บทความ
ไนอะซินาไมด์ คืออะไร ควรใช้กี่เปอร์เซ็นต์ ช่วยเรื่องผิวด้านไหนบ้าง
แชร์ :

ไนอะซินาไมด์ คืออะไร ควรใช้กี่เปอร์เซ็นต์ ช่วยเรื่องผิวด้านไหนบ้าง

ไนอะซินาไมด์ ควรใช้กี่เปอเซน
อยากอ่านอะไร จิ้มที่หัวข้อได้เลย!

ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) เป็นสารบำรุงผิวที่คุณสมบัติหลายอย่างจึงได้รับความนิยม และนำมาใส่เป็นส่วนผสมหลักของสกินแคร์หลายๆ ตัว แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า Niacinamide ช่วยอะไร มีประโยชน์อะไรต่อผิวบ้าง ในบทความนี้ Vincent Clinic Aesthetic จะพามารู้จักกับไนอะซินาไมด์แบบเจาะลึก รวมถึงบอกวิธีการใช้งานอย่างถูกต้องเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ตามที่ต้องการค่ะ

Key Takeaway

  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) คือรูปแบบหนึ่งของวิตามิน B3 ที่ช่วยฟื้นฟูและปรับสมดุลผิวอย่างอ่อนโยน
  • ไนอะซินาไมด์ช่วยควบคุมความมัน ลดสิว กระชับรูขุมขน และ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
  • ไนอะซินาไมด์มีคุณสมบัติในการเสริมเกราะผิว กระตุ้นการสร้างเซราไมด์ และลดการอักเสบ
  • ไนอะซินาไมด์เหมาะกับทุกสภาพผิวรวมถึงผิวมัน ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย หรือเป็นสิวง่าย
  • สำหรับผู้เริ่มต้นหรือผิวบอบบางควรเริ่มใช้ไนอะซินาไมด์ที่ความเข้มข้น 2–5%
  • ไนอะซินาไมด์ความเข้มข้น 5–10% เหมาะสำหรับลดรอยสิว จุดด่างดำ และควบคุมความมันให้เห็นผลชัดขึ้น
  • ไนอะซินาไมด์ความเข้มข้นมากกว่า 10% ให้ผลลัพธ์เข้มข้น แต่เสี่ยงระคายเคือง ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง
  • สามารถใช้ไนอะซินาไมด์ร่วมกับเรตินอล หรือกรดผลัดผิวได้ แต่ควรเว้นระยะห่างเพื่อป้องกันการระคายเคือง
  • สามารถไนอะซินาไมด์ใช้ได้ทั้งเช้า–เย็น แต่ควรทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้ต่อเนื่อง
  • ไนอะซินาไมด์นิยมผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น เซรั่ม มอยส์เจอไรเซอร์ โทนเนอร์ และคลีนซิ่ง
  • ให้ผลดีเมื่อใช้ไนอะซินาไมด์ต่อเนื่อง 4–8 สัปดาห์ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ควบคู่กับวิตามิน C

ไนอะซินาไมด์ คืออะไร?

ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide) คือรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 3 ซึ่งอยู่ในกลุ่มวิตามินบีคอมเพล็กซ์ที่สามารถละลายในน้ำได้ มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟู และบำรุงผิวอย่างครอบคลุม โดยช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวด้วยการกระตุ้นการสร้างเซราไมด์ ลดการสูญเสียความชุ่มชื้น พร้อมทั้งช่วยลดการอักเสบ ระคายเคือง อีกทั้งยังควบคุมความมัน กระชับรูขุมขน ลดเลือนรอยแดง รอยดำ และปรับสีผิวให้ดูสม่ำเสมอและกระจ่างใสยิ่งขึ้น ด้วยคุณสมบัติที่อ่อนโยนและครอบคลุมไนอาซินาไมด์จึงถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมหลักในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลายชนิดค่ะ

ไนอะซินาไมด์ช่วยเรื่องอะไรบ้าง?

ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide) เป็นสารบำรุงผิวที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการสกินแคร์ ด้วยคุณสมบัติที่หลากหลาย ครอบคลุมตั้งแต่การ ลดสิว ไปจนถึงการฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

ช่วยลดความมันบนใบหน้า 

ไนอาซินาไมด์มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการทำงานของต่อมไขมัน ช่วยลดการผลิตน้ำมันส่วนเกินบนผิวหน้า ทำให้ผิวดูแมตต์ขึ้น ลดปัญหาผิวมันเยิ้ม และลดความเสี่ยงของการเกิดสิวจากการอุดตันรูขุมขน

ช่วยลดรอยแดง จุดด่างดำ

สารนี้สามารถช่วยลดการอักเสบของผิว จึงช่วยให้รอยแดงจากสิวหายเร็วขึ้น อีกทั้งยังมีส่วนช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีที่ผิดปกติ ทำให้ จุดด่างดำ รอยสิว และฝ้าดูจางลง สีผิวจึงดูสม่ำเสมอมากขึ้น

ช่วยกระชับรูขุมขน

เมื่อการผลิตน้ำมันบนผิวลดลงและรูขุมขนไม่ถูกอุดตัน ผิวจึงดูเรียบเนียนและรูขุมขนดูกระชับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถือเป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติที่ทำให้ไนอาซินาไมด์เหมาะสำหรับผู้ที่มี รูขุมขนกว้าง

ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier)

ไนอาซินาไมด์ช่วยกระตุ้นการสร้างเซราไมด์ในผิว ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ ช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำและลดผลกระทบจากมลภาวะ แสงแดด หรือสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง

ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

ด้วยการกระตุ้นการผลิตเซราไมด์ ผิวจึงสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น ลดปัญหาผิวแห้ง ลอกเป็นขุย หรือรู้สึกตึงหลังล้างหน้า ทำให้ ผิวชุ่มชื้น อิ่มน้ำ นุ่มเนียน และมีสุขภาพดีขึ้นในระยะยาว

ใครเหมาะกับ ไนอะซินาไมด์

ใครเหมาะกับการใช้ไนอะซินาไมด์?

ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) เหมาะกับหลายสภาพผิว เพราะมีความอย่างอ่อนโยน โดยคนที่เหมาะมีดังนี้

  • ผู้ที่ผิวมัน เป็นสิวง่าย ไนอะซินาไมด์ช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันส่วนเกินบนผิวหน้า จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความมันสะสม ซึ่งมักเป็นต้นตอของสิว
  • ผู้ที่ผิวแพ้ง่าย บอบบาง ระคายเคืองง่าย ด้วยคุณสมบัติในการลดการอักเสบและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับผิว ไนอาซินาไมด์จึงปลอดภัยสำหรับผิวที่ระคายเคืองง่าย โดยไม่ก่อให้เกิดการแสบ แดง หรือแห้งลอก
  • ผู้ที่ที่มีรูขุมขนกว้าง ไนอะซินาไมด์ช่วยปรับสมดุลผิวด้วยการลดการผลิตซีบัม และกระตุ้นการสร้างเซราไมด์ในชั้นผิว จึงสามารถเติมความชุ่มชื้นได้ ซึ่งเมื่อผิวอิ่มน้ำรูขุมขนจึงดูกระชับขึ้น 
  • ผู้ที่ใช้กรดผลัดผิวอยู่ และต้องการเสริมเกราะผิว ถ้ากรดผลัดเซลล์ผิวอย่าง AHA หรือ BHA การใช้ไนอะซินาไมด์ควบคู่กันเป็นการช่วยลดการระคายเคือง เพิ่มความชุ่มชื้น และเสริมการทำงานของเกราะป้องกันผิวให้สมดุล
  • ผู้ที่มีปัญหารอยสิว จุดด่างดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ ไนอะซินาไมด์มีคุณสมบัติในการยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีที่ผิดปกติในผิว จึงสามารถช่วยลดรอยดำ รอยแดง และปรับสีผิวให้เรียบเนียน ดูสม่ำเสมอ

ใครไม่เหมาะกับการใช้ไนอะซินาไมด์?

แม้ว่าไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) จะเป็นสารบำรุงผิวที่อ่อนโยนและเหมาะกับคนส่วนใหญ่ แต่ก็ยังมีบางกรณีที่ควรหลีกเลี่ยง หรือใช้อย่างระมัดระวัง เช่น

  • ผู้ที่มีอาการแพ้หรือระคายเคืองจากวิตามิน B3 หากเคยมีประวัติแพ้สารในกลุ่มวิตามินบี 3 หรือมีอาการผื่นแดง แสบ คันหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีไนอะซินาไมด์ ควรหลีกเลี่ยงการใช้งานต่อ และปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้
  • ผู้ที่ใช้ความเข้มข้นสูงเกินไปในช่วงแรก ไนอะซินาไมด์ในความเข้มข้นที่สูงเกิน เช่น 10% ขึ้นไป อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง โดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่เคยใช้มาก่อน หรือมีผิวที่ไวต่อสารบำรุง ควรเริ่มต้นด้วยความเข้มข้นต่ำประมาณ 2-5% และสังเกตการตอบสนองของผิวก่อนปรับใช้ความเข้มข้นสูงขึ้น
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวอักเสบเรื้อรัง สำหรับผู้ที่มีโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง เช่น โรซาเซีย หรือผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ควรหลีกเลี่ยงการใช้ไนอะซินาไมด์ด้วยตนเอง เพราะแม้จะเป็นสารที่มีความอ่อนโยน แต่การใช้ในช่วงที่ผิวมีการอักเสบอาจกระตุ้นให้เกิดอาการรุนแรงมากขึ้นได้

ความเข้มข้นของไนอะซินาไมด์แบบไหนที่เหมาะกับผิวคุณ?

การเลือกใช้ไนอะซินาไมด์ให้เหมาะกับสภาพผิว ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ผลลัพธ์ที่ต้องการ แต่ยังต้องคำนึงถึงความแข็งแรงของสภาพผิวด้วย โดยความเข้มข้นจะให้ผลลัพธ์ต่างกัน ดังนี้

ไนอะซินาไมด์ 2–5% 

ไนอะซินาไมด์ความเข้มข้น 2 – 5% เหมาะกับผู้ที่เพิ่งเริ่มใช้ไนอะซินาไมด์ หรือผู้ที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย ความเข้มข้นในระดับนี้สามารถช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว เพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบ และลดรอยแดงเล็กน้อย อาจยังไม่เห็นผลชัดเจนในการลดจุดด่างดำหรือรอยสิว แต่ก็ถือเป็นระดับที่ปลอดภัยสำหรับการเริ่มต้น 

ไนอะซินาไมด์ 5–10% 

ไนอะซินาไมด์ความเข้มข้น 5 – 10% เหมาะกับผู้ที่เคยใช้ไนอะซินาไมด์มาแล้ว และต้องการเห็นผลชัดขึ้นในเรื่องของรอยดำ รอยแดง หรือความหมองคล้ำ ความเข้มข้นระดับนี้สามารถช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ กระชับรูขุมขน และควบคุมความมันได้ดีขึ้น และยังปลอดภัยรวมถึงเหมาะกับผิวส่วนใหญ่ แต่แนะนำให้เริ่มใช้แบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ผิวปรับตัวได้โดยไม่เกิดการระคายเคือง

ไนอะซินาไมด์สูงกว่า 10%

ไนอะซินาไมด์ความเข้มข้น 10% ขึ้นไป เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบเข้มข้น เช่น การลดรอยดำฝังลึก หรือสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอมาก และเคยใช้ไนอะซินาไมด์ในระดับที่ต่ำกว่านี้มาแล้วโดยไม่มีปัญหา แต่เพิ่มโอกาสในเกิดอาการระคายเคือง โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวไว ควรใช้ในปริมาณน้อย สลับวัน และไม่ลืมทดสอบการแพ้ก่อนใช้เป็นประจำ หากไม่แน่ใจควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้

วิธีใช้ Niacinamide ให้ได้ผลดีที่สุด

เพื่อให้ Niacinamide ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ควรใช้อย่างถูกวิธีดังนี้

เลือกความเข้มข้นให้เหมาะกับสภาพผิว

สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มใช้หรือมี ผิวแพ้ง่าย ควรเริ่มจากผลิตภัณฑ์ที่มีไนอะซินาไมด์ความเข้มข้นประมาณ 2–5% ซึ่งเพียงพอสำหรับการเสริมเกราะผิวและลดการระคายเคือง เมื่อผิวเริ่มปรับตัวได้ดีแล้วจึงค่อยเพิ่มความเข้มข้นเป็น 5–10% เพื่อช่วยลดรอยสิว จุดด่างดำ และควบคุมความมัน ส่วนผู้ที่ต้องการใช้ความเข้มข้นเกิน 10% ควรใช้แบบเว้นช่วงและอยู่ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ

ใช้ให้ถูกต้องตามลำดับในสกินแคร์รูทีน

ไนอะซินาไมด์สามารถผสมอยู่ได้ในทุกสกินแคร์ทั้งโทนเนอร์ เซรั่ม หรือมอยส์เจอไรเซอร์ ควรใช้หลังจากล้างหน้าหน้ายังมีความชุ่มชื้น แห้งหมาดๆอยู่ หากอยู่ในรูปแบบเซรั่มให้ลงก่อนมอยส์เจอไรเซอร์ และหากเป็นเนื้อครีมบางเบา หรือผสมในมอยส์เจอไรเซอร์ให้ลงใช้ในขั้นตอนสุดท้าย 

เลือกใช้ร่วมกับสารต่างๆ ให้ถูกต้อง

Niacinamide สามารถใช้ร่วมกับสารบำรุงอื่นได้ แต่ควรระวังการใช้พร้อมกับวิตามินซีประเภท Ascorbic Acid หรือกรดผลัดผิว AHA, BHA ที่มีความเข้มข้นสูงมากเกินไป เพราะอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลงหรือเกิดการระคายเคืองได้ ถ้าต้องการใช้ร่วมกันควรเว้นระยะห่าง 15–20 นาทีก่อนลงผลิตภัณฑ์ถัดไป และหากใช้ เรตินอล ควรทาไนอะซินาไมด์ก่อนเพื่อช่วยลดการระคายเคืองของผิว

นอกจากนี้เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีสามารถใช้ Niacinamide ได้ทั้งตอนเช้า และตอนกลางคืน ถ้าใช้ในช่วงเช้าช่วยควบคุมความมัน ลดการอักเสบ และเสริมเกราะผิวจากมลภาวะ และทาครีมกันแดดตามทุกครั้ง ส่วนการใช้ตอนกลางคืนจะช่วยฟื้นฟูผิวขณะนอนหลับ ลดรอยดำ จุดด่าง และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวในระยะยาว และสำหรับคนที่ไม่เคยใช้มาก่อนควรทดสอบอาการแพ้บริเวณหลังใบหูหรือท้องแขน หากไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ จึงสามารถใช้ต่อเนื่องได้ ใช้เป็นประจำวันละ 1–2 ครั้งจะช่วยให้เห็นผลชัดเจนมากขึ้น และหากมีอาการแสบ คัน หรือแดงผิดปกติ ควรหยุดใช้ทันทีและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

ผลิตภัณฑ์ที่มักผสม ไนอะซินาไมด์

ผลิตภัณฑ์ที่มักผสมไนอะซินาไมด์

เนื่องจากไนอะซินาไมด์เป็นสารบำรุงผิวที่มีคุณสมบัติครอบคลุม ทั้งการปลอบประโลม ลดการอักเสบ ฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว และช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส จึงถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลายรูปแบบ เช่น

ไนอะซินาไมด์แบบโทนเนอร์ หรือเอสเซนส์

โทนเนอร์และเอสเซนส์ที่มีไนอะซินาไมด์จะช่วยฟื้นฟูผิวหลังการล้างหน้า โดยทำหน้าที่เป็นขั้นตอนเตรียมผิวให้พร้อมรับการบำรุงต่อจากเซรั่มและมอยส์เจอไรเซอร์ นอกจากจะช่วยเติมน้ำให้ผิวแล้ว ยังมีส่วนช่วยลดความตึง เครียดของผิวจากมลภาวะ พร้อมเสริมสมดุลให้ผิวชั้นนอกแข็งแรงขึ้น

ไนอะซินาไมด์แบบเซรั่มบำรุงผิว

ผลิตภัณฑ์กลุ่มเซรั่มถือเป็นรูปแบบที่นิยมมากที่สุดในการผสมไนอะซินาไมด์ เนื่องจากเนื้อบางเบาและสามารถซึมลงสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ช่วยลดเลือนรอยดำ รอยแดงจากสิว และช่วยให้ผิวเรียบเนียนยิ่งขึ้น บางสูตรยังเสริมด้วยสารต้านการอักเสบหรือกรดไฮยาลูโรนิกเพื่อผลลัพธ์ที่ครบถ้วนทั้งการปลอบประโลมและฟื้นฟูผิว

ไนอะซินาไมด์แบบมอยส์เจอไรเซอร์

ไนอะซินาไมด์มักถูกผสมใน มอยส์เจอไรเซอร์ ที่เน้นการเสริมเกราะป้องกันผิว เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย หรือมีแนวโน้มระคายเคืองได้ง่าย จะช่วยเติมความชุ่มชื้น ลดการสูญเสียน้ำ และกระตุ้นการสร้างเซราไมด์ในผิว จึงทำให้ผิวแข็งแรงขึ้นในระยะยาว และลดโอกาสเกิดการอักเสบจากสิ่งกระตุ้นภายนอก

นอกจากนี้ยังพบไนอะซินาไมด์ได้ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เช่น คลีนซิ่ง และ ครีมอาบน้ำ สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งหรือไวต่อการระคายเคือง โดยเน้นการดูแลผิวตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการล้างหน้าและอาบน้ำ ทำให้ผิวยังคงชุ่มชื้น ไม่แห้งตึง พร้อมป้องกันการสูญเสียน้ำในผิว

ข้อดีและข้อจำกัดของไนอะซินาไมด์

Niacinamide เป็นหนึ่งในสารบำรุงผิวที่ได้รับความนิยมสูง ด้วยคุณสมบัติที่หลากหลาย แต่ก็มีทั้งข้อดี ข้อจำกัด และข้อควรระวัง ดังนี้

ข้อดีของไนอะซินาไมด์

  • อ่อนโยนต่อผิว ไม่ก่อให้เกิดการ ผลัดเซลล์ผิว จึงไม่ทำให้ผิวบางหรือไวต่อแสง
  • เหมาะกับทุกสภาพผิว ใช้ได้กับผิวมัน ผิวแห้ง ผิวผสม หรือแม้แต่ผิวแพ้ง่ายและเป็นสิวง่าย
  • ลดรอยแดง รอยดำ และรอยสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและช่วยปรับสีผิวให้ดูสม่ำเสมอ
  • ช่วยควบคุมความมันและกระชับรูขุมขน โดยเข้าไปปรับสมดุลการทำงานของต่อมไขมัน ช่วยลดความมันส่วนเกิน
  • เสริมเกราะป้องกันผิว กระตุ้นการสร้างเซราไมด์ ทำให้ผิวแข็งแรงและกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น
  • ใช้ง่ายในชีวิตประจำวันสามารถใช้ได้ทั้งเช้าและก่อนนอน และใช้ร่วมกับสารบำรุงอื่นได้หลายประเภท

ข้อจำกัดของไนอะซินาไมด์

  • ต้องใช้ต่อเนื่องจึงจะเห็นผล โดยทั่วไปอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะสังเกตความเปลี่ยนแปลง
  • ความเข้มข้นสูงเกินไปอาจทำให้เกิดการระคายเคือง โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวไว
  • เมื่อใช้ร่วมกับสารบางประเภท เช่น กรดผลัดผิวหรือวิตามินซีในรูปแบบที่เป็นกรดจัด อาจเกิดการลดประสิทธิภาพหรือไม่เข้ากัน

Niacinamide ต่างจากวิตามิน C อย่างไร?

ไนอะซินาไมด์และวิตามิน C เป็นสารบำรุงผิวที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใส แต่มีจุดเด่นต่างกัน โดยวิตามิน C ให้ผลไวในเรื่องลดจุดด่างดำและปรับสีผิว เพราะทำงานโดยตรงกับการยับยั้งเม็ดสี ในขณะที่ไนอะซินาไมด์ให้ผลลัพธ์ช้ากว่าแต่มีความอ่อนโยนสูง ใช้ได้กับทุกสภาพผิว รวมถึงผิวแพ้ง่าย และยังช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว ลดการอักเสบ และควบคุมความมันได้ด้วย 

และวิตามิน C มีความเป็นกรดจึงอาจทำให้แสบผิวหรือแพ้ง่าย ส่วนไนอะซินาไมด์มีโอกาสระคายเคืองต่ำกว่า เหมาะกับการใช้อย่างต่อเนื่อง และในแง่ของการเก็บรักษาวิตามิน C มักเสื่อมสภาพเมื่อสัมผัสแสงหรืออากาศ ขณะที่ไนอะซินาไมด์มีความเสถียร ใช้งานง่ายและเก็บรักษาได้นานกว่าค่ะ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไนอะซินาไมด์ (FAQ)

Q: ไนอะซินาไมด์ใช้แล้วผิวลอก เป็นเพราะอะไร?
A: ผิวลอกจากการใช้ไนอะซินาไมด์มักเกิดจากความเข้มข้นสูงเกินไป ใช้ร่วมกับกรดแรงหรือ ผิวแห้งขาดน้ำ ควรลดความถี่ ใช้สูตรอ่อนโยน และเติมความชุ่มชื้นให้ผิว

Q: สามารถใช้ไนอะซินาไมด์ร่วมกับเรตินอล (Retinol) ได้ไหม?
A: สามารถใช้ร่วมกับเรตินอลได้ และช่วยลดการระคายเคืองจากเรตินอลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Q: ไนอะซินาไมด์ใช้กับผิวที่เป็นสิวอักเสบอยู่ได้หรือไม่?
A: สามารถใช้กับ สิวอักเสบ ได้ เพราะช่วยลดการอักเสบและไม่ระคายเคืองผิว

Q: ไนอะซินาไมด์ช่วยให้ผิวขาวขึ้นจริงไหม?
A: ไนอะซินาไมด์ช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นโดยลดการสร้างเม็ดสีและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ แต่ไม่ทำให้ผิวขาวแบบเปลี่ยนสีผิวตามธรรมชาติ

Q: ถ้าใช้สกินแคร์หลายขั้นตอน ไนอะซินาไมด์ควรอยู่ขั้นตอนไหน?
A: ไนอะซินาไมด์ควรใช้หลังโทนเนอร์และก่อนมอยส์เจอไรเซอร์ในขั้นตอนของเซรั่มหรือเอสเซนส์ แต่ขึ้นอยู่กับว่าไนอะซินาไมด์อยู่ในรูปแบบไหนเซรั่ม หรือมอยส์เจอไรเซอร์

Q: ผิวแห้งสามารถใช้ไนอะซินาไมด์ได้หรือไม่?
A: ผิวแห้งสามารถใช้ไนอะซินาไมด์ได้ เพราะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและเสริมเกราะป้องกันผิว

Q: เด็กวัยรุ่นอายุ 13–18 ใช้ไนอะซินาไมด์ได้ไหม?
A: เพราะเป็นสารที่อ่อนโยน ไม่ผลัดผิว และไม่ทำให้ผิวบาง โดยเฉพาะผิวช่วงวัยรุ่นที่มักมีปัญหาสิว ความมันส่วนเกิน หรือรูขุมขนกว้าง อีกทั้งยังช่วยลดการอักเสบและควบคุมความมันโดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึง

Q: ใช้ไนอะซินาไมด์นานแค่ไหนจึงจะเห็นผล?
A: จะเริ่มเห็นผลภายใน 4–8 สัปดาห์ หากใช้เป็นอย่างต่อเนื่อง โดยผลลัพธ์ที่สังเกตได้อาจเริ่มจากผิวที่เรียบเนียนขึ้น ความมันลดลง ส่วนเรื่องสีผิวที่กระจ่างใสและจุดด่างดำจางลงอาจต้องใช้เวลานานขึ้น

สรุป

ไนอะซินาไมด์เป็นสารที่ช่วยเรื่องผิวหลายอย่าง สามารถเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ลดการเกิดสิวป้องกันการอักเสบผิว และยังช่วยลดรอยได้หากใช้อย่างต่อเนื่อง แต่ควรระวังการใช้ไนอะซินาไมด์ที่มีความเข้มข้นสูงเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้ ผิวแห้งลอกได้ ควรเริ่มใช้ความเข้มข้นน้อยๆ ก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นเมื่อผิวชินกับสารแล้วค่ะ

Scroll to Top