บทความ
ดูแลผิวล้ำลึก กระตุ้นจากผิวชั้นใน ช่วยผิวเรื่องอะไร มีวิธีไหนบ้าง
แชร์ :

ดูแลผิวล้ำลึก กระตุ้นจากผิวชั้นใน ช่วยผิวเรื่องอะไร มีวิธีไหนบ้าง

ดูแลผิวล้ำลึก กระตุ้นจากผิวชั้นใน ช่วยผิวเรื่องอะไร
อยากอ่านอะไร จิ้มที่หัวข้อได้เลย!

ดูแลผิวล้ำลึกเป็นการบำรุงผิวที่มากกว่าการทาครีม ทาสกินแคร์ในทุกๆ วัน เพราะไม่ใช่แค่ดูแลผิวภายนอก แต่เน้นการฟื้นฟูจากภายในในระดับเซลล์และโครงสร้างผิวอย่างลึกถึงชั้นหนังแท้ ในบทความนี้ Vincent Clinic Aesthetic จะพามารู้จักกับวิธีดูแลผิวล้ำลึกว่ามีวิธีแบบไหนบ้าง รวมถึงแนะนำแต่ละวิธีที่เหมาะกับผิวแต่ละแบบ และเรื่องอื่นที่เกี่ยวกับดูแลผิวล้ำลึกได้รวมมาให้แล้วค่ะ

Key Takeaway

  • การดูแลผิวล้ำลึกคือการฟื้นฟูผิวจากชั้นหนังแท้ ไม่ใช่แค่บำรุงภายนอก ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน เติมความชุ่มชื้น และเสริมความแข็งแรงของโครงสร้างผิว ทำให้ผิวแน่น เรียบเนียน ดู Glow อย่างเป็นธรรมชาติ
  • ดูแลผิวล้ำลึกเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ ขาดน้ำ รอยสิว รูขุมขนกว้าง ริ้วรอย ความหย่อนคล้อย หรือรู้สึกว่าสกินแคร์ไม่ค่อยเห็นผล
  • การดูแลผิวล้ำลึกมีวิธีที่นิยม เช่น ฉีดสกินบูสเตอร์ เมโส สารกระตุ้นคอลลาเจน เลเซอร์ฟื้นฟู และเครื่องยกกระชับผิว
  • ผู้ที่มีสิวอักเสบรุนแรง แผลเปิด ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร เพิ่งทำเลเซอร์แรง หรือมีโรคประจำตัวบางอย่าง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนดูแลผิวล้ำลึก
  • ดูแลผิวล้ำลึกควรทำอย่างต่อเนื่อง 3 – 5 ครั้ง ห่างกันทุก 2 – 4 สัปดาห์ จึงจะเห็นผลชัดเจน ผิวจะเริ่มกระจ่างใสและแน่นขึ้นตั้งแต่ครั้งแรก ๆ และคงอยู่ได้นานหากดูแลตามคำแนะนำแพทย์
  • การเลือกคลินิกดูแลผิวล้ำลึกสำคัญมาก ควรเลือกที่ใช้เครื่องมือแท้ มีแพทย์ทำหัตถการ มีการประเมินและติดตามผล ไม่ตัดสินใจจากราคาถูกเพียงอย่างเดียว
  • ดูแลผิวล้ำลึกราคาประมาณ 2,500 – 35,000 บาทขึ้นอยู่กับวิธีดูแลผิวที่เลือกใช้ หากดูแลผิวเป็นคอร์สจะมีราคาที่ถูกกว่า

ดูแลผิวล้ำลึก คืออะไร?

การดูแลผิวล้ำลึก คือ การบำรุงผิวที่เน้นฟื้นฟูและปรับสมดุลจากภายในสู่ภายนอกเพื่อให้ผิวมีสุขภาพดีอย่างแท้จริงไม่เพียงแค่ทำให้ผิวดูดีในระยะสั้นเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับโครงสร้างผิวในระยะยาวอีกด้วย ซึ่งจะแตกต่างจากการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงทั่วไปที่ทาเพียงแค่ผิวชั้นนอก เพราะวิธีดูแลแบบล้ำลึกจะเจาะลึกไปยังชั้นผิวแท้ (Dermis) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการสร้างคอลลาเจน อีลาสติน และมีบทบาทสำคัญต่อความยืดหยุ่น ความชุ่มชื้น และความอ่อนเยาว์ของผิว

ดูแลผิวล้ำลึกช่วยอะไรได้บ้างในแต่ละช่วงวัย?

การดูแลผิวล้ำลึก คือการฟื้นฟูและบำรุงผิวจากภายใน เจาะลึกถึงชั้นผิวแท้ ไม่ใช่แค่การทาครีมทั่วไป แต่ช่วยเสริมสร้างโครงสร้างผิว กระตุ้นคอลลาเจน และชะลอสัญญาณแห่งวัยได้อย่างตรงจุด ซึ่งให้ผลลัพธ์แตกต่างกันในแต่ละช่วงอายุ ดังนี้

  • วัย 20 ปีขึ้นไป ในช่วงวัยนี้ผิวยังมีความยืดหยุ่นดี แต่ผิวเริ่มบางลงเมื่ออายุ 25 ปี การดูแลล้ำลึกสำหรับวัยนี้จึงเน้นการเติมความชุ่มชื้น เสริมปราการผิว และลดการอักเสบที่อาจเร่งให้เกิด ริ้วรอย ก่อนวัย เช่น การใช้สกินบูสเตอร์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ
  • วัย 30 ปีขึ้นไป วัยนี้การผลัดเซลล์ผิว และการฟื้นฟูผิวเริ่มช้าลง ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น ความหมองคล้ำ และริ้วรอยเริ่มปรากฏชัด การดูแลล้ำลึกควรเน้นที่การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพิ่มความชุ่มชื้นลึกถึงผิวแท้ เช่น การฉีดสารบำรุงเข้าสู่ผิวโดยตรง เครื่องยกกระชับผิว
  • วัย 40 ปีขึ้นไป เมื่ออายุเข้าสู่สี่สิบปีขึ้นไป ผิวจะสูญเสียความหนาแน่น และความยืดหยุ่น มีริ้วรอย จุดด่างดำ และความหมองคล้ำปรากฏชัด การดูแลลึกในวัยนี้ต้องเน้นการฟื้นฟูโครงสร้างผิวแท้ เติมวอลุ่มให้ผิวที่หย่อนคล้อย และชะลอการเสื่อมของเซลล์ เช่น เครื่องยกกระชับ ฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจน

การดูแลผิวแบบล้ำลึกแตกต่างจากการดูแลผิวทั่วไปอย่างไร

การดูแลผิวแบบล้ำลึก แตกต่างจากการดูแลผิวทั่วไปอย่างไร?

การดูแลผิวแบบล้ำลึกแตกต่างจากการดูแลผิวทั่วไปตรงที่ไม่ได้เน้นแค่การใช้สกินแคร์เพื่อบำรุงผิวชั้นนอก แต่เป็นการฟื้นฟูผิวจากภายในด้วยวิธีที่เข้าถึงผิวชั้นลึก เช่น การฉีดสารบำรุง การใช้เครื่องยกกระชับ หรือเลเซอร์ ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพิ่มความยืดหยุ่น และแก้ปัญหาผิวอย่างตรงจุด ในขณะที่การดูแลทั่วไปเหมาะสำหรับการบำรุงประจำวันและการป้องกันผิวเบื้องต้น การดูแลล้ำลึกจึงตอบโจทย์มากกว่าเมื่อผิวเริ่มมีสัญญาณเสื่อมสภาพหรือริ้วรอยชัดเจน

ใครบ้างที่ควรดูแลผิวล้ำลึก?

การดูแลผิวล้ำลึกเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวจากภายใน แก้ปัญหาอย่างตรงจุด และเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับผิวในระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มต่อไปนี้:

  • ผู้ที่มีผิวหมองคล้ำ พักผ่อนไม่เพียงพอ มีการใช้ชีวิตเร่งรีบ นอนดึก หรือมีความเครียดสะสม ซึ่งส่งผลให้ หน้าโทรม ขาดน้ำ และขาดความกระจ่างใส
  • ผู้ที่มีผิวบาง ผิวอ่อนแอ ซึ่งเกิดจากการรักษาสิว หรือใช้สารระคายเคืองใช้ยาแต้มสิวหรือผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวเป็นเวลานาน ซึ่งอาจทำให้เกราะป้องกันผิวเสียหาย ต้องการการฟื้นฟูลึกถึงโครงสร้างผิว
  • ผู้ที่มีริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อยก่อนวัย เริ่มมีริ้วรอย หรือสภาพผิวแสดงอายุเร็วกว่าปกติ เช่น มีร่องลึก ผิวแห้งกร้าน หรือขาดความยืดหยุ่น
  • ผู้ที่ต้องการดูแลผิวหลังทำหัตถการ เพิ่งผ่านการดูแลผิวแบบรุนแรงมาสักพัก ต้องการการบำรุงลึกเพื่อช่วยฟื้นฟู และซ่อมแซมผิว
  • ผู้ที่อยู่กลางแดดหรือเผชิญมลภาวะบ่อย เพราะรังสียูวี และฝุ่นควันเร่งให้ผิวเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ การดูแลล้ำลึกจะช่วยฟื้นฟู และเสริมเกราะป้องกันผิว
  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ชัดเจนกว่าการทาครีม เมื่อใช้สกินแคร์ทั่วไปแล้วรู้สึกว่าเห็นผลช้า หรือผลลัพธ์ไม่ตอบโจทย์

ใครที่อาจไม่เหมาะกับการดูแลผิวล้ำลึกบางประเภท?

แม้ว่าการดูแลผิวแบบล้ำลึกจะให้ผลลัพธ์ชัดเจนกว่าการบำรุงทั่วไป แต่ก็มีบางกลุ่มที่ควรระวังหรือหลีกเลี่ยง เช่น

  • ผู้ที่มีผิวอักเสบหรือเป็นสิวติดเชื้อรุนแรง หัตถการที่กระตุ้นลึกอาจทำให้ผิวระคายเคืองมากขึ้น หรือเสี่ยงต่อการกระจายเชื้อ ควรรักษาให้หายก่อน
  • ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร สารบางชนิดที่ใช้ในการฉีดหรือบำรุงลึก อาจมีผลต่อระบบฮอร์โมนหรือทารก แม้ว่าจะปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
  • ผู้ที่มีประวัติแพ้สารบำรุงบางประเภท มีอาการแพ้วิตามินซี ไฮยาลูรอนิก หรือสารเติมเต็ม ควรตรวจสอบก่อนใช้งาน เพราะอาจเกิดการแพ้หรืออักเสบรุนแรงได้
  • ผู้มีโรคเรื้อรังหรือภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น โรคตับ โรคไต เบาหวาน หรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิ การบำรุงผิวลึกอาจเพิ่มภาระให้ร่างกายหรือเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อน
  • ผู้ที่ศัลยกรรมหรือเลเซอร์ลอกผิวไม่นาน เป็นช่วงที่ผิวกำลังฟื้นตัวไม่ควรใช้วิธีที่ลงลึก เพราะอาจรบกวนกระบวนการสมานแผล หรือทำให้ผิวเกิดการอักเสบ
  • ผู้ที่กำลังใช้ยาบางชนิด เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือยากลุ่มเร่งผลัดเซลล์ ควรหลีกเลี่ยงการทำหัตถการบางประเภทที่อาจทำให้ผิวบางหรือฟกช้ำง่าย

ปัญหาผิวที่การดูแลล้ำลึกช่วยได้จริง

การดูแลผิวล้ำลึกเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์การฟื้นฟูผิวที่มีปัญหาเรื้อรังหรือซับซ้อนเกินกว่าการใช้สกินแคร์ทั่วไป การดูแลประเภทนี้ช่วยเสริมประสิทธิภาพของการบำรุงให้ลึกถึงโครงสร้างผิวแท้ ฟื้นฟูความสมดุลของเซลล์ผิว และเร่งการซ่อมแซมในระดับที่ผิวต้องการจริงๆ โดยเฉพาะกับปัญหาต่อไปนี้

ผิวขาดน้ำลึก

แม้จะใช้ครีมบำรุงเป็นประจำแต่ผิวยังแห้งหรือรู้สึกตึงตลอดเวลา นั่นอาจเกิดจากการที่ผิวขาดความชุ่มชื้นในระดับลึก ไม่ใช่แค่ผิวชั้นนอก การดูแลล้ำลึกด้วยการเติมสารอย่างไฮยาลูโรนิก แอซิด หรือการฉีด Skin Booster จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในชั้นผิวแท้ ให้ผิวดูอิ่มฟู นุ่มแน่น และกลับมามีชีวิตชีวา

ผิวบาง แพ้ง่าย

สภาพผิวที่ไวต่อการระคายเคืองมักเกิดจากเกราะป้องกันผิวที่อ่อนแอ เช่น จากการใช้ยารักษาสิว ผลัดเซลล์ผิวหน้า หรือการลอกผิวซ้ำๆ การบำรุงแบบล้ำลึกสามารถช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แข็งแรงขึ้น ลดโอกาสการระคายเคือง และเพิ่มความสามารถในการกักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิวทนต่อสิ่งเร้าภายนอกได้ดีขึ้น

ผิวคล้ำสะสมหรือโทรมเรื้อรัง

สำหรับผิวที่ดูหมองไม่สดใสสะสมมานาน แม้จะพักผ่อน หรือใช้ไวท์เทนนิ่งผิวก็ยังคล้ำโทรม การดูแลแบบล้ำลึก เช่น การเติมวิตามินเข้าผิว หรือการใช้ทรีทเม้นท์ช่วยผลัดเซลล์และกระตุ้นการไหลเวียน จะช่วยปลุกผิวให้กลับมาสดใส และปรับสีผิวให้ดูสม่ำเสมอจากภายใน ไม่ใช่แค่เคลือบผิวด้านบน

ผิวแก่ก่อนวัยจากแสง UV

เมื่อได้รับรังสียูวีเป็นเวลานานแม้ไม่เห็นผลทันที แต่จะสะสมและเร่งให้ คอลลาเจน เสื่อมเร็ว ผิวจึงหย่อนคล้อย มีจุดด่างดำ และริ้วรอยเร็วกว่าปกติ การบำรุงลึกด้วยวิธีที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เช่น เลเซอร์อ่อนโยน คลื่นความถี่ หรือการฉีดสารกระตุ้นใต้ผิว จะช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวและชะลอความเสื่อมได้ชัดเจนกว่า

ผิวไม่ตอบสนองต่อครีม

บางคนแม้จะใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่เห็นผลเท่าที่ควรอาจเกิดจากสภาพผิวที่ไม่สามารถดูดซึมสารบำรุงได้ดี หรือความต้องการของผิวลึกเกินกว่าที่ครีมทั่วไปจะเข้าถึงได้ การใช้เทคนิคดูแลล้ำลึก เช่น การฉีดเมโส การทำทรีทเม้นท์หรือสกินบูสเตอร์ จะช่วยนำสารบำรุงไปยังจุดที่ผิวต้องการจริงๆ และกระตุ้นระบบการฟื้นฟูที่ทำงานได้อย่างลึกและเร็วกว่า

วิธีดูแลผิวล้ำลึกที่นิยมในปัจจุบัน

วิธีดูแลผิวล้ำลึกที่นิยมในปัจจุบัน

ฉีดสารบำรุงผิว

วิธีนี้ช่วยเติมวิตามินและสารบำรุงลึกถึงผิวชั้นกลาง เพิ่มความชุ่มชื้น ลดหมองคล้ำ และปรับผิวให้กระจ่างใสอย่างรวดเร็ว

  • เมโสหน้าใส เป็นการฉีดวิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระ หรือสารบำรุงต่างๆ เข้าไปในชั้นผิวโดยตรง เพื่อฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำ ขาดความชุ่มชื้น หรืออ่อนล้า ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ ลดจุดด่างดำ และเพิ่มความกระจ่างใส ผิวดูสดชื่นในเวลาอันสั้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าแบบเร่งด่วน
  • มาเด้คอลลาเจน เป็นการฉีดสารผสมจากวิตามินรวม แร่ธาตุ เอนไซม์ และคอลลาเจนธรรมชาติ ด้วยการฉีด 16 จุดทั่วใบหน้า เพื่อกระตุ้นระบบน้ำเหลือง ช่วยล้างสารพิษที่สะสมในผิว ลดสิว ผื่นแพ้ และอาการอักเสบ ฟื้นคืนสมดุลให้ผิวหน้าแข็งแรง สดใส และเรียบเนียน เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวอ่อนแอหรือระคายเคืองง่าย
  • IV Drip เป็นการให้น้ำเกลือผสมวิตามินผ่านทางหลอดเลือดดำ เพื่อส่งสารอาหารเข้าสู่ร่างกายโดยตรง ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวจากภายใน เติมสารต้านอนุมูลอิสระ เสริมระบบภูมิคุ้มกัน และทำให้ผิวดูกระจ่างใส สดชื่น และฟื้นตัวเร็ว
  • Rejuran เป็นสาร Polynucleotide (PN) ซึ่งสกัดมาจาก DNA ปลาแซลมอนโดยจะฉีดเข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้ สามารถช่วยซ่อมแซมผิว ฟื้นฟูผิวที่อ่อนแอ ลดริ้วรอย รูขุมขนกระชับ และเพิ่มความแข็งแรงให้เซลล์ผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบาง อ่อนแอ หรือผ่านการอักเสบสะสม

ฉีดกระตุ้นคอลลาเจน

เป็นสารที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ เหมาะกับผู้ที่มีผิวบาง หย่อนคล้อย หรือเริ่มมีริ้วรอย ให้ผลลัพธ์แน่นกระชับอย่างเป็นธรรมชาติและอยู่ได้นาน

  • Sculptra เป็นสารสกัดจาก PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวที่เริ่มหย่อนคล้อย หรือมีร่องลึก ให้ผิวแน่นขึ้น ดูอ่อนเยาว์ โดยผลลัพธ์ค่อย ๆ ชัดเจนและอยู่ได้นานถึง 2 ปี
  • Radiesse จะใช้สาร Calcium Hydroxylapatite (CaHA) กระตุ้นการสร้างเส้นใยผิว ฟื้นฟูความแน่นของผิวให้กระชับ และลดริ้วรอย ร่องลึก ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ และเหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ชัดขึ้น
  • Gouri เป็นสาร PCL ชนิดเหลวที่สามารถกระจายทั่วใบหน้า สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวอย่างต่อเนื่อง ฟื้นฟูผิวเสื่อมสภาพ ให้ผิวดูสดใส กระชับ อิ่มน้ำ เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวที่เป็นธรรมชาติ ไม่ปรับรูปหน้า
  • Juvelook เป็นสารที่รวมคุณสมบัติของไฮยาลูรอนิกแอซิดเข้ากับ PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ซึ่งให้ผลทั้งในเรื่องเพิ่มความชุ่มชื้นทันที และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนระยะยาว ช่วยให้ผิวดูแน่น กระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานแต่ยังดูเป็นธรรมชาติ

เครื่องมือยกกระชับผิว

เป็นเทคนิคยกกระชับด้วยคลื่นพลังงาน เช่น อัลตราซาวด์หรือคลื่นวิทยุ ช่วยยกผิวที่หย่อนคล้อย กระชับรูปหน้า โดยไม่ต้องพักฟื้น

  • Ulthera SPT จะใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวด์ยิงพลังงานเป็นจุดเล็กๆ ลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นผิวเดียวกับการผ่าตัดดึงหน้า ทำให้ผิวเกิดการหดตัวทันทีและยกกระชับขึ้น พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนต่อเนื่องในระยะยาว ใบหน้าจะดูตึงกระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง
  • Ultraformer MPT จะใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวด์ยกกระชับผิวในหลายชั้นผิวพร้อมกันทั้งชั้นตื้น และลึก จึงสามารถใช้ได้กับทั้งใบหน้าและลำคอ รวมถึงบางจุดบนร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้เรียว ยกแนวกรอบหน้า และต้องการผลลัพธ์ที่เห็นได้เร็ว โดยที่เจ็บน้อยและไม่มีแผล
  • Thermage FLX จะใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (RF) ปล่อยพลังงานลงสู่ผิวหนังแท้แบบทั่วถึง ส่งผลให้มีการสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมา ช่วยให้ผิวแน่นขึ้น กระชับขึ้นทั้งใบหน้า รอบดวงตา คอ หรือแม้แต่ส่วนลำตัว เช่น ต้นแขน หน้าท้อง เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย รูขุมขนกว้าง หรือผิวไม่เรียบ โดยไม่ต้องใช้เข็มและไม่มีรอยช้ำหลังทำ
  • Morpheus8 จะใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (RF) ร่วมกับเข็มขนาดเล็ก (Microneedling) ส่งพลังงานความร้อนลงลึกถึงชั้นหนังแท้และชั้นไขมัน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยกระชับผิว ลดริ้วรอย รักษาหลุมสิว และปรับพื้นผิวให้เรียบเนียน เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวไม่สม่ำเสมอหรือเริ่มมีความหย่อนคล้อย

เลเซอร์ฟื้นฟูผิว

เป็นวิธีที่เน้นแก้ปัญหาผิวหย่อน รูขุมขนกว้าง และหลุมสิว โดยส่งพลังงานลึกผ่านเข็มหรือหัวปล่อยพลังงาน ช่วยฟื้นฟูผิวอย่างตรงจุด

  • Pico Laser เป็นเลเซอร์ที่ปล่อยพลังงานด้วยความเร็วระดับพิโควินาที (หนึ่งในล้านล้านวินาที) จึงสามารถแตกเม็ดสีใต้ผิวได้ละเอียด ช่วยลดฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยสิว และรอยสักได้อย่างแม่นยำโดยไม่ทำร้ายผิวรอบข้าง นอกจากนี้ยังช่วยให้รูขุมขนเล็กลง ผิวเรียบเนียนขึ้น สีผิวสม่ำเสมอขึ้น
  • Fractional Laser  เลเซอร์นี้จะยิงพลังงานเป็นจุดเล็กๆ ลงลึกถึงชั้นผิว เพื่อกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและสร้างผิวใหม่ในตำแหน่งที่มีปัญหา หลังทำอาจมีรอยแดงหรือสะเก็ดบางช่วงสั้น ๆ แต่สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวได้ชัดเมื่อทำต่อเนื่อง 3–5 ครั้ง เหมาะสำหรับผู้มีหลุมสิว รอยแผลเป็น ผิวไม่เรียบ และริ้วรอย

การเลือกบริการดูแลผิวล้ำลึกให้เหมาะกับปัญหา

เพื่อให้ผิวกลับมาแข็งแรงอย่างยั่งยืนการเลือกวิธีที่เหมาะกับปัญหาผิวเฉพาะบุคคลจึงเป็นสิ่งสำคัญ การเข้าใจสภาพผิว และเลือกรูปแบบการดูแลที่สอดคล้องกับปัญหาจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยมีวิธีการเลือกดังนี้

  • ผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น เหมาะสมกับการเติมน้ำลึกถึงชั้นผิวแท้โดยการฉีดสารที่มีไฮยาลูรอนิกแอซิดเข้มข้นอย่าง JuveLook จะช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิวจากภายในทำให้ผิวดูอิ่มฟู นุ่มแน่น และยืดหยุ่นขึ้น และอาจเสริมด้วยการเติมวิตามินผ่าน IV Drip เพื่อบำรุงผิวจากภายในร่างกายควบคู่กัน
  • ผิวแพ้ง่าย เหมาะกับ Rejuran เพราะมีสาร Polynucleotide ที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวและฟื้นฟูโครงสร้างผิวในระดับลึก ผิวจะค่อยๆ แข็งแรงขึ้น มีความทนต่อสิ่งกระตุ้นภายนอกได้ดีขึ้น และลดโอกาสการอักเสบซ้ำ หรือฉีดมาเด้คอลลาเจนก็เป็นอีกทางเลือกที่ปลอดภัย ช่วยล้างสารพิษใต้ผิว และฟื้นฟูสมดุลผิวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
  • ผิวโทรมหมองคล้ำ พักผ่อนน้อย เหมาะกับการฉีดเมโสหน้าใสที่ช่วยเติมวิตามินที่จำเป็นต่อผิวเข้าสู่ผิวโดยตรง ส่งผลให้ผิวดูสดใสและฟื้นตัวภายในไม่กี่วัน แต่หากปัญหาเกิดจากโครงสร้างผิวที่เริ่มเสื่อมร่วมด้วย เช่น มีริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย การฉีด Sculptra หรือ Radiesse จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนทำให้ผิวแน่นขึ้นและดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ 
  • ผิวมัน สามารถฉีด JuveLook เพื่อให้ผิวกลับมาสมดุลขึ้น น้ำมันผิวลดลงอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ทำให้ผิวแห้ง สำหรับผู้ที่มีรูขุมขนกว้างร่วมด้วย หรือมีรอยหลุมสิว สามารถทำ Morpheus8 หรือ Pico Laser จะช่วยกระชับรูขุมขน ฟื้นฟูพื้นผิวให้เรียบเนียน และลดปัญหาความไม่สม่ำเสมอของผิวหน้าที่มองเห็นได้ชัดเจน

ต้องเตรียมตัวหรือดูแลตัวเองอย่างไรก่อน–หลังทำ?

ไม่ว่าจะเลือกวิธีดูแลผิวล้ำลึกแบบใด ทั้งการฉีดสารบำรุง การกระตุ้นคอลลาเจนด้วยคลื่นพลังงาน หรือการทำเลเซอร์ สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือการเตรียมความพร้อมของร่างกายและการดูแลผิวอย่างเหมาะสมก่อนและหลังทำหัตถการ เพราะจะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาชัดเจนมากขึ้น ลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง และช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้ดีในระยะยาว โดยมีวิธีดังนี้

วิธีเตรียมตัวก่อนทำ

  • แจ้งประวัติสุขภาพกับแพทย์ หากมีโรคประจำตัว หรือใช้ยาบางชนิดอยู่ ควรแจ้งแพทย์ให้ครบ รวมถึงสารที่แพ้เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนทำ เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้หลอดเลือดขยายตัว เสี่ยงต่อการช้ำง่าย และร่างกายอาจฟื้นฟูได้ช้ากว่าปกติ
  • ดื่มน้ำให้มากกว่าปกติ 1 – 2 วันก่อนทำ ผิวที่มีความชุ่มชื้นจะตอบสนองต่อการบำรุงลึกได้ดี ช่วยให้สารที่ฉีดหรือพลังงานที่ลงลึกกระจายตัวได้สม่ำเสมอและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายที่สดชื่น และไม่อ่อนเพลียจะช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วหลังทำ และลดความเสี่ยงของอาการข้างเคียง

วิธีดูแลผิวหลังทำ

  • หลีกเลี่ยงแสงแดดและความร้อนโดยตรงอย่างน้อย 3 – 5 วัน เพราะผิวอาจไวต่อแสงมากขึ้นชั่วคราว แสงแดดสามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ รอยดำ หรือระคายเคืองได้ง่ายกว่าปกติ
  • งดแต่งหน้าในช่วง 24 ชั่วโมงแรก เพราะผิวยังไม่พร้อมรับสารเคมีหรือเครื่องสำอาง การแต่งหน้าอาจทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการระคายเคือง
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว เช่น คลีนเซอร์แบบไม่มีฟอง ไม่มีน้ำหอม และมอยส์เจอไรเซอร์ที่ให้ความชุ่มชื้นโดยไม่เคลือบผิวมากเกินไป หลีกเลี่ยงกรดผลไม้ สารผลัดเซลล์ หรือ เรตินอล ในช่วงฟื้นฟูผิว
  • งดออกกำลังกายหนักในวันแรกหลังทำ การขับเหงื่อ และความร้อนจากร่างกายอาจรบกวนกระบวนการฟื้นฟูผิว และเพิ่มโอกาสการอักเสบหรือช้ำบริเวณที่ทำหัตถการ
  • หากมีอาการผิดปกติควรรีบติดต่อคลินิก เช่น อาการบวมแดงรุนแรง คันมาก มีผื่น หรือเจ็บในจุดที่ทำ ควรติดต่อผู้ให้บริการทันทีเพื่อประเมินอาการ

ข้อดีของการดูแลผิวล้ำลึก

การดูแลผิวล้ำลึกเป็นการบำรุงที่เข้าถึงโครงสร้างผิวจริง ไม่ใช่แค่ผิวชั้นบนเหมือนการใช้สกินแคร์ทั่วไป ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยั่งยืนมากกว่า โดยมีข้อดีดังนี้

  • ฟื้นฟูได้ลึก เห็นผลจริง เทคนิคล้ำลึก เช่น การฉีดสารบำรุงหรือการใช้คลื่นพลังงาน สามารถกระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูเซลล์ผิวชั้นใน ทำให้ผิวแน่น กระชับ และดูสุขภาพดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
  • เสริมการทำงานของสกินแคร์ เมื่อผิวแข็งแรงและสมดุลจากภายใน การดูดซึมสารบำรุงจากครีมหรือเซรั่มที่ใช้ประจำก็จะดีขึ้น ทำให้สกินแคร์เห็นผลได้เต็มประสิทธิภาพ
  • ลดความอ่อนแอของผิวในระยะยาว หลังจากผิวที่ได้รับการฟื้นฟูลึกจะมีเกราะป้องกันที่ดีขึ้น ลดการระคายเคืองง่าย ผิวแพ้ง่าย หรืออักเสบซ้ำซาก ช่วยให้ผิวกลับมาอยู่ในสภาพที่ทนต่อสิ่งเร้าภายนอกได้ดีขึ้น
  • ชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว เพราะวิธีดูแลผิวล้ำลึกสามารถช่วยชะลอการเสื่อมของคอลลาเจนและเซลล์ผิวที่เกิดตามวัย ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ กระจ่างใส และมีความยืดหยุ่นได้ยาวนานกว่า

การดูแลผิวล้ำลึกมีข้อจำกัดหรือความเสี่ยงอะไรไหม?

แม้การดูแลผิวล้ำลึกจะให้ผลลัพธ์ชัดเจนและตรงจุด แต่เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด ก็มีข้อจำกัดที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจทำดังนี้

  • ต้องทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เท่านั้น วิธีที่เกี่ยวข้องกับการฉีดสาร หรือการใช้เครื่องมือระดับลึก เช่น เครื่องยกกระชับ เลเซอร์เฉพาะทาง ต้องใช้ความรู้ด้านผิวหนัง และโครงสร้างใบหน้า ไม่ควรทำโดยผู้ไม่มีประสบการณ์
  • อาจเกิดการระคายเคืองในบางราย อาการบวม แดง หรือแพ้เฉพาะจุดสามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบอบบาง จึงควรประเมินสภาพผิวล่วงหน้าและแจ้งประวัติการแพ้ทุกครั้ง
  • ต้องเลือกวิธีให้ตรงกับสภาพผิว การเลือกวิธีในการดูแลผิวอย่างล้ำลึกผิดประเภท ไม่เหมาะกับผิว อาจทำให้ผิวอักเสบหรือฟื้นตัวยาก เช่น ผิวแห้งที่เพราะใช้เครื่องพลังงานสูงเกินไป 
  • ทำถี่เกินไปอาจทำให้ผิวไวหรืออ่อนแอลง การกระตุ้นผิวมากเกินไปโดยไม่เว้นระยะพัก อาจทำให้ผิวบางลงหรือไวต่อสิ่งกระตุ้นในระยะยาว ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์และให้ผิวมีเวลาฟื้นตัว

ดูแลผิวล้ำลึกควรทำบ่อยแค่ไหน?

ความถี่ในการทำขึ้นอยู่กับวิธีที่เลือกและสภาพผิวของแต่ละคน โดยทั่วไปการฉีดเมโส หรือวิตามินผิวสามารถทำได้เดือนละ 1 – 2 ครั้ง หรือสัปดาห์ละ 1 ครั้งในช่วงที่ต้องการฟื้นฟูเร่งด่วน ส่วนการฉีดกระตุ้นคอลลาเจน เช่น Sculptra หรือ Radiesse ทำห่างกันเดือนละ 1 ครั้ง เพียง 2 – 3 ครั้งก็เห็นผลและอยู่ได้นานหลายเดือน และหัตถการยกกระชับอย่าง Ulthera หรือ Thermage มักทำปีละครั้ง ส่วนเลเซอร์ เช่น Pico หรือ Fractional ควรเว้น 3–4 สัปดาห์ต่อครั้ง ทำประมาณ 3–5 ครั้งตามปัญหาที่มี

ดูแลผิวล้ำลึกเหมาะกับคนผิวมันหรือเป็นสิวไหม?

การดูแลผิวล้ำลึกสำหรับคนผิวมันหรือเป็นสิวก็สามารถทำได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ผิวมันจากภาวะขาดน้ำซึ่งพบได้บ่อยการเติมความชุ่มชื้นจากภายในด้วยสารอย่างไฮยาลูรอนิกแอซิด จะช่วยปรับสมดุล ลดการผลิตน้ำมันส่วนเกิน และทำให้ผิวมันน้อยลงโดยไม่ต้องใช้สารควบคุมความมันรุนแรง

และสำหรับคนที่มีปัญหาสิวหรือเคยใช้ยารักษาสิวต่อเนื่องจนผิวบางลง การดูแลลึก เช่น Rejuran หรือมาเด้คอลลาเจน จะช่วยฟื้นฟูเกราะผิว ลดการอักเสบ และซ่อมแซมผิวจากภายใน ทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นและตอบสนองต่อการบำรุงทั่วไปได้ดีขึ้น แต่หากยังมี สิวอักเสบ รุนแรง ควรรอให้ผิวสงบก่อน และปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุด

ดูแลผิวล้ำลึกทำที่บ้านได้ไหม? ต่างจากทำกับผู้เชี่ยวชาญอย่างไร?

การดูแลผิวที่บ้านจะเป็นการใช้สกินแคร์ช่วยบำรุงผิวชั้นนอก เช่น เติมความชุ่มชื้น หรือป้องกันการสูญเสียน้ำ แต่ไม่สามารถซึมลึกถึงชั้นหนังแท้ หรือกระตุ้นคอลลาเจนได้จริง จึงให้ผลเพียงผิวเผิน ในขณะที่การดูแลผิวล้ำลึก เช่น การฉีดวิตามิน การใช้เครื่องมือยกกระชับ ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางและอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน ไม่สามารถทำที่บ้านได้ หากทำเองอาจเสี่ยงต่อการระคายเคือง ผิวอักเสบ หรือผลลัพธ์ผิดพลาด การทำกับแพทย์ที่มีประสบการณ์จึงปลอดภัยกว่า เห็นผลชัดเจน และสามารถปรับเทคนิคให้เหมาะกับสภาพผิวเฉพาะบุคคลได้อย่างแม่นยำ

รีวิวจากผู้ใช้บริการจริง

review

review1

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลผิวล้ำลึก (FAQ)

Q: ดูแลผิวล้ำลึกต่างจากการดูแลผิวทั่วไปอย่างไร?
A: การดูแลผิวล้ำลึกคือการฟื้นฟูผิวจากภายในเข้าถึงชั้นผิวแท้ด้วยเทคนิค เช่น การฉีดสารบำรุงหรือใช้เครื่องมือแพทย์ ส่วนการดูแลผิวทั่วไปมักบำรุงแค่ผิวชั้นนอกด้วยสกินแคร์ที่ใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล

Q: ต้องดูแลผิวล้ำลึกบ่อยแค่ไหนถึงจะเห็นผล?
A: ความถี่ในการดูแลผิวล้ำลึกขึ้นอยู่กับวิธีที่ใช้ โดยทั่วไปควรทำทุก 2 – 4 สัปดาห์ต่อครั้ง และต่อเนื่อง 3 – 5 ครั้งเพื่อเห็นผลชัดเจน จากนั้นจึงเว้นระยะตามการประเมินของแพทย์

Q: สามารถดูแลผิวล้ำลึกด้วยตัวเองที่บ้านได้ไหม?
A: การดูแลผิวล้ำลึกที่ไม่สามารถทำเองที่บ้าน เพราะต้องใช้เทคนิคเฉพาะและอุปกรณ์ที่ปลอดภัย ควรทำโดยผู้ที่มีประสบการณ์เพื่อผลลัพธ์ที่แม่นยำ และลดความเสี่ยงเกิดผลข้างเคียง

Q: ผิวแพ้ง่ายจะทำทรีทเม้นท์ล้ำลึกได้ไหม?
A: ผิวแพ้ง่ายสามารถทำทรีทเม้นท์ล้ำลึกได้ แต่ควรเลือกวิธีที่อ่อนโยนและอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญเพื่อป้องกันการระคายเคือง

Q: มีอายุเท่าไหร่ถึงควรเริ่มดูแลผิวล้ำลึก?
A: สามารถเริ่มดูแลผิวล้ำลึกได้ตั้งแต่อายุประมาณ 25 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงที่คอลลาเจนเริ่มลดลงและผิวเริ่มเสื่อมสภาพตามวัย

Q: หลังทำทรีทเม้นท์ผิวล้ำลึก ควรหลีกเลี่ยงอะไรบ้าง?
A: หลังทำทรีทเม้นท์ผิวล้ำลึกควรหลีกเลี่ยงแสงแดด ความร้อน การแต่งหน้า และผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองผิวอย่างน้อย 24 – 72 ชั่วโมง

สรุป

การดูแลผิวล้ำลึกไม่ใช่แค่การบำรุงให้ผิวดูดีภายนอก แต่คือการฟื้นฟูสุขภาพผิวอย่างแท้จริงจากชั้นใน ด้วยวิธีที่เจาะลึกถึงโครงสร้างผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรง กระจ่างใส และชะลอวัยได้อย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวมัน ผิวแพ้ง่าย หรือเริ่มมีริ้วรอย ก็สามารถเลือกวิธีดูแลล้ำลึกให้ตรงจุดกับปัญหาเฉพาะตัวได้ หากคุณเริ่มรู้สึกว่าผิวไม่ตอบสนองต่อสกินแคร์ หรือเริ่มมีปัญหาสะสมที่ต้องการดูแลอย่างจริงจัง สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ Vincent Clinic Aesthetic ซึ่งจะให้คำแนะนำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์

Scroll to Top