ค้า เช่น ผู้บริหาร กรรมการ ตัวแทน ผู้แทน หรือบุคคลธรรมดาอื่นใดและบุคคลที่มีข้อมูลส่วนบุคคลปรากฎในเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการทำธุรกรรมระหว่างบริษัทกับนิติบุคคลนั้น เช่น ผู้ประสานงาน ผู้ส่งสินค้า ผู้สั่งจ่ายเช็ค เป็นต้น

2.3 ผู้เกี่ยวข้อง หมายถึง บุคคลอื่นที่มิใช่ คู่ค้า หรือผู้ปฏิบัติงาน ที่มีความเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ เช่น ผู้ปฏิบัติงานในหน่วยราชการ ซึ่งกำกับการประกอบธุรกิจหรือกำกับดูแลการปฏิบัติตามกฎหมาย

2.4 ท่าน หมายถึง เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

3. วัตถุประสงค์การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัท อาจดำเนินการประมวลผลข้อมูลของท่านเพื่อวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้

1 เพื่อการดำเนินการตามกระบวนการต่างๆ ก่อนเข้าทำสัญญา เช่น

(1) การเสนอราคา การเจรจาต่อรอง

(2) การพิจารณาคุณสมบัติของคู่ค้า/ผู้ขาย, การคัดเลือกคู่ค้า/ผู้ขาย

(3) การขึ้นทะเบียนคู่ค้ารายใหม่/ผู้ขายรายใหม่

(4) การจัดเตรียมข้อมูลก่อนเข้าสู่กระบวนการ การจัดซื้อจัดจ้าง เช่น การสืบและจัดทำราคากลาง, การระบุชื่อและรายละเอียดของคู่ค้าในระบบภายในของบริษัท เป็นต้น การตรวจสอบอำนาจ การมอบอำนาจและการรับมอบอำนาจในการยื่นเอกสารเสนอราคาของผู้เสนอราคา และการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เสนอราคา ตามกระบวนการจัดชื้อจัดจ้าง

ฐานทางกฎหมาย : ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย

2. เพื่อความจำเป็นในการทำธุรกรรมระหว่างคู่ค้า/ผู้ขาย เช่น

(1) การตรวจสอบยืนยันตัวตน การตรวจสอบอำนาจ การมอบอำนาจ และการรับมอบอำนาจ รวมทั้งเพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง

(2) การดำเนินการตามกฎ ระเบียบ และกระบวนการภายในต่างๆของบริษัท

(3) การพิจารณา จัดทำ และลงนามในสัญญาทางการค้า

(4) การปฏิบัติตามสัญญาซื้อขาย สัญญาว่าจ้าง สัญญาบริการ สัญญาทางการค้าอื่นๆ การชำระราคา การจัดส่ง-รับส่งข้อมูลระหว่างกัน รวมถึงกระบวนการขอและพิจารณาเอกสารที่เกี่ยวข้องอันอาจมีข้อมูลส่วนบุคคลของกรรมการบริษัทซึ่งเป็นบุคคลภายนอกหรือผู้แทนจากหน่วยงานรัฐ

(5) การส่งมอบงาน การตรวจสอบและตรวจรับงานตามสัญญาระหว่างบริษัทและผู้รับจ้างบริการ การออกหนังสือรับรองผลงาน

ฐานทางกฎหมาย : ฐานการปฏิบัติตามสัญญา / ฐานประโยชน์ โดยชอบด้วยกฎหมาย

3.  เพื่อการติดต่อสื่อสารทางธุรกิจ เช่น ติดต่อ นัดพบ เข้าพบประชุม ร่วมพบปะพูดคุยทางธุรกิจเกี่ยวกับบริการ และโครงการต่างๆ รวมถึงการบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับการติดต่อดังกล่าว

ฐานทางกฎหมาย : ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย

4.  เพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรม เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐ กฎหมายว่าด้วยภาษีอากร กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการ

ฐานทางกฎหมาย : ฐานการปฏิบัติตามกฎหมาย

     5. เพื่อการสืบสวน สอบสวนเรื่องร้องเรียนภายในองค์กร การป้องกันการทุจริต หรือการดำเนินกระบวนการทางกฎหมายอื่นใด รวมทั้งการตรวจสอบและจัดการข้อร้องเรียน และข้อกล่าวหาที่เกี่ยวกับการดำเนินการของบริษัท หรือผู้ที่เกี่ยวข้องให้เกิดความโปร่งใส และความยุติธรรมกับทุกฝ่าย

ฐานทางกฎหมาย : ฐานความจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย

6. เพื่อการรักษาความปลอดภัยภายในบริเวณอาคารสำนักงาน คลังสินค้าให้เช่าของบริษัท หรือของคู่ค้า รวมถึงการแลกบัตรก่อนเข้าบริเวณพื้นที่ดังกล่าว การบันทึกภาพผู้มาติดต่อ ด้วยกล้องวงจรปิด (CCTV)

ฐานทางกฎหมาย :  ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย

7.  เพื่อปรับปรุงพัฒนาการให้บริการของคู่ค้ากับบริษัท เช่น การทำแบบสอบถามความพึงพอใจ แจ้งผลการประเมินคู่ค้า

ฐานทางกฎหมาย :  ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย

4. ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีการเก็บรวบรวม
         บริษัท ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ดังต่อไปนี้

     4.1 ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป

4.1.1 ข้อมูลที่ใช้ระบุตัวตน เช่น ชื่อ นามสกุล เลขประจำตัวบัตรประชาชน วันเดือนปีเกิด เพศ อายุ ลายมือชื่อ ภาพถ่าย เป็นต้น

4.1.2 ข้อมูลติดต่อ (Contact Data) เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล ตำแหน่งที่อยู่ และบัญชีการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ Line ID เป็นต้น

4.1.3 ข้อมูลทางการเงิน (Financial Data) เช่น หมายเลขบัญชีธนาคาร เป็นต้น

4.1.4 ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ของบริษัท รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งาน Application ข้อมูลในการเข้าชมเว็บไซต์ เช่น ประวัติการเข้าชมเว็บไซต์ ข้อมูลที่อยู่ IP (IP Address) เป็นต้น

     4.2 ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความละเอียดอ่อน

โดยทั่วไปแล้ว บริษัท ไม่มีความประสงค์จะเก็บรวบรวม ใช้ข้อมูลศาสนาที่ปรากฎในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของท่าน เพื่อวัตถุประสงค์ใดโดยเฉพาะ หากท่านได้มอบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่บริษัท ขอให้ท่านปกปิดข้อมูลดังกล่าว มีผลสมบูรณ์และบังคับใช้ได้ตามกฎหมายทุกประการ ทั้งนี้หากบริษัท ไม่สามารถปกปิดข้อมูลได้เนื่องจากข้อจำกัดทางเทคนิคบางประการ บริษัท จะเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลดังกล่าว เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเอกสารยืนยันตัวตนของท่านเท่านั้น

กรณีบริษัท จำเป็นต้องเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความละเอียดอ่อนของท่าน บริษัท จะขอความยินยอมโดยชัดแจ้ง จากท่านเป็นกรณีไป ทั้งนี้ เว้นแต่กฎหมายจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

5. ระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล

5.1 บริษัทจะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ตามประเภทข้อมูลส่วนบุคคลแต่ละประเภท เว้นแต่กฎหมายจะอนุญาตให้มีระยะเวลาการเก็บรักษาที่นานขึ้น ในกรณีที่ไม่สามารถระบุระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลได้ชัดเจน บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลไว้ตามระยะเวลาที่อาจคาดหมายได้ตามมาตรฐานของการเก็บรวบรวม (เช่น อายุความตามกฎหมายทั่วไปสูงสุด 10 ปี)

5.2 บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษา หรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาหรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น

5.3 กรณีที่บริษัทใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยขอความยินยอมจากท่าน บริษัทจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวจนกว่าท่านจะแจ้งขอยกเลิกความยินยอม และบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านเสร็จสิ้นแล้ว อย่างไรก็ดีบริษัทจะยังเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเท่าที่จำเป็นสำหรับบันทึกเป็นประวัติว่าท่านเคยยกเลิกความยินยอม เพื่อให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อคำขอของท่านในอนาคตได้

5.4 กรณีข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมโดยกล้องโทรทัศน์วงจรปิด บริษัทจะเก็บข้อมูล ดังนี้

(1) ในสถานการณ์ปกติ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอาจถูกเก็บไว้ไม่เกิน 30 วัน

(2) ในกรณีจำเป็น เช่น กรณีที่จำเป็นต้องใช้เป็นหลักฐานในการสืบสวน สอบสวน หรือการดำเนินคดี หรือ

กรณีที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลร้องขอ ข้อมูลส่วนบุคคลอาจถูกเก็บรักษาไว้เกินกว่า 30 วัน และ บริษัทจะดำเนินการลบข้อมูลดังกล่าวอย่างปลอดภัยเมื่อเสร็จสิ้นวัตถุประสงค์นั้น

6. การเปิดเผยข้อมูล

การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่บุคคลภายนอก เพื่อให้บุคคลเหล่านี้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน สำหรับกรณีดังต่อไปนี้

6.1 ผู้ให้บริการใดๆ ที่ปฏิบัติงานให้กับบริษัท หรือให้บริการแก่บริษัท ทั้งนี้รวมถึง ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ผู้บังคับบัญชา และผู้ปฏิบัติงานของบุคคลดังกล่าว

6.2 ผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการดูแลผลประโยชน์ใดๆ ของบริษัท

6.3 บุคคลผู้ติดต่อ และตัวแทนของบริษัท

6.4 สถาบันทางการเงิน และผู้ให้บริการรับชำระเงิน

6.5 หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย รัฐบาล ศาล หน่วยงานระงับข้อพิพาท ผู้มีอำนาจควบคุมของบริษัท ผู้ตรวจสอบบัญชีและบุคคลใดๆ ซึ่งแต่งตั้งหรือร้องขอโดยมีผู้อำนาจควบคุมของบริษัท ให้ทำการตรวจสอบกิจกรรมการดำเนินงานของบริษัท

6.6 บุคคลอื่นใดซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทใดๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรม

6.7 หน่วยงานป้องกันการทุจริตซึ่งใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อสืบหา และป้องกันการทุจริต และอาชญากรรมทางการเงินอื่นๆ

6.8 บุคคลใดๆ ที่บริษัท ได้รับคำสั่งจากท่านให้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้กับบุคคลดังกล่าว

ทั้งนี้ บริษัท จะไม่อนุญาตให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว และจะกำหนดให้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม

7. การส่งและ/หรือเปิดเผยข้อมูลไปต่างประเทศ

บริษัท ไม่มีการโอนถ่าย และ/หรือส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตบริษัท มีความจำเป็นต้องมีการโอนถ่าย และ/หรือส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศ บริษัทจะกำหนดมาตรฐานในการทำข้อตกลง และ/หรือสัญญาร่วมธุรกิจกับหน่วยงาน องค์กร ที่จะได้รับข้อมูลส่วนบุคคลนั้นให้มีมาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นที่ยอมรับและสอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลนั้นจะได้รับการคุ้มครองอย่างปลอดภัย โดย

7.1 การส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังต่างประเทศจะต้องเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และบริษัท จะต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบ

7.2 การประมวลผลในระบบคลาวด์ (Cloud) บริษัทจะพิจารณาองค์กรที่มีมาตรฐานความมั่นคงปลอดภัยในระดับสากล และจะจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบการเข้ารหัส หรือวิธีการอื่นๆ ที่ไม่สามารถระบุตัวตนของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ เป็นต้น

8. สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทเคารพสิทธิส่วนบุคคลของท่าน และเปิดโอกาสให้ท่านสามารถเลือกวิธีการควบคุม หรือวิธีการที่บริษัทใช้ติดต่อท่าน โดยบริษัทจะปฏิบัติตามที่ท่านได้ร้องขอ เพื่อช่วยให้เกิดความโปร่งใส และเพื่อคุณภาพของข้อมูล และความถูกต้องของข้อมูล ท่านมีสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลโดยท่านสามารถส่งคำขอให้บริษัททราบเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางที่บริษัทกำหนดในการดำเนินการตามสิทธิ ดังต่อไปนี้

     8.1 สิทธิขอถอนความยินยอม

หากท่านได้ให้ความยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน (ไม่ว่าจะเป็นความยินยอมที่ท่านให้ไว้ก่อนวันที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลใช้บังคับหรือ หลังจากนั้น) ท่านมีสิทธิที่จะถอนความยินยอมเมื่อใดก็ได้ตลอดระยะเวลาที่ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอยู่กับบริษัททั้งนี้ บริษัทขอแจ้งให้ท่านทราบว่า การเพิกถอนความยินยอมไม่ส่งผลกระทบต่อการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมไว้แล้วโดยชอบ เว้นแต่มีข้อจำกัดสิทธินั้นโดยกฎหมาย หรือโดยสภาพ ไม่สามารถถอนความยินยอมได้ หรือมีสัญญาระหว่างท่านกับบริษัทที่ให้ประโยชน์แก่ท่านอยู่ หรืออาจส่งผลให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์บางส่วนหรือทั้งหมดตามที่ระบุไว้ในเอกสารฉบับนี้ได้

     8.2 สิทธิขอเข้าถึงข้อมูล ท่านมีสิทธิขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท และขอให้บริษัททำสำเนาข้อมูลดังกล่าวให้แก่ท่าน รวมถึงขอให้บริษัทเปิดเผยว่าบริษัทได้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมาได้อย่างไร เว้นแต่กรณีที่บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่านตามกฎหมาย หรือคำสั่งของศาล หรือกรณีที่คำขอของท่านจะมีผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น

     8.3 สิทธิขอถ่ายโอนข้อมูล ท่านมีสิทธิขอให้โอนข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในกรณีที่บริษัทได้จัดทำข้อมูลส่วนบุคคลนั้นอยู่ในรูปแบบให้สามารถอ่านหรือใช้งานได้ด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติ และสามารถใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ รวมทั้งมีสิทธิขอให้บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นเมื่อสามารถทำได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ และมีสิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยัง ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นโดยตรง เว้นแต่ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะเหตุทางเทคนิคทั้งนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านข้างต้นต้องเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัท หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทจำเป็นต้องประมวลผล เพื่อให้ท่านสามารถใช้บริการของบริษัทได้ตามความประสงค์ซึ่งท่านเป็นคู่สัญญาอยู่กับบริษัท หรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของท่านก่อนใช้บริการ หรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอื่นตามที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายกำหนด

     8.4 สิทธิขอคัดค้าน ท่านมีสิทธิขอคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในเวลาใดก็ได้ หากประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านทำขึ้นเพื่อการดำเนินงานที่จำเป็นภายใต้ประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นโดยไม่เกินขอบเขตที่ท่านสามารถคาดหมายได้อย่างสมเหตุสมผล หรือเพื่อดำเนินการตามภารกิจเพื่อสาธารณประโยชน์ หรือเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือสถิติหากท่านยื่นคัดค้าน บริษัทจะยังคงดำเนินการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อไปเฉพาะที่บริษัทสามารถแสดงเหตุผลตามกฎหมายได้ว่ามีความสำคัญยิ่งกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานของท่าน หรือเป็นไปเพื่อการยืนยันสิทธิตามกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมาย หรือการต่อสู้ในการฟ้องร้องตามกฎหมาย ตามแต่ละกรณี

     8.5 สิทธิขอให้ลบหรือทำลายข้อมูล ท่านมีสิทธิขอลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนของท่านได้ หากท่านเชื่อว่าข้อมูลส่วนบุคคลของท่านถูกประมวลผลโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หรือเห็นว่าบริษัทหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องในประกาศฉบับนี้ หรือเมื่อบริษัทเห็นว่าสามารถปฏิบัติตามที่ท่านได้ใช้สิทธิขอถอนความยินยอมหรือใช้สิทธิขอคัดค้านตามที่แจ้งไว้ข้างต้นแล้ว

     8.6 สิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูล ท่านมีสิทธิขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลชั่วคราวในกรณีที่บริษัทอยู่ระหว่างตรวจสอบตามคำร้องขอใช้สิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล หรือขอคัดค้านของท่าน หรือกรณีอื่นใด ที่บริษัทหมดความจำเป็นและต้องลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องแต่ท่านขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลแทน

     8.7 สิทธิขอให้แก้ไขข้อมูล ท่านมีสิทธิขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้งนี้ หากท่านประสงค์จะขอแก้ไขข้อมูลเกี่ยวกับภาพ บริษัทจะทำการแก้ไขเฉพาะรายการข้อมูลที่เกี่ยวกับภาพของท่านเพื่อให้ถูกต้อง ตามความจำเป็นของบริษัทที่ชอบด้วยกฎหมายและในกรณีที่การดำเนินการตามคำขอก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายบริษัทอาจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายดังกล่าวจากท่าน

     8.8 สิทธิร้องเรียน ท่านมีสิทธิร้องเรียนต่อบริษัทผ่าน เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: (Data Protection Officer) อีเมล : dpo@vincent.clinic หรือผู้มีอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากท่านเชื่อว่าการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เป็นการกระทำในลักษณะที่ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

9. วิธีการใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูล

9.1 การร้องขอใด ๆ เพื่อการใช้สิทธิของท่านจะต้องกระทำเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งบริษัทได้จัดให้มีขึ้นในเว็บไซต์ของบริษัท หรือกรอกข้อมูลผ่าน แบบฟอร์มคำร้องขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject Request Form) ส่งมาที่อีเมล : dpo@vincent.clinic  หรือ ทางไปรษณีย์ตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในแบบฟอร์มดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทจะใช้ความพยายามอย่างดีที่สุดที่จะดำเนินการภายในระยะเวลาที่สมเหตุสมผล และไม่เกินระยะเวลา 30 วัน นับแต่ได้รับคำร้อง อย่างไรก็ดี บริษัทมีสิทธิปฏิเสธคำขอของท่าน ในกรณีที่มีข้อยกเว้นตามกฎหมาย หรือบริษัท จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาได้ หรือมีผลกระทบกับการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญา หรือเป็นการปฏิเสธตามคำสั่งศาล หรือหากบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านจะส่งผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น โดยบริษัทจะดำเนินการบันทึกการปฏิเสธคำร้องขอพร้อมด้วยเหตุผลไว้ ทั้งนี้ หากปรากฏอย่างชัดเจนว่าคำร้องขอของท่านเป็นคำร้องขอที่ไม่สมเหตุสมผล หรือคำร้องขอฟุ่มเฟือยบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินการตามที่ท่านร้องขอในอัตราที่บริษัทกำหนด

9.2 บริษัทจะพยายามอย่างเต็มที่ตามความสามารถของระบบงานที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกและดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน เว้นแต่จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า การดำเนินการตามคำร้องขอนั้นเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ใช้งานรายอื่น หรือเป็นการขัดต่อกฎหมาย หรือนโยบายความปลอดภัยของระบบ หรือกรณีที่เป็นการพ้นวิสัยในทางปฏิบัติตามคำร้องขอ เนื่องมาจากเหตุทางเทคนิค

9.3 ในบางสถานการณ์บริษัทอาจขอให้ท่านพิสูจน์ตัวตนของท่านก่อนการใช้สิทธิเพื่อความปลอดภัยของท่านเองโดยบางครั้งอาจเกิดข้อจำกัดในการขอใช้สิทธิของท่านบางประการ ซึ่งบริษัทจะทำการชี้แจงให้ท่านทราบหากไม่สามารถปฏิบัติตามคำร้องขอใช้สิทธิของท่านได้

9.4 หากเป็นกรณีกิจกรรมที่บริษัททำการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามฐานการปฏิบัติตามสัญญา หรือฐานเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย หรือฐานการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย บริษัทมีสิทธิปฏิเสธการใช้สิทธิของท่านในกรณีที่ท่านใช้สิทธิโต้แย้ง หรือขอระงับการใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่าน และขอให้ดำเนินการลบ หรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่านได้ รวมถึงบริษัทอาจปฏิเสธที่จะดำเนินการตามคำร้องขอของท่าน หากบริษัท มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บข้อมูลต่อไป เพื่อการกระทำการ ดังต่อไปนี้

(1) เพื่อทำรายการใด ๆ ตามวัตถุประสงค์ที่บริษัท เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น หรือดำเนินการตามสมควรภายในขอบเขตความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างบริษัทกับท่าน

(2) เพื่อใช้เป็นการภายในตามสมควรโดยสอดคล้องกับความคาดหมายของท่านที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบริษัท และสอดคล้องกับบริบทที่ท่านได้ให้ข้อมูลดังกล่าวไว้แต่แรก และเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ข้อบังคับ กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง

9.5 ในกรณีที่ท่านไม่ประสงค์ถูกบันทึกภาพ ท่านมีสิทธิที่จะขอรับและติดสัญลักษณ์ “ห้ามถ่ายภาพบุคคล” ตลอดการร่วมประชุม ทั้งนี้ บริษัทขอเรียนให้ทราบว่าด้วยลักษณะการจัดกิจกรรมอาจมีการถ่ายภาพบรรยากาศกิจกรรม ซึ่งแม้ท่านขอรับสัญลักษณ์ดังกล่าวแล้วก็ตาม ก็อาจปรากฎภาพของท่านเป็นส่วนประกอบของภาพได้ ดังนั้น บริษัทจึงแนะนำให้ท่านแจ้งต่อบริษัทเพื่อปฏิเสธขณะที่บริษัทกำลังบันทึกภาพ หรือหลีกเลี่ยงบริเวณที่บันทึกภาพ หรือไม่เข้าร่วมกิจกรรมขณะมีการบันทึกภาพ หรือภาพเคลื่อนไหว

9.6 บริษัทจำเป็นต้องแจ้งให้ทราบว่า การขอใช้สิทธิของท่านบางประการ อาจเกิดข้อจำกัด ในกรณีที่ข้อมูลส่วนบุคคลนั้น เป็นข้อมูลที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อบริษัทในการปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมาย เพื่อการชำระเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นกู้ ตัวแทนของบุคคลดังกล่าว และการบริการจัดการทะเบียนผู้ถือหุ้น และข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่จำเป็นต่อบริษัทในการปฏิบัติตามสัญญา หรือข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิ และหน้าของผู้ออกหุ้น ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ หากท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นแก่บริษัท หรือใช้สิทธิ ขอให้ลบ ระงับการใช้ข้อมูล บริษัทอาจไม่สามารถบริการหรือจัดการสัญญาระหว่างท่านกับบริษัท รวมถึงสิทธิประโยชน์ที่ท่านอาจจะได้รับ

10. มาตรการการรักษาความปลอดภัย

บริษัท กำหนดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการสูญหาย การเข้าถึง การใช้ การเปลี่ยนแปลง การแก้ไข หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่มีอำนาจหรือโดยขัดต่อกฎหมาย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศของบริษัท (Information Security Policy) และนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Policy)

11. การแก้ไขเปลี่ยนแปลง

บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไข ทบทวน และปรับปรุงประกาศความเป็นส่วนตัวที่จะมีผลบังคับใช้ ณ เวลาที่ได้เผยแพร่ต่อไปโดยมิต้องแจ้งให้ท่านทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ เพื่อความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการให้บริการ ดังนั้น บริษัทจึงขอแนะนำให้ท่านอ่านประกาศความเป็นส่วนตัวทุกครั้งที่เยี่ยมชม หรือใช้บริการจากบริษัทหรือเว็บไซต์ของบริษัท ที่ https://vincent.clinic/th 

12. ช่องทางการติดต่อ

กรณีที่เจ้าของข้อมูลมีข้อสงสัยใด ๆ หรือต้องการใช้สิทธิตามที่กำหนดไว้ในนโยบายนี้ หรือสอบถามเพิ่มเติม ผ่านช่องทาง ดังนี้

1. ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด อาคาร Exchange Tower ( เอ็กซ์เชนจ์ทาวเวอร์ ) ยูนิต 3W/F ชั้น 3 เลขที่ 388 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110

โทรศัพท์: 066 017 4488

อีเมล : dpo@vincent.clinic

เว็บไซต์บริษัท  https://vincent.clinic/th 

     2. เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด อาคาร Exchange Tower ( เอ็กซ์เชนจ์ทาวเวอร์ ) ยูนิต 3W/F ชั้น 3 เลขที่ 388 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110

โทรศัพท์: 066 017 4488

อีเมล : dpo@vincent.clinic

เว็บไซต์บริษัท https://vincent.clinic/th 

นโยบายคุกกี้

คำนำ

บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (บริษัท) อาจมีการใช้คุกกี้หรือเทคโนโลยีอื่นใดที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน (รวมเรียกว่า “คุกกี้”) บนเว็บไซต์และ/หรือแอปพลิเคชัน (รวมเรียกว่า “บริการ”) เพื่อช่วยให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีจากการใช้บริการ และช่วยให้สามารถพัฒนาคุณภาพของบริการให้ตอบสนองต่อความต้องการของท่านได้มากยิ่งขึ้น​

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากนโยบายการใช้คุกกี้ฉบับนี้ จะใช้งานคุกกี้ภายใต้รายละเอียดที่ระบุในคำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวซึ่งท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก https://vincentclinicofficial.com/

1. คุกกี้ คืออะไร

คุกกี้ คือ ไฟล์ข้อความขนาดเล็กที่ถูกดาวน์โหลดไปยังอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์มือถือของท่าน ซึ่งทำหน้าที่บันทึกข้อมูลและการตั้งค่าการใช้งานเว็บไซต์และ/หรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น ข้อมูลการตั้งค่าภาษา ข้อมูลสถานะการเข้าใช้บริการในปัจจุบันของท่าน ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการเข้าใช้บริการที่ท่านชื่นชอบ เพื่อช่วยให้ท่านสามารถเข้าใช้งานเว็บไซต์และ/หรือแอปพลิเคชันได้อย่างต่อเนื่อง โดยคุกกี้ไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์มือถือของท่าน และเนื้อหาในคุกกี้จะถูกเรียกออกมาดูหรืออ่านได้โดยบริการที่สร้างคุกกี้ดังกล่าวเท่านั้น

2. ประโยชน์ของคุกกี้

คุกกี้จะบอกให้ทราบว่าท่านเข้าใช้งานส่วนใดในเว็บไซต์และ/หรือแอปพลิเคชันเพื่อที่จะสามารถมอบประสบการณ์การใช้บริการที่ดีขึ้นและตรงกับความต้องการของท่านได้ นอกจากนี้ การบันทึกการตั้งค่าแรกของบริการด้วยคุกกี้จะช่วยให้ท่านเข้าถึงบริการด้วยค่าที่ตั้งไว้ทุกครั้งที่ใช้งาน ยกเว้นในกรณีที่คุกกี้ถูกลบซึ่งจะทำให้การตั้งค่าทุกอย่างกลับไปที่ค่าเริ่มต้น

3. ประเภทของคุกกี้

     3.1 คุกกี้ที่จำเป็น (Necessary)

ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

     3.2 คุกกี้ในส่วนวิเคราะห์ (Analytics)

คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

3.2.1 คุกกี้เพื่อการโฆษณา (Advertisement)

คุกกี้ประเภทนี้เป็นคุกกี้ที่เกิดจากการเชื่อมโยงเว็บไซต์ของบุคคลที่สาม ซึ่งเก็บข้อมูลการเข้าใช้งานและเว็บไซต์ที่ท่านได้เข้าเยี่ยมชม เพื่อนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่นที่ไม่ใช่เว็บไซต์ของ Vincent Clinic ทั้งนี้ หากท่านปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะไม่ส่งผลต่อการใช้งานเว็บไซต์ของ Vincent Clinic แต่จะส่งผลให้การนำเสนอสินค้าหรือบริการบนเว็บไซต์อื่น ๆ ไม่สอดคล้องกับความสนใจของท่าน

ทั้งนี้ ในกรณีที่จะใช้คุกกี้ในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อการโฆษณา จะขอความยินยอมจากท่านหรือดำเนินการตามที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด

4. การตั้งค่าและการปิดการทำงานคุกกี้

ท่านสามารถเลือกเปิดการทำงานของคุกกี้ทุกประเภท หรือเลือกปิดการทำงานของคุกกี้ทุกประเภทได้ ทางเลือกใดทางเลือกหนึ่ง ตามความต้องการของท่านnเมื่อท่านเลือกปิดการทำงานของคุกกี้ โดยการตั้งค่าเบราว์เซอร์ของท่าน และตั้งค่าความเป็นส่วนตัวเพื่อระงับการรวบรวมข้อมูลโดยคุกกี้ในอนาคต (รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถศึกษาได้จาก AboutCookies.org)ท่านยังคงเข้าใช้งานเว็บไซต์และ/หรือแอปพลิเคชันได้ต่อไป แต่ผลจากการปิดการทำงานของคุกกี้ดังกล่าวอาจทำให้ท่านใช้งานเว็บไซต์และ/หรือแอปพลิเคชันบางฟังก์ชันหรือทั้งหมดของบริการได้อย่างไม่ราบรื่น

5. การเปลี่ยนแปลงนโยบายคุกกี้

อาจทำการเปลี่ยนแปลงนโยบายการใช้คุกกี้นี้เป็นครั้งคราว เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่เกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน และเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง จะแจ้งให้ท่านทราบถึงการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใด ๆ ด้วยช่องทางที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ท่านตรวจสอบทบทวนนโยบายการใช้คุกกี้นี้เป็นครั้งคราว

6.  ช่องทางการติดต่อบริษัท
     1. ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด อาคาร Exchange Tower ( เอ็กซ์เชนจ์ทาวเวอร์ ) ยูนิต 3W/F ชั้น 3 เลขที่ 388 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110
โทรศัพท์: 066 017 4488
อีเมล : dpo@vincent.clinic
เว็บไซต์บริษัท https://vincent.clinic/th 
     2. เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด อาคาร Exchange Tower ( เอ็กซ์เชนจ์ทาวเวอร์ ) ยูนิต 3W/F ชั้น 3 เลขที่ 388 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110
โทรศัพท์: 066 017 4488
อีเมล : dpo@vincent.clinic
เว็บไซต์บริษัท https://vincent.clinic/th  
นโยบายการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลและนโยบายการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคล
1. คำนำ

บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (“บริษัท”) จัดทำนโยบายเรื่อง นโยบายการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลส่วนบุคคล และนโยบายการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคล (“นโยบายฯ”) ฉบับนี้ขึ้น เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง และให้หมายความรวมถึงกฎหมายฉบับแก้ไขเพิ่มเติมใดๆ ในอนาคต (“กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล”) เพื่ออธิบายให้ท่านทราบถึงนโยบายและแนวทางปฏิบัติของบริษัทเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่ถูกเก็บรวบรวม แหล่งที่มาและการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล ระยะเวลาเก็บรักษา รวมถึงการทำลายข้อมูลส่วนบุคคล
นโยบายฯ ฉบับนี้ครอบคลุมระบบการเก็บข้อมูลทั้งรูปแบบกายภาพ และอิเล็กทรอนิกส์ของบริษัท รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทจัดเก็บผ่านช่องทางต่างๆ เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน เครือข่ายสังคมของบุคคลที่สามจุดให้บริการ และกิจกรรมต่าง ๆ นอกจากนี้ บริษัทอาจรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ หรือจากบุคคลภายนอก เช่น การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากแหล่งข้อมูลสาธารณะ แหล่งข้อมูลทางการค้า เป็นต้น ทั้งนี้ หากท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลบางประการที่ระบุว่าเป็นข้อมูลที่จำเป็นกับการให้บริการหรือการให้สิทธิประโยชน์บางประการแก่บริษัท บริษัทอาจไม่สามารถให้บริการหรือสิทธิประโยชน์นั้น ๆ แก่ท่าน

2. ข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกเก็บรวมรวบ

บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเท่าที่จำเป็น โดยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่ถูกเก็บรวบรวมและประมวลผลภายใต้ประกาศฯ ฉบับนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้ไว้กับบริษัทโดยตรง หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมจากท่านโดยอัตโนมัติ หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาจากบุคคลภายนอก ได้แก่

     2.1 ข้อมูลติดต่อส่วนบุคคล

(1) ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด อายุ เพศ เลขบัตรประจำตัวประชาชน รูปถ่าย และลายมือชื่อ เป็นต้น

(2) ข้อมูลการติดต่อ เช่น ที่อยู่อาศัย หมายเลขโทรศัพท์ โทรสาร อีเมล ไอดีผู้ใช้สำหรับแอปพลิเคชั่น (Line ID) ข้อมูลผู้ที่สามารถติดต่อได้ เป็นต้น

(3) ข้อมูลทางธุรกรรม เช่น ประวัติการรับบริการต่าง ๆ รายละเอียดการชำระเงิน บัญชีธนาคาร ประวัติการทำสัญญาต่าง ๆ (ถ้ามี) เป็นต้น

(4) ข้อมูลทางการตลาด อาทิ ความพึงพอใจของท่านต่อบริการที่ได้รับ และความเห็นต่อการให้บริการของพนักงาน เจ้าหน้าที่ ที่ให้บริการ

(5) ข้อมูลด้านเทคนิค ข้อมูลคอมพิวเตอร์/อุปกรณ์เคลื่อนที่ใด ๆ เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ทางเทคโนโลยีอื่นใดที่ท่านใช้เพื่อเข้าถึงหนึ่งในเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของบริษัท เช่น ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ (Log) หมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ (IP Address) ชนิดของระบบปฏิบัติการ ชนิดและเวอร์ชั่นของเว็บเบราว์เซอร์ และข้อมูลที่บริษัทได้เก็บรวบรวมผ่านคุกกี้ (Cookies) หรือเทคโนโลยีอื่นที่คล้ายคลึงกัน เป็นต้น

(6) ข้อมูลจากการใช้เว็บไซต์/การติดต่อสื่อสารเมื่อท่านใช้เว็บไซต์ของบริษัท บริษัทจะใช้เทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลอัตโนมัติเพื่อเก็บข้อมูลบางประการเกี่ยวกับการดำเนินการของท่าน เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่เว็บไซต์ ความเห็นของผู้ใช้งานข้อมูลใด ๆ ที่ท่านเปิดเผยแก่บริษัทโดยสมัครใจเกี่ยวกับประสบการณ์การใช้สินค้าและบริการของบริษัท เพจหรือเนื้อหาและระยะเวลาที่ท่านอ่าน และข้อมูลและสถิติอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน เช่น จำนวนครั้งของการตอบสนองต่อเนื้อหา ความผิดพลาดของการดาวน์โหลดและระยะเวลาในการเยี่ยมชมเพจต่าง ๆ เป็นต้น

(7) ข้อมูลอื่น ๆ เช่น การถ่ายภาพหรือบันทึกภาพเคลื่อนไหวในเหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านกล้องวงจรปิด (CCTV) เป็นต้น

     2.2 ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว

บริษัท จะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวเพียงเท่าที่จำเป็น เมื่อบริษัทมีความจำเป็นต้องประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวของท่านเนื่องจากสาเหตุใดก็ตาม บริษัทจะขอความยินยอมโดยชัดแจ้งเพื่อดำเนินการประเมินและการประมวลผลโดยสมัครใจ เช่น เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด โดยอาจผ่านทางช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบออนไลน์ หรือ ออฟไลน์ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมายกำหนด

     2.3 ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เยาว์ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ

บริษัท จะไม่ร้องขอหรือจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลจากผู้เยาว์ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ หากบริษัท พบว่าได้จัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลจากผู้เยาว์ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะโดยไม่ได้เจตนา บริษัท จะลบข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เยาว์ออกจากระบบเก็บข้อมูลทันที อย่างไรก็ตามบริษัท อาจจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับผู้เยาว์ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะจากบิดามารดาหรือผู้ปกครองโดยตรงและเมื่อได้รับความยินยอมอย่างชัดแจ้งจากบุคคลดังกล่าว

3. แหล่งที่มาและการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัท เก็บรวบรวมและรับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านผ่าน 2 ช่องทางหลัก ดังนี้

 3.1 ข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านให้ไว้กับบริษัทโดยตรง โดยบริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากขั้นตอนการให้บริการดังนี้

(1) เมื่อท่านลงทะเบียนบัญชีเพื่อใช้บริการกับบริษัท หรือเมื่อท่านยื่นคำร้องขอใช้สิทธิต่าง ๆ กับบริษัท รวมถึงแบบฟอร์มการลงทะเบียนรูปแบบอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน ไม่ว่าเป็นการเก็บรวบรวมผ่านไปรษณีย์ โทรศัพท์ การออกงานส่งเสริมการขายหรือกิจกรรมต่าง ๆ เป็นต้น

(2) จากเว็บไซต์ของบริษัท และเว็บไซต์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น Google, Facebook เป็นต้น

(3) จาก Google Form ซึ่งบริษัทสร้างขึ้น

(4) จากเว็บไซต์ของบริษัทสำหรับมือถือ/อุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ หรือแอปพลิเคชัน (Mobile Application) ต่าง ๆ

(5) จากการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยอัตโนมัติผ่านทางช่องทางต่าง ๆ เช่น การใช้คุกกี้ (Cookies) หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน รายละเอียดเพิ่มเติมโปรดดู นโยบายการใช้คุกกี้

(6) จากอีเมล จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เนื้อหาและข้อความอื่น ๆ ทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีการติดต่อสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างท่านและบริษัท

     3.2 ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับจากบุคคลภายนอก

บริษัท อาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากบุคคลภายนอก เช่น การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านจากแหล่งข้อมูลสาธารณะ แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจของท่าน แหล่งข้อมูลทางการค้า การวิจัยทางการตลาด เครือข่ายสังคมของบุคคลที่สาม เช่น Facebook, Google, YouTube เป็นต้น

4. ระยะเวลาเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัท จะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านตามระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดในการประมวลผลส่วนบุคคลนั้น ๆ โดยการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลจะเปลี่ยนแปลงไปโดยขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่กำหนดในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล นอกจากนี้ บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลเป็นระยะเวลาตามที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกำหนด (ถ้ามี) โดยคำนึงถึงอายุความตามกฎหมายสำหรับการดำเนินคดีที่อาจจะเกิดขึ้นจากหรือเกี่ยวกับเอกสารหรือข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมไว้ในแต่ละรายการ และโดยคำนึงถึงแนวปฏิบัติของบริษัท และของภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องสำหรับข้อมูลส่วนบุคคลแต่ละประเภทเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ โดยทั่วไปบริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันที่นิติสัมพันธ์ระหว่างท่านกับบริษัทสิ้นสุดลง อย่างไรก็ดี บริษัทอาจเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นระยะเวลาเกินกว่าระยะเวลาดังกล่าว หากกฎหมายอนุญาตหรือเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวจำเป็นต่อการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องทางกฎหมายของบริษัท

5. การเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล ตามหน่วยงานในองค์กร

5.1 บริษัทจะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์

ตามประเภทข้อมูลส่วนบุคคลแต่ละประเภท เว้นแต่กฎหมายจะอนุญาตให้มีระยะเวลาการเก็บรักษาที่นานขึ้น ในกรณีที่ไม่สามารถระบุระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลได้ชัดเจน บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลไว้ตามระยะเวลาที่อาจคาดหมายได้ตามมาตรฐานของการเก็บรวบรวม (เช่น อายุความตามกฎหมายทั่วไปสูงสุด 10 ปี)

5.2 บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษา หรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น บริษัทจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาหรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลนั้น

5.3 กรณีที่บริษัทใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านโดยขอความยินยอมจากท่าน บริษัทจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวจนกว่าท่านจะแจ้งขอยกเลิกความยินยอม และบริษัทดำเนินการตามคำขอของท่านเสร็จสิ้นแล้ว อย่างไรก็ดีบริษัทจะยังเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเท่าที่จำเป็นสำหรับบันทึกเป็นประวัติว่าท่านเคยยกเลิกความยินยอม เพื่อให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อคำขอของท่านในอนาคตได้

5.4 กรณีข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมโดยกล้องโทรทัศน์วงจรปิด บริษัทจะเก็บข้อมูล ดังนี้

(1) ในสถานการณ์ปกติ ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านอาจถูกเก็บไว้ไม่เกิน 30 วัน

(2) ในกรณีจำเป็น เช่น กรณีที่จำเป็นต้องใช้เป็นหลักฐานในการสืบสวน สอบสวน หรือการดำเนินคดี หรือกรณีที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลร้องขอ ข้อมูลส่วนบุคคลอาจถูกเก็บรักษาไว้เกินกว่า 30 วัน และบริษัทจะดำเนินการลบข้อมูลดังกล่าวอย่างปลอดภัยเมื่อเสร็จสิ้นวัตถุประสงค์นั้น

ทั้งนี้ บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลตามมาตรการป้องกันด้านการบริหารจัดการ (Administrative Safeguard) มาตรการป้องกันด้านเทคนิค (Technical Safeguard) และมาตรการป้องกันทางกายภาพ (Physical Safeguard) เพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสม หมายความว่า มีการธำรงไว้ซึ่งความลับ (Confidentiality) ความครบถ้วนถูกต้อง (Integrity) และให้ข้อมูลอยู่ในลักษณะที่พร้อมใช้งาน (Availability) และเพื่อป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล นอกจากนี้ บริษัท ยังได้กำหนดให้พนักงาน บุคลากร บุคคลภายนอก และผู้รับข้อมูลจากบริษัท มีหน้าที่รักษาข้อมูลส่วนบุคคล ไว้เป็นความลับและมีความปลอดภัยตามมาตรการที่บริษัทกำหนด เมื่อต้องมีการดำเนินการใด ๆ กับข้อมูลส่วนบุคคล

6. การทำลายข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทและพนักงานบริษัทควรทบทวนข้อมูลส่วนบุคคลที่จัดเก็บอย่างสม่ำเสมอ ทั้งที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์และรูปแบบกระดาษ เพื่อพิจารณาการลบหรือทำลายข้อมูลดังกล่าว เมื่อใดก็ตามที่การเก็บรักษาไม่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้สำหรับข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวแล้ว หรือเมื่อเป็นไปตามกำหนดการการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นผู้รับผิดชอบและกำกับดูแลเกี่ยวกับการทำลายข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว

      6.1 แนวปฏิบัติทั่วไปสำหรับการทำลายข้อมูลส่วนบุคคล

เมื่อใดก็ตามที่ตัดสินใจได้ว่าต้องมีการทำลายข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลส่วนบุคคลต้องถูกลบออกจากระบบสารสนเทศหรือระบบจัดเก็บ หรือถูกทำลายด้วยเครื่องทำลายเอกสาร หรือถูกทำลายด้วยวิธีอื่นตามความเหมาะสมเทียบเคียงกับมูลค่าของข้อมูลต่อบุคคลอื่นและระดับความสำคัญของข้อมูลส่วนบุคคลนั้น วิธีการทำลายอาจแตกต่างกันไปตามคุณลักษณะของเอกสาร ตัวอย่างเช่น เอกสารที่บรรจุข้อมูลส่วนบุคคลประเภทอ่อนไหว ต้องกำจัดเป็นขยะที่เป็นความลับและต้องลบด้วยกระบวนการลบแบบ Secure Delete นอกจากนั้น สัญญาที่สิ้นสุดแล้วหรือถูกแทนที่ด้วยสัญญาฉบับใหม่ต้องถูกทำลายด้วยเครื่องทำลายเอกสารภายในบริษัท เป็นต้น

พนักงานต้องทำการทำลาย และถือว่าเป็นผู้รับผิดชอบการทำลายสารสนเทศด้วยวิธีที่ถูกต้อง เหมาะสม นอกจากนั้น อาจมีกระบวนการลบหรือทำลายด้วยวิธีเฉพาะ ซึ่งอาจกระทำโดยพนักงานหรือโดยผู้ให้บริการภายนอกซึ่งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นผู้มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบดูแลการว่าจ้างโดยการดำเนินการต้องเป็นไปตามนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท และเป็นไปตาม พรบ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

6.2 กำหนดการประจำสำหรับการทำลายข้อมูลส่วนบุคคล

ข้อมูลส่วนบุคคลต่อไปนี้ อยู่ในกลุ่มที่ต้องได้รับการทำลายเป็นประจำ ยกเว้นเมื่ออาจถูกใช้หรือร้องขอระหว่างการดำเนินงานทางกฎหมาย

(1) ไฟส์ชั่วคราว (Temporary Files) เช่น ไฟส์ที่ใช้ชั่วคราวในกระบวนการนำเข้า (import) / ส่งออก (export) / สกัด (extra) ข้อมูล

(2) เอกสารนำส่ง เช่น จดหมาย ใบปะหน้าเอกสาร ข้อความอีเมล ใบสลิปการเดินเอกสาร ใบสลิปอื่นๆ หรือเอกสารอื่นในลักษณะเดียวกันที่มาพร้อมกับเอกสารแต่ไม่เพิ่มมูลค่าให้กับเอกสารหรือข้อมูลหลัก

(3) ใบสลิปข้อความ

(4) รายการที่อยู่หรือรายการแจกจ่ายที่ถูกแทนที่ไปแล้ว

(5) เอกสารซ้ำซ้อน เช่น สำเนาการ CC หรือ FYI ร่างเอกสารที่ซ้ำซ้อนกับเอกสารจริง snapshot ของข้อมูลที่ดึงออกมาจากฐานข้อมูล รวมถึงไฟส์ประจำวัน (day file) เอกสาร (hardcopy) ที่บรรจุข้อมูลส่วนบุคคลต้องได้รับการทำลายด้วยเครื่องทำลายเอกสาร และข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ต้องได้รับการลบแบบ Secure Delete

7. การแก้ไขเปลี่ยนแปลง

บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไข ทบทวน และปรับปรุงประกาศความเป็นส่วนตัวที่จะมีผลบังคับใช้ ณ เวลาที่ได้เผยแพร่ต่อไปโดยมิต้องแจ้งให้ท่านทราบล่วงหน้า ทั้งนี้ เพื่อความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการให้บริการ ดังนั้น บริษัทจึงขอแนะนำให้ท่านอ่านประกาศความเป็นส่วนตัวทุกครั้งที่เยี่ยมชม หรือใช้บริการจากบริษัท หรือเว็บไซต์ของบริษัท ที่ https://vincent.clinic/th

8. ช่องทางการติดต่อ

กรณีที่เจ้าของข้อมูลมีข้อสงสัยใด ๆ หรือต้องการใช้สิทธิตามที่กำหนดไว้ในนโยบายนี้ หรือสอบถามเพิ่มเติม ผ่านช่องทาง ดังนี้

1. ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด อาคาร Exchange Tower ( เอ็กซ์เชนจ์ทาวเวอร์ ) ยูนิต 3W/F ชั้น 3 เลขที่ 388 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110

โทรศัพท์: 066 – 017 – 4488

อีเมล : dpo@vincent.clinic

เว็บไซต์บริษัท https://vincent.clinic/th 

2. เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท วินเซนต์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด อาคาร Exchange Tower ( เอ็กซ์เชนจ์ทาวเวอร์ ) ยูนิต 3W/F ชั้น 3 เลขที่ 388 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110

โทรศัพท์: 066 – 017 – 4488

อีเมล : dpo@vincent.clinic

เว็บไซต์บริษัท https://vincent.clinic/th   

Scroll to Top