บทความ
วิธีดูแลให้ผิวชุ่มชื้น และอิ่มฟูจากภายในสู่ภายนอกอย่างยั่งยืน
แชร์ :

วิธีดูแลให้ผิวชุ่มชื้น และอิ่มฟูจากภายในสู่ภายนอกอย่างยั่งยืน

วิธีดูแลให้ผิวชุ่มชื้นและอิ่มฟู
อยากอ่านอะไร จิ้มที่หัวข้อได้เลย!

Key Takeaways

  • ดื่มน้ำวันละ 1.5 – 2 ลิตร และรับประทานอาหารที่อุดมด้วยกรดไขมันดี วิตามิน และโอเมก้า 3 เพื่อเติมน้ำและบำรุงผิวจากภายใน
  • เลือกสกินแคร์ที่มีส่วนผสมเติมน้ำและกักเก็บความชุ่มชื้น เช่น ไฮยาลูรอนิกแอซิด กลีเซอรีน และเซราไมด์ พร้อมเลือกเนื้อสัมผัสที่เหมาะกับสภาพผิว
  • ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำและปกป้องคอลลาเจนจากแสงแดด
  • ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ลดแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ และจัดการความเครียด เพื่อให้ผิวฟื้นฟูได้เต็มที่
  • หัตถการ เช่น ฟิลเลอร์งานผิว Rejuran สกินบูสเตอร์ หรือ IV Drip เพื่อเติมความชุ่มชื้นอย่างล้ำลึกและยืดผลลัพธ์ให้นานขึ้น

วิธีดูแลผิวชุ่มชื้นเป็นวิธีจะช่วยปรับให้ผิวดูอิ่มฟู ใบหน้าดูสดใส สุขภาพดี และยังสะท้อนถึงความสมดุลของการดูแลทั้งภายในและภายนอก การรักษาความชุ่มชื้นจึงไม่ใช่แค่การทาครีมบำรุง แต่เกี่ยวข้องกับการเลือกวิธีดูแลผิวที่เหมาะสมกับสภาพผิว พฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมถึงการบำรุงจากภายในร่างกาย Vincent Clinic Aesthetic จะพาคุณไปเรียนรู้วิธีเติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างล้ำลึก เพื่อให้ผิวดูอิ่มฟู สุขภาพดี และคงความสดใสได้อย่างยั่งยืนค่ะ

ผิวชุ่มชื้นสำคัญอย่างไร?

ความชุ่มชื้นคือพื้นฐานสำคัญของสุขภาพผิวที่ดี หาก ผิวชุ่มชื้น ได้รับน้ำและสารบำรุงอย่างเพียงพอ ชั้นผิวจะมีความยืดหยุ่น เรียบเนียน และดูอิ่มฟู ทำให้ผิวสามารถปกป้องตัวเองจากมลภาวะและปัจจัยภายนอกได้ดียิ่งขึ้น ผิวที่ชุ่มชื้นยังช่วยลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัย เพราะการขาดความชุ่มชื้นทำให้ผิวแห้ง หยาบกร้าน และสูญเสียความยืดหยุ่นง่าย นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวดูสว่างสดใส แต่งหน้าติดทน และดูสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก

วิธีดูแลผิวให้ชุ่มชื้นที่เหมาะกับแต่ละสภาพผิว

การดูแลความชุ่มชื้นไม่ใช่วิธีเดียวกันสำหรับทุกคน เพราะผิวแต่ละประเภทมีความต้องการที่แตกต่างกัน หากเลือกวิธีที่ตรงกับสภาพผิว จะช่วยให้ผิวแข็งแรงและอิ่มฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

วิธีดูแลผิวชุ่มชื้นสำหรับผิวแห้ง

ผิวแห้งมักมีเกราะป้องกันผิวที่อ่อนแอ ทำให้สูญเสียน้ำได้ง่าย จึงต้องเน้นการกักเก็บความชุ่มชื้น

  • ผลิตภัณฑ์ที่ควรใช้ มอยส์เจอไรเซอร์เข้มข้นที่มีส่วนผสมของ เซราไมด์ ไฮยาลูรอนิกแอซิด กลีเซอรีน เชียบัตเตอร์ เพื่อเสริมเกราะป้องกันผิวและเติมน้ำอย่างล้ำลึก
  • การดูแลเพิ่มเติม ใช้ครีมกันแดดทุกวัน หลีกเลี่ยงการล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจัดเกินไป และพยายามดื่มน้ำให้เพียงพอ 1.5 – 2 ลิตรต่อวัน
  • ข้อควรระวัง หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์แรงๆ เพราะจะยิ่งทำให้ผิวแห้งมากขึ้น

วิธีดูแลผิวชุ่มชื้นสำหรับผิวมัน 

หลายคนคิดว่า ผิวมัน ไม่จำเป็นต้องบำรุง แต่จริง ๆ แล้วผิวมันก็มัก ขาดน้ำ ได้ง่าย และยิ่งขาดความชุ่มชื้น ผิวจะยิ่งผลิตน้ำมันส่วนเกินเพิ่ม

  • ผลิตภัณฑ์ที่ควรใช้ มอยส์เจอไรเซอร์สูตรน้ำหรือเจลที่ซึมง่าย ไม่อุดตันรูขุมขน เช่น ไฮยาลูรอนิกแอซิด, ว่านหางจระเข้, PHA, AHA อ่อนๆ
  • การดูแลเพิ่มเติม ใช้โฟมล้างหน้าที่อ่อนโยนและไม่ทำให้ผิวแห้งตึง พักผ่อนให้เพียงพอเพื่อลดการผลิตน้ำมันเกินจำเป็น
  • ข้อควรระวัง หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์เนื้อหนักหรือมันเกินไป เช่น ครีมข้น ๆ ที่อาจอุดตันและทำให้เกิดสิวได้

วิธีดูแลผิวชุ่มชื้นสำหรับผิวผสม

เป็นสภาพผิวที่มีทั้งความมันและความแห้งในคนเดียวกัน เช่น มันบริเวณ T-Zone แต่แห้งที่แก้ม

  • ผลิตภัณฑ์ที่ควรใช้ มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีความสมดุล ใช้เนื้อเจล หรือโลชั่นที่เบาสบาย และสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ต่างกันตามโซนผิวได้ เช่น บำรุงเนื้อเจลที่ T-Zone และเนื้อครีมที่แก้ม
  • การดูแลเพิ่มเติม ทำความสะอาดผิวอย่างเหมาะสม เลือกโฟมล้างหน้าแบบ pH Balance ที่ไม่ทำลายเกราะป้องกันผิว
  • ข้อควรระวัง อย่าล้างหน้าบ่อยเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้ผิวเสียสมดุล และทั้งแห้งและมันกว่าเดิม

วิธีดูแลผิวชุ่มชื้นสำหรับผิวแพ้ง่าย

ผิวแพ้ง่าย ต้องเน้นการดูแลที่อ่อนโยนเป็นพิเศษ เพราะระคายเคืองง่ายและสูญเสียความชุ่มชื้นได้เร็ว

  • ผลิตภัณฑ์ที่ควรใช้ สูตรอ่อนโยน ปราศจากแอลกอฮอล์ น้ำหอม และพาราเบน ควรมีส่วนผสมฟื้นฟู เช่น แพนทีนอล อะเวนา ซาทิวา เซราไมด์ ที่ช่วยเสริมเกราะผิว
  • การดูแลเพิ่มเติม ทาครีมกันแดดสูตรสำหรับผิวแพ้ง่ายทุกวัน หลีกเลี่ยงการขัดหรือสครับผิวแรง ๆ และควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกครั้ง
  • ข้อควรระวัง หลีกเลี่ยงมาสก์หน้าที่มีส่วนผสมแรง ๆ หรือการทำหัตถการที่รุนแรงเกินไปโดยไม่ปรึกษาแพทย์

ผิวธรรมดา

ผิวธรรมดามีความสมดุลของน้ำและน้ำมันพอดี แต่ก็ยังต้องการการบำรุงเพื่อคงสภาพที่ดีไว้

  • ผลิตภัณฑ์ที่ควรใช้ มอยส์เจอไรเซอร์ เนื้อเบา และเลือกสูตรที่ช่วยป้องกันมลภาวะหรือมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี วิตามินอี
  • การดูแลเพิ่มเติม รักษานิสัยการดูแลผิวที่ดี เช่น ล้างหน้า เช็ดเครื่องสำอาง และทาครีมกันแดดเป็นประจำ
  • ข้อควรระวัง แม้ผิวธรรมดาจะดูแข็งแรง แต่ก็สามารถกลายเป็นผิวแห้งหรือมันได้ หากละเลยการบำรุงหรือเจอมลภาวะต่อเนื่อง

วิธีเลือกสกินแคร์ให้ผิวชุ่มน้ำ

วิธีเลือกสกินแคร์ให้ผิวชุ่มน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

การเลือกสกินแคร์เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้ผิวไม่ใช่เพียงการทาครีมใดก็ได้ แต่ต้องคำนึงถึงส่วนผสม เนื้อสัมผัส และความเหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

มองหาส่วนผสมเพิ่มความชุ่มชื้น (Hydrating Ingredients)

การเลือกสกินแคร์ให้ผิวชุ่มน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญที่สุดคือการดูที่ ส่วนผสม เพราะเป็นตัวช่วยหลักในการเติมน้ำ กักเก็บความชุ่มชื้น และเสริมเกราะป้องกันผิว ส่วนผสมที่ควรมองหา ได้แก่

  • Hyaluronic Acid ช่วยดึงน้ำเข้าสู่ผิวและกักเก็บความชุ่มชื้น ให้ผิวดูอิ่มฟูทันที
  • Glycerin เป็นสารให้ความชุ่มชื้นที่อ่อนโยน ช่วยรักษาน้ำในผิวและป้องกันการแห้งตึง
  • Ceramides เสริมเกราะป้องกันผิว ลดการสูญเสียน้ำ และทำให้ผิวแข็งแรงยิ่งขึ้น
  • Shea Butter เติมความนุ่มชุ่มชื้น เหมาะกับผิวแห้งหรือผิวที่ต้องการการบำรุงเข้มข้น
  • Panthenol ลดการระคายเคือง พร้อมเพิ่มความชุ่มชื้นและฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว
  • Natural Oils ให้ความชุ่มชื้นพร้อมสารต้านอนุมูลอิสระ

เลือกเนื้อสัมผัสให้เหมาะกับผิว

นอกจากการมองหาส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแล้ว เนื้อสัมผัสของสกินแคร์ ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะจะช่วยให้ผิวได้รับการบำรุงอย่างเต็มที่และไม่ก่อให้เกิดปัญหาอื่นตามมา การเลือกเนื้อสัมผัสจึงควรพิจารณาตามสภาพผิว ดังนี้

  • ผิวมัน  เลือกเนื้อเจลหรือโลชั่นบางเบา ซึมไว ไม่เหนียวเหนอะหนะ และไม่มีส่วนผสมที่อุดตันง่าย
  • ผิวแห้ง เหมาะกับครีมเข้มข้นหรือบาล์มที่มีส่วนผสมของน้ำมันธรรมชาติหรือเชียบัตเตอร์ เพื่อช่วยกักเก็บน้ำและเคลือบผิวให้นุ่มชุ่มชื้นยาวนาน
  • ผิวผสม  เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อสัมผัสบาลานซ์ ไม่มันหรือแห้งเกินไป อาจใช้เจลที่บริเวณทีโซน และครีมที่บริเวณแก้ม
  • ผิวแพ้ง่าย  ควรเลือกสูตรอ่อนโยน เนื้อสัมผัสเบาสบาย ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือสารกันเสียที่อาจก่อการระคายเคือง

สูตรการจับคู่ Active Ingredient ที่ใช้ร่วมกับ Hydrating Skincare ได้

การใช้สกินแคร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น จะเห็นผลดียิ่งขึ้นเมื่อจับคู่กับ Active Ingredient ที่เหมาะสม เพราะบางตัวช่วยเสริมการกักเก็บน้ำ บางตัวช่วยฟื้นฟูผิว หรือทำงานเสริมฤทธิ์กันให้ผิวแข็งแรงยิ่งขึ้น

  • Hyaluronic Acid + Vitamin B5 ไฮยาลูรอนิกช่วยดึงน้ำเข้าสู่ผิว ส่วนวิตามินบี 5 ช่วยปลอบประโลม ลดการระคายเคือง และเสริมเกราะป้องกันผิว
    เหมาะกับผิวแห้ง ขาดน้ำ หรือเพิ่งผ่านการทำทรีตเมนต์
  • Ceramides + Niacinamide เซราไมด์ช่วยซ่อมแซมเกราะป้องกันผิว ขณะที่ไนอาซินาไมด์ช่วยลดการสูญเสียน้ำ (TEWL) และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ เป็นคู่ที่ดีสำหรับคนผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย หรือผิวที่อักเสบง่าย
  • Glycerin + AHA, BHA กรดผลไม้ (AHA) และ BHA ช่วยผลัดเซลล์ผิวให้ผิวรับความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น ขณะที่กลีเซอรีนช่วยรักษาสมดุลน้ำในผิว เหมาะกับผู้ที่มีผิวหมองคล้ำหรือผิวมันที่มี สิวอุดตัน แต่ควรใช้สูตรอ่อนโยนและตามด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ทันที
  • Hyaluronic Acid + Peptides ไฮยาลูรอนิกช่วยเติมน้ำ ส่วนเปปไทด์ช่วย กระตุ้นคอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้ผิวทั้งชุ่มชื้นและยืดหยุ่นมากขึ้น เหมาะสำหรับผิวที่เริ่มมีริ้วรอยหรือผิวที่ขาดความยืดหยุ่น
  • Antioxidants (Vitamin C, E) + Hydrating Serum วิตามินซีและอีช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ ขณะเดียวกันการเติมน้ำให้ผิวจะช่วยให้สารต้านอนุมูลอิสระทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เหมาะกับคนที่กังวลปัญหาผิวหมองคล้ำ จุดด่างดำ และริ้วรอยก่อนวัย

วิธีดูแลผิวให้ชุ่มน้ำจากภายใน

การมีผิวที่ชุ่มน้ำไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทาครีมบำรุงภายนอกเท่านั้น แต่ยังต้องเสริมความสมดุลจากภายในร่างกายด้วย เพื่อให้ผิวสามารถเก็บกักความชุ่มชื้นได้อย่างยั่งยืน

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ น้ำคือปัจจัยหลักของผิวที่อิ่มฟู ควรดื่มวันละ 1.5 – 2 ลิตร หรือจิบน้ำบ่อย ๆ ตลอดทั้งวัน เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำในร่างกาย
  • เลือกรับประทานอาหารที่อุดมด้วยกรดไขมันดี เช่น ปลาแซลมอน อะโวคาโด ถั่ว และเมล็ดแฟลกซ์ ซึ่งช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว ลดการสูญเสียน้ำ และทำให้ผิวดูสุขภาพดี
  • เน้นอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุสำคัญ วิตามินเอช่วยเรื่องการผลัดเซลล์ผิว วิตามินซีช่วยเสริมการสร้างคอลลาเจน วิตามินอีทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และสังกะสีช่วยควบคุมสมดุลน้ำมันบนผิว
  • พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับ 7 – 8 ชั่วโมงต่อวันทำให้ร่างกายมีเวลาฟื้นฟูผิว และช่วยรักษาความชุ่มชื้นได้ดีกว่าคนที่พักผ่อนน้อย
  • จัดการความเครียด ความเครียดเรื้อรังทำให้ผิวสูญเสียน้ำ และ หน้าโทรมหมองคล้ำ ได้ง่าย ควรผ่อนคลายด้วยการออกกำลังกาย โยคะ หรือทำสมาธิ
  • เลี่ยงปัจจัยที่ทำให้ผิวขาดน้ำ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และการอยู่ในห้องแอร์หรือแดดแรงเป็นเวลานาน

วิธีดูแลผิวให้ชุ่มชื้น ฉ่ำวาวจากภายนอก

การดูแลผิวให้ชุ่มชื้นและฉ่ำวาวจากภายนอก คือการเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง ควบคู่ไปกับการเติมน้ำและสารบำรุงที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้อยู่กับผิวได้นานที่สุด ซึ่งทำได้หลายวิธี เช่น

  • เลือกคลีนเซอร์ที่อ่อนโยน ไม่ทำลายสมดุลน้ำมันและความชุ่มชื้นตามธรรมชาติของผิว เลี่ยงโฟมล้างหน้าที่มีฟองจัดหรือผสมแอลกอฮอล์แรง ๆ
  • ใช้มอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ โดยเลือกสูตรที่เหมาะกับสภาพผิว เช่น เนื้อครีมเข้มข้นสำหรับผิวแห้ง หรือเจลบางเบาสำหรับผิวมัน เพื่อช่วยกักเก็บน้ำและลดการสูญเสียความชุ่มชื้น
  • เสริมด้วยเซรั่มหรือเอสเซนส์ที่มีสารให้ความชุ่มน้ำ เช่น ไฮยาลูรอนิค แอซิด กลีเซอรีน หรือแพนทีนอล ที่ช่วยดึงและเก็บน้ำไว้ในผิว
  • เพิ่มการปกป้องผิวด้วยครีมกันแดด เพราะแสงแดดทำให้ผิวสูญเสียน้ำและเสื่อมโทรมได้ง่าย การใช้กันแดดเป็นประจำจะช่วยรักษาความแข็งแรงและความชุ่มชื้นของผิว
  • มาสก์หน้าเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะ มาสก์หน้า แบบให้ความชุ่มชื้นเข้มข้น จะช่วยเติมน้ำให้ผิวทันที ทำให้ผิวดูสดใส อิ่มฟู และฉ่ำวาว

ขั้นตอนการดูแลผิวให้ชุ่มน้ำในแต่ละวัน

ถ้าอยากให้ผิวอิ่มน้ำ ชุ่มชื้นตลอดวัน การจัดลำดับการดูแลผิวตามช่วงเวลาเช้า กลางวัน เย็นจะช่วยได้มาก เพราะผิวต้องเจอกับสภาพแวดล้อมที่ต่างกันในแต่ละช่วง เราสามารถแบ่งขั้นตอนได้แบบนี้ค่ะ

ช่วงเช้า เตรียมผิวพร้อมเจอมลภาวะและแสงแดด

  • ล้างหน้าอย่างอ่อนโยน เพื่อล้างสิ่งสกปรกและความมันที่สะสมระหว่างคืน
  • ใช้โทนเนอร์หรือเอสเซนส์เติมน้ำ ช่วยปรับสมดุลและให้ผิวดูสดใส
  • ลงเซรั่มไฮยาลูรอนิค แอซิดหรือกลีเซอรีน เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้น
  • ทามอยส์เจอไรเซอร์เนื้อเบา ให้ความชุ่มชื้นโดยไม่หนักผิว
  • ปกป้องผิวด้วยครีมกันแดด SPF 30+ ช่วยลดการสูญเสียน้ำจากแสงแดดและป้องกันผิวหมองคล้ำ

ช่วงกลางวัน เติมน้ำให้ผิวระหว่างวัน

  • ฉีดสเปรย์น้ำแร่หรือมิสต์ให้ความชุ่มชื้น เมื่อรู้สึกผิวแห้งหรือตึง
  • ซับหน้าด้วยกระดาษซับมันก่อนเติมสกินแคร์หรือเมกอัพซ้ำ เพื่อลดความมันส่วนเกินโดยไม่ทำให้ผิวแห้ง
  • เติมครีมกันแดดหรือกันแดดแบบสเปรย์ เพื่อรักษาการปกป้องผิวตลอดวัน
  • ดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้ความชุ่มชื้นมาจากภายในด้วย

ช่วงเย็น/ก่อนนอน ฟื้นฟูและกักเก็บน้ำ

  • ล้างเมกอัพและสิ่งสกปรกให้หมดจด โดยใช้คลีนซิ่งที่อ่อนโยนตามด้วยโฟมล้างหน้า
  • ใช้โทนเนอร์ปรับสมดุล เพื่อเตรียมผิวรับการบำรุง
  • ลงเซรั่มบำรุงเข้มข้น ที่มีสารให้ความชุ่มชื้น เช่น ไฮยาลูรอนิค เซราไมด์ หรือแพนทีนอล
  • ทามอยส์เจอไรเซอร์เนื้อครีมหรือบาล์ม เพื่อกักเก็บน้ำไว้ในผิวตลอดคืน
  • ใช้สลีปปิ้งมาสก์ (สัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง) เพื่อเติมความชุ่มน้ำอย่างล้ำลึก ทำให้ผิวดูฟู ฉ่ำวาวในตอนเช้า

หัตถการที่ช่วยเติมน้ำให้ผิว

หัตถการที่ช่วยเติมน้ำให้ผิวชุ่มชื้นแบบล้ำลึก

การดูแลผิวด้วยสกินแคร์เป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้าอยากให้ผิว อิ่มฟู ชุ่มน้ำลึก และเห็นผลชัดเจนกว่าการบำรุงภายนอกเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันก็มีหลายหัตถการที่แพทย์ผิวหนังและคลินิกความงามนิยมใช้ โดยออกแบบมาเพื่อเติมน้ำและสารอาหารเข้าสู่ผิวโดยตรง ช่วยฟื้นฟูให้ผิวดูสุขภาพดีและฉ่ำวาวจากภายใน เช่น

ฟิลเลอร์งานผิว

ฟิลเลอร์งานผิว หรือ Skin Hydrating Filler คือฟิลเลอร์เนื้อบางเบาที่ฉีดเพื่อเติมความชุ่มชื้นให้ผิวโดยตรง ไม่ได้เปลี่ยนรูปหน้าเหมือนฟิลเลอร์ทั่วไป เช่น Belotero Revive, Restylane Vital Light, Juvederm Volite, Skinvive ที่มีโมเลกุลเล็กที่ช่วยดึงและกักเก็บน้ำใต้ผิว ทำให้ผิวดู อิ่มฟู ฉ่ำวาว ลดริ้วรอยเล็ก ๆ และแข็งแรงขึ้น ให้ผลลัพธ์เห็นทันทีหลังทำ ชัดเจนเต็มที่ใน 1 – 2 สัปดาห์ และอยู่ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน เหมาะกับคนผิวแห้ง ขาดน้ำ หรืออยากให้ผิวดูสุขภาพดีแบบเร่งด่วน โดยควรทำกับแพทย์เพื่อความปลอดภัย

Sculptra

Sculptra ไม่ได้เป็นฟิลเลอร์ที่เติมเต็มทันที แต่เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจน ที่ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายใน เมื่อคอลลาเจนใหม่ถูกสร้างขึ้น โครงสร้างผิวจะแน่นขึ้น กักเก็บน้ำได้ดีขึ้นตามธรรมชาติ ส่งผลให้ผิวดู ชุ่มชื้น อิ่มฟู และยืดหยุ่น อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่แค่ชั่วคราว แต่ค่อย ๆ ดีขึ้นต่อเนื่องหลังทำ ผิวดูฉ่ำวาว ชุ่มชื้นจากภายในแบบยาวนาน เห็นผลค่อย ๆ ชัดขึ้นใน 2 – 3 เดือน อยู่ได้นาน 1 – 2 ปี

Rejuran

Rejuran เป็นหัตถการกลุ่ม Skin Booster ที่ใช้สาร Polynucleotide (PN) สกัดมาจาก DNA ปลาแซลมอน ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นในการ ฟื้นฟูผิว กระตุ้นการซ่อมแซม และเสริมการทำงานของเซลล์ผิว แม้ Rejuran จะไม่ได้เป็นสารดึงน้ำเหมือนฟิลเลอร์ แต่เมื่อผิวได้รับการซ่อมแซมและสร้างโครงสร้างผิวใหม่ที่แข็งแรงขึ้น จะสามารถ กักเก็บน้ำได้ดีขึ้น ทำให้ผิวดู ชุ่มชื้น ฉ่ำใส และยืดหยุ่นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์ค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 4 – 6 สัปดาห์ อยู่ได้ประมาณ 6 – 12 เดือน

Gouri

Gouri เป็น Collagen Biostimulator แบบ Liquid Type (ฉีดกระจายทั่วผิว) ที่มีส่วนผสมหลักเป็น PCL ในรูปแบบโมเลกุลกระจายตัวได้สม่ำเสมอ จุดเด่นคือช่วย กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ทั้งใบหน้า ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรง เนียนแน่น และกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดียิ่งขึ้น ถึงแม้ Gouri จะไม่ใช่ฟิลเลอร์ที่เติมเต็มผิวทันที แต่เมื่อคอลลาเจนใหม่ถูกสร้างขึ้น ผิวจะค่อย ๆ ดู อิ่มน้ำ ชุ่มชื้น และยืดหยุ่น อย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์จะชัดขึ้นทีละน้อยหลังทำประมาณ 1 – 2 เดือน และอยู่ได้นาน 1 – 2 ปี

เมโสหน้าใส

เมโสหน้าใส คือการฉีดวิตามินและสารบำรุงเข้าสู่ผิวโดยตรง เพื่อช่วยให้ผิวกลับมาดู ใส อิ่มฟู และชุ่มชื้น เห็นผลค่อนข้างเร็ว เหมาะสำหรับคนที่ผิวหมองคล้ำ แห้ง ขาดน้ำ หรืออยากฟื้นฟูผิวให้ดูสดใสอย่างเร่งด่วน แต่ผลลัพธ์จะอยู่ได้ไม่นานนัก จึงควรทำต่อเนื่องเป็นคอร์สเพื่อคงความใสและความชุ่มชื้นของผิว

IV Drip

IV Drip หรือการดริปวิตามินทางเส้นเลือด เป็นวิธีบำรุงผิวและร่างกายจากภายใน โดยการให้น้ำเกลือผสมวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง ทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดีกว่าการทานอาหารเสริม ผลลัพธ์ที่ได้คือช่วย เติมความชุ่มชื้นและสมดุลน้ำในร่างกาย ผิวจึงดูอิ่มน้ำ สดใส และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น นอกจากนี้วิตามินที่ดริปเข้าไปยังช่วยฟื้นฟูผิวหมองคล้ำ ลดความเหนื่อยล้า และเสริมภูมิคุ้มกันไปพร้อมกัน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลผิวให้ชุ่มชื้น (FAQ)

Q: ผิวมันอยู่แล้ว ยังต้องเติมน้ำให้ผิวอีกหรือไม่?
A: ต้องเติมค่ะ แม้ผิวจะมันแต่ก็สามารถ ขาดน้ำ ได้ในชั้นผิวลึก เมื่อผิวขาดน้ำ ร่างกายจะตอบสนองด้วยการ ผลิตน้ำมันเพิ่ม จนผิวยิ่งมันกว่าเดิม การเติมน้ำให้ผิวอย่างเหมาะสมจึงช่วยให้ผิวสมดุลและลดความมันได้จริง

Q: ดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเพียงพอไหม ถ้าอยากให้ผิวชุ่มน้ำ?
A: การดื่มน้ำเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะน้ำที่เราดื่มเข้าไปส่วนใหญ่จะถูกใช้ในกระบวนการภายในร่างกายก่อนจะถึงผิว การดูแลผิวให้ชุ่มน้ำจึงต้องควบคู่กับการใช้สกินแคร์ที่ช่วยดึงน้ำเข้าสู่ผิวและล็อกความชุ่มชื้นไว้ด้วย

Q: ผิวลอกเป็นขุยแต่ก็ยังมันเยิ้ม เกิดจากอะไร?
A: อาการนี้มักเกิดจาก ผิวขาดน้ำแต่ผิวมัน คือผิวขาดความชุ่มชื้นในระดับลึก แต่ยังผลิตน้ำมันออกมาบนผิวชั้นนอกเพื่อชดเชย ทำให้เกิดลอกเป็นขุยและมันในเวลาเดียวกัน วิธีแก้คือต้องเติมน้ำให้ผิว ไม่ใช่แค่ควบคุมความมัน

Q: แต่งหน้าไม่ติด เป็นเพราะผิวขาดน้ำจริงไหม?
A: ใช่ ผิวที่ขาดน้ำมักจะมีพื้นผิวไม่เรียบเนียน รองพื้นจะเกาะไม่ติดเป็นแผ่น ลอก หรือหลุดง่าย การเติมน้ำให้ผิวอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ผิวดูแน่น ฟู และเครื่องสำอางติดทนนานขึ้นอย่างชัดเจน

Q: ผิวขาดน้ำต่างจากผิวแห้งอย่างไร?
A: ผิวแห้งคือ ผิวที่มีน้ำมันน้อยโดยธรรมชาติ ขณะที่ผิวขาดน้ำคือ ผิวที่สูญเสียน้ำจากชั้นผิว ได้ทุกสภาพผิว แม้แต่ผิวมัน ผิวขาดน้ำสามารถเกิดชั่วคราวจากสภาพแวดล้อมหรือการใช้สกินแคร์ผิดประเภท

Q: ใช้แค่สกินแคร์ตัวเดียว เช่น เซรั่มเติมน้ำ เพียงพอไหม?
A: ไม่พอค่ะ การดูแลผิวให้ชุ่มน้ำต้องอาศัยหลายชั้นของการบำรุง และห้ามขาดมอยส์เจอร์ไรเซอร์ทุกครั้งเพื่อกักเก็บน้ำในผิวเอาไว้อย่างยาวนาน

Q: อายุเยอะขึ้น ทำให้ผิวขาดน้ำง่ายขึ้นจริงไหม?
A: จริง เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ร่างกายผลิตกรดไฮยาลูโรนิก และไขมันธรรมชาติในผิวลดลง ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย จึงควรเสริมด้วยสกินแคร์ที่เติมน้ำ และอาจพิจารณาเทคโนโลยีช่วยเติมน้ำ เช่น Skin Booster หรือ IV Drip เพื่อฟื้นฟูได้ลึกขึ้น

Q: ผิวแพ้ง่ายจะเติมน้ำให้ผิวได้อย่างไรโดยไม่แพ้?
A: ให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีน้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือสารกระตุ้นการอักเสบ และเลือกใช้เนื้อสัมผัสบางเบา ไม่อุดตัน ส่วนผสมเช่น Panthenol, Aloe Vera และ Ceramide เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผิวแพ้ง่าย

Q: เติมน้ำให้ผิวอย่างต่อเนื่อง ต้องใช้เวลานานไหมกว่าจะเห็นผล?
A: ส่วนใหญ่สามารถเห็นผิวฟูขึ้นภายใน 7–14 วัน หากดูแลสม่ำเสมอ แต่ผลลัพธ์ระยะยาว เช่น ลดริ้วรอยเล็กหรือทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น จะใช้เวลาประมาณ 1–2 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในและการดูแลอื่นร่วมด้วย

Q: ต้องเลือกมอยส์เจอไรเซอร์แบบไหน ถึงจะล็อกความชุ่มชื้นได้ดีที่สุด?
A: ควรเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีทั้ง Humectant และ Occlusive ในตัวเดียว หรือใช้แบบ Layering เช่น เซรั่มเติมน้ำ ครีมล็อกน้ำ เพื่อให้ผิวได้รับความชุ่มชื้นลึกและกักเก็บได้นาน

สรุป

วิธีทำให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มฟูไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทาครีมเพียงอย่างเดียว แต่เริ่มจากการดูแลร่างกายภายใน ทั้งโภชนาการที่เหมาะสม การพักผ่อนเพียงพอ และการจัดการความเครียด การเลือกสกินแคร์ที่มีส่วนผสมเติมน้ำอย่างไฮยาลูรอนิก เซราไมด์ หรือกลีเซอรีน รวมถึงการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ล้วนมีส่วนสำคัญในการรักษาสมดุลความชุ่มชื้น ขณะเดียวกัน หากต้องการการบำรุงล้ำลึกก็สามารถเลือกหัตถการเสริมที่ช่วยเติมน้ำ ฟื้นฟูโครงสร้างผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน หากคุณอยากมีผิวหน้าชุ่มชื้น  สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้ที่ Vincent Clinic Aesthetic เพื่อดูแลผิวของคุณอย่างปลอดภัยและเห็นผลจริง

Scroll to Top