ริ้วรอยหน้าผากมักเป็นจุดเริ่มเปลี่ยนแปลงที่บ่งบอกถึงความร่วงโรยของผิวอย่างเห็นได้ชัด เพราะบริเวณนี้เป็นพื้นที่ที่กล้ามเนื้อใบหน้าถูกใช้งานบ่อย ซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจเป็นริ้วรอยที่เห็นได้ชัด และแก้ไขได้ยากขึ้น ในบทความนี้ Vincent Clinic Aesthetic จะพามารู้จักเกี่ยวกับต้นตอของการที่ทำให้เกิดริ้วรอยหน้าผาก รวมถึงวิธีแก้ไขค่ะ
Key Takaways
- ริ้วรอยหน้าผากเกิดจากการแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ ร่วมกับการเสื่อมของคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวตามอายุ เมื่อปล่อยไว้นานอาจพัฒนาเป็นรอยลึกถาวรที่รักษาได้ยากขึ้น
- ริ้วรอยหน้าผากแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ รอยตื้นแบบ Dynamic ที่เห็นเฉพาะเวลาขยับกล้ามเนื้อ และรอยลึกแบบ Static ที่เห็นชัดแม้ใบหน้าไม่ขยับ ซึ่งต้องเลือกวิธีรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละประเภท
- ทิศทางของริ้วรอยหน้าผากมีผลต่อภาพลักษณ์ เช่น รอยแนวขวางทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า ส่วนรอยแนวยาวระหว่างคิ้วทำให้ใบหน้าดูเคร่งเครียดหรือดุ
- การรักษาริ้วรอยหน้าผากมีให้เลือกหลายวิธี เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ เลเซอร์ Thermage Ulthera ร้อยไหม และการเติมไขมัน โดยขึ้นอยู่กับระดับความลึกของรอยและความยืดหยุ่นของผิว
- โบท็อกซ์เป็นวิธีที่เห็นผลเร็ว เหมาะกับริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า แต่ต้องทำโดยแพทย์เท่านั้นเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง เช่น คิ้วตกหรือสีหน้าผิดธรรมชาติ
- การป้องกันริ้วรอยหน้าผากทำได้ด้วยการใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ ทาครีมบำรุงที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและกระตุ้นคอลลาเจน พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กระตุ้นการเกิดรอยพับ
- ควรเริ่มดูแลผิวบริเวณหน้าผากตั้งแต่ริ้วรอยยังไม่ลึก เพราะยิ่งดูแลเร็วเท่าไร โอกาสในการป้องกันรอยถาวรและคงความอ่อนเยาว์ของผิวก็จะยิ่งสูงขึ้น
ริ้วรอยหน้าผากคืออะไร? ทำไมถึงเกิดขึ้นง่าย
ริ้วรอยหน้าผากเป็นเส้นหรือร่องพับที่ปรากฏบริเวณหน้าผาก ซึ่งมักเริ่มจากเส้นบาง ๆ เมื่อเคลื่อนไหวใบหน้าและค่อย ๆ ลึกขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป จนกลายเป็นริ้วรอยถาวร แม้ไม่ได้แสดงสีหน้า ผิวบริเวณนี้มีแนวโน้มเกิด ริ้วรอย ได้ง่ายเนื่องจากเป็นบริเวณที่เคลื่อนไหวบ่อยและสัมผัสกับปัจจัยแวดล้อมภายนอก โดยสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดริ้วรอยหน้าผากมีดังนี้
รอยพับจากการแสดงสีหน้า
การแสดงอารมณ์ผ่านใบหน้า เช่น เลิกคิ้ว หรือย่นหน้าผาก เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันโดยไม่รู้ตัว เมื่อทำซ้ำ ๆ กล้ามเนื้อบริเวณหน้าผากจะหดเกร็งตามรูปแบบเดิม ทำให้เกิดรอยพับบนผิวหนังที่อยู่ด้านบน หากไม่ได้รับการดูแล หรือปล่อยให้พฤติกรรมนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เส้นริ้วเล็ก ๆ ที่เคยเกิดเฉพาะเวลาแสดงสีหน้า จะค่อย ๆ พัฒนาเป็นเส้นลึกถาวรแม้ในเวลาที่ใบหน้าอยู่ในสภาพผ่อนคลาย
การเสื่อมของคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิว
เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินได้น้อยลง ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยคงความยืดหยุ่น ความแน่น และความกระชับของผิว เมื่อสารเหล่านี้ลดลง ผิวบริเวณหน้าผากจะเริ่มสูญเสียโครงสร้างที่พยุงไว้ ทำให้เกิดอาการหย่อนคล้อย ผิวแห้งและมีแนวโน้มเกิดร่องลึกที่หน้าผากได้ง่าย
ปัจจัยเสริมอื่นๆ
แม้ว่าริ้วรอยหน้าผากจะมีสาเหตุหลักจากอายุและการแสดงสีหน้า แต่ยังมีปัจจัยภายนอกที่เร่งให้ผิวเสื่อมสภาพและเกิดริ้วรอยได้เร็วขึ้น ได้แก่
- แสงแดด รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากแสงแดดทำลายโครงสร้างโปรตีนในผิวหนังโดยตรง ทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน และทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น ผิวที่โดนแดดเป็นประจำโดยไม่ป้องกันทากันแดดจะเกิดริ้วรอยได้เร็วและลึกได้ง่าย
- ความเครียด เมื่อร่างกายเผชิญกับความเครียด ฮอร์โมนคอร์ติซอลจะหลั่งออกมาเยอะ ส่งผลต่อการทำลายเซลล์ผิว และลดกระบวนการฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติ
- นอนหลับไม่เพียงพอ ในช่วงที่นอนหลับร่างกายจะเข้าสู่กระบวนการซ่อมแซมเซลล์ผิว หากพักผ่อนไม่พอ กระบวนการเหล่านี้จะทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้ผิวอ่อนแอ หมองคล้ำ และเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าเดิม
ริ้วรอยหน้าผากเริ่มปรากฏเมื่ออายุเท่าไร?
ริ้วรอยหน้าผากสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่อายุยังน้อย โดยเฉพาะในผู้ที่มีพฤติกรรมที่ส่งผลให้ผิวอ่อนแอก่อนวัย หากมีพฤติกรรมที่เร่งให้ผิวเสื่อมเร็วขึ้น ริ้วรอยหน้าผากอาจเริ่มเห็นได้เร็วกว่าปกติ และอาจพัฒนาเป็นริ้วรอยหน้าผากถาวรในเวลาไม่นาน โดยข้อมูลที่ควรรู้มีดังนี้
อายุเฉลี่ยที่เริ่มมีรอยพับหน้าผาก
โดยปกติแล้วริ้วรอยหน้าผากเริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนในช่วงอายุประมาณ 30 ปีขึ้นไป แต่ก็มีหลายกรณีที่เริ่มเห็นรอยบาง ๆ ได้ตั้งแต่ อายุ 20 ปลาย ๆ โดยเฉพาะในคนที่มีโครงสร้างผิวบาง แสดงสีหน้าเป็นประจำ หรือสัมผัสกับแสงแดดเป็นเวลานานโดยไม่มีการป้องกัน เพราะช่วงอายุนี้เป็นช่วงที่การผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินเริ่มลดลง และถ้ามีพฤติกรรมที่เร่งให้ผิวเสื่อมเร็วขึ้น ริ้วรอยหน้าอาจเริ่มเห็นได้เร็วกว่าปกติ
พฤติกรรมที่ทำให้ริ้วรอยหน้าผากเกิดเร็วกว่าปกติ
พฤติกรรมในชีวิตประจำวันหลายอย่างสามารถเร่งให้ริ้วรอยหน้าผากเกิดขึ้นเร็วได้ เช่น การแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ อย่างการขมวดคิ้ว เลิกคิ้ว หรือย่นหน้าผากเป็นประจำที่ทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็งในจุดเดิมจนเกิดรอยพับถาวร และถ้าหากละเลยการดูแลผิว ไม่ทาครีมบำรุงหรือครีมกันแดด ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้นและถูกทำร้ายจากแสงแดดโดยตรง ซึ่งรังสี UV จะเข้าไปทำลายคอลลาเจนในชั้นผิวทำให้โครงสร้างผิวเสื่อมสภาพเร็วส่งผลให้เกิดริ้วรอยหน้าผากก่อนวัย
ริ้วรอยหน้าผากแบ่งออกเป็นกี่แบบ?
ริ้วรอยหน้าผากสามารถจำแนกได้ตามต้นเหตุและพฤติกรรมการเกิด ซึ่งจะส่งผลต่อแนวทางการดูแลและการรักษาที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งริ้วรอยบริเวณหน้าผากสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้
ริ้วรอยหน้าผากตื้นจากการขยับกล้ามเนื้อ (Dynamic Line)
เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบนใบหน้าซ้ำ ๆ เช่น การเลิกคิ้ว ขมวดคิ้ว หรือแสดงสีหน้าแบบเดิมตลอดเวลา ซึ่งทำให้เกิดแรงกดบนผิวบริเวณหน้าผาก รอยที่เกิดขึ้นในระยะแรกจะเป็นเพียงเส้นบาง ๆ หรือรอยพับที่เห็นเฉพาะเวลาขยับกล้ามเนื้อเท่านั้น แม้จะไม่ใช่รอยลึกถาวร แต่หากปล่อยไว้ไม่มีการดูแลผิวหรือผ่อนคลายกล้ามเนื้ออย่างเหมาะสม เส้นเหล่านี้จะค่อย ๆ ฝังแน่นและกลายเป็นริ้วรอยหน้าผากลึกได้ในอนาคต
ริ้วรอยหน้าผากลึกที่เกิดค้างแม้ไม่ขยับ (Static Line)
เป็นริ้วรอยหน้าผากที่เห็นได้ตลอดเวลาแม้จะไม่ได้ทำสีหน้าอะไร ซึ่งเกิดจากการเสื่อมของคอลลาเจน อีลาสติน และไขมันใต้ผิวหนัง ทำให้โครงสร้างผิวอ่อนแอขาดการพยุงตัว ปกติแล้วริ้วรอยหน้าผากแบบถาวรจะเริ่มเห็นชัดในช่วงอายุ 35 ปีขึ้นไป และจะลึกขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ได้รับการดูแลหรือแก้ไข
ริ้วรอยแนวยาว vs ริ้วรอยแนวขวาง
ริ้วรอยหน้าผากยังสามารถแยกย่อยตามทิศทางของเส้นได้เป็น 2 แบบหลัก ๆ คือ แนวยาว (Vertical lines) และ แนวขวาง (Horizontal lines) ซึ่งมีความแตกต่างทั้งในด้านสาเหตุและผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของใบหน้าดังนี้
- ริ้วรอยแนวขวาง เป็นเส้นที่พาดจากข้างหนึ่งของหน้าผากไปยังอีกฝั่งหนึ่ง เกิดจากการเลิกคิ้วหรือยกหน้าผากบ่อย ๆ ริ้วรอยประเภทนี้ส่งผลให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า และดูมีอายุ
- ริ้วรอยแนวยาว มักปรากฏระหว่างคิ้ว เกิดจากการขมวดคิ้วซ้ำ ๆ หรือการแสดงอารมณ์เคร่งเครียด รอยพับแนวตั้งระหว่างคิ้วทำให้ใบหน้าดูจริงจัง หรือไม่เป็นมิตร
วิธีลดริ้วรอยหน้าผากแบบต่าง ๆ มีอะไรบ้าง?
ปัญหาริ้วรอยหน้าผากอาจเริ่มจากรอยตื้นและพัฒนาเป็นร่องลึกถาวรได้หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี ซึ่งปัจจุบันมีหลากหลายแนวทางในการช่วยลดหรือป้องกันการเกิดริ้วรอยเหล่านี้ ตั้งแต่วิธีธรรมชาติ การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ไปจนถึงการรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ ดังนี้
การฉีดโบท็อกซ์หน้าผาก
โบท็อกซ์หน้าผาก จะฉีดเข้าไปที่กล้ามเนื้อบริเวณหน้าผากเพื่อคลายการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ทำให้ผิวบริเวณหน้าผากเรียบเนียนขึ้น เหมาะสำหรับริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า เช่น ขมวดคิ้วหรือเลิกคิ้วแล้วเห็นรอยย่นที่หน้าผาก โดยจะเริ่มเห็นผลภายใน 3–7 วัน และอยู่ได้ประมาณ 4–6 เดือน
การฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก
ฟิลเลอร์หน้าผาก จะเป็นการฉีดสารไฮยาลูรอนิคแอซิด เข้าไปที่หน้าผากเพื่อเติมเต็มร่องลึกบริเวณหน้าผาก เส้นริ้วรอยต่างๆ ให้ตื้นขึ้น ทำให้ผิวบริเวณหน้าผากดูเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำ แต่อาจมีอาการบวมเล็กน้อย และอยู่ได้นานประมาณ 6–18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ และรุ่นของฟิลเลอร์ที่ใช้
เลเซอร์ลดริ้วรอยหน้าผาก
การใช้เลเซอร์ เช่น Fraxel, IPL หรือ Pico Laser เป็นการส่งพลังงานแสง หรือพลังงานคความร้อนลงสู่ผิวเพื่อกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่า และสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นพร้อมช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใส เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยระดับเริ่มต้นหรือผิวเสียจากแสงแดด
Thermage กระตุ้นคอลลาเจนลดรอยหน้าผาก
Thermage คือการใช้คลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency) ปล่อยพลังงานลงลึกถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ช่วยให้ผิวบริเวณหน้าผากกระชับ เต่งตึง และดูเรียบเนียนขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยร่วมกับริ้วรอย โดยผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6 – 12 เดือน
Ulthera ยกกระชับกล้ามเนื้อลดริ้วรอยหน้าผาก
Ulthera ใช้เทคโนโลยีคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความถี่สูงยิงพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ผ่าตัดดึงหน้า โดยไม่ต้องผ่าตัด วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยหน้าผากร่วมกับปัญหาคิ้วตก หรือผิวหนังหน้าผากหย่อนคล้อยมากเป็นพิเศษ ผลลัพธ์จะค่อยๆ ชัดขึ้นใน 2–3 เดือน และอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี
การร้อยไหมหน้าผาก
ร้อยไหม จะเป็นการสอดเส้นไหมที่ละลายได้เข้าไปในชั้นผิวบริเวณหน้าผาก ทำให้ผิวบริเวณหน้าผากตึงขึ้น และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยหน้าผากจากความหย่อนคล้อย การร้อยไหมจะช่วยยกผิวและลดรอยย่นได้ทันทีหลังทำ ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 1 ปี
การเติมไขมันหน้าผาก
การเติมไขมันหน้าผากเป็นการนำไขมันจากส่วนอื่นของร่างกาย เช่น หน้าท้อง หรือต้นขา มาฉีดกลับเข้าสู่บริเวณหน้าผากสามารถลดริ้วรอยร่องลึก และปรับรูปทรงหน้าผากให้ดูละมุนขึ้น วิธีนี้จะให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้เนื่องจากใช้เซลล์จากร่างกายตนเอง
ศัลยกรรมดึงหน้าผาก
การผ่าตัดดึงหน้าผากจะช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยหน้าผากลึกมาก และมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยร่วมด้วย โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณหน้าผาก จากนั้นตัดผิวหนังส่วนเกินออก เหมาะสำหรับคนที่มีหน้าผากหย่อนคล้อยมากจนทำให้คิ้วตก ตาตก บดบังการมองเห็น
ทาครีมบำรุงและเซรั่มลดเลือนริ้วรอยหน้าผาก
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสารออกฤทธิ์ลดริ้วรอย เช่น เรตินอล เปปไทด์ กรดไฮยาลูโรนิก วิตามินซี และโคเอนไซม์ Q10 สามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยหน้าผากในระยะเริ่มต้นได้ มื่อใช้อย่างสม่ำเสมอ และควรใช้ควบคู่กับครีมกันแดดทุกวันเพื่อป้องกันไม่ให้รังสี UV ทำลายคอลลาเจนในชั้นผิว
มาสก์หน้าผาก
แผ่นมาสก์ที่ออกแบบมาสำหรับหน้าผากโดยเฉพาะจะช่วยป้องกันไม่ให้ผิวหน้าผากขยับในขณะนอนหลับ และเติมความชุ่มชื้นเข้าสู่ผิว ช่วยให้ริ้วรอยบางๆ บริเวณหน้าผากดูจางลงเมื่อใช้เป็นประจำต่อเนื่อง วิธีนี้เหมาะสำหรับการดูแลเสริมควบคู่กับวิธีอื่นๆ
ฉีดโบท็อกซ์หน้าผากดีไหม? อันตรายหรือไม่?
หัตถการ ฉีดโบท็อก เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมสูงในการลดเลือนริ้วรอยหน้าผาก โบท็อกซ์ไม่เพียงช่วยทำให้ผิวหน้าผากดูเรียบเนียนขึ้น แต่ยังสามารถปรับลุคให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้ แม้จะเป็นหัตถการที่ปลอดภัย แต่ก็ยังมีข้อควรระวังและเงื่อนไขบางประการที่ควรทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจเข้ารับบริการ
หลักการทำงานของโบท็อกซ์
โบท็อกซ์ หรือชื่อเต็มว่า โบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin A) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สกัดจากแบคทีเรีย Clostridium botulinum ซึ่งถูกนำมาใช้ในปริมาณที่ปลอดภัยเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และความงาม โดยโบท็อกซ์จะถูกฉีดเข้าไปในชั้นกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้ผิวหนังบริเวณหน้าผาก ซึ่งเป็นต้นเหตุของรอยพับและเส้นย่น จากนั้นจะยับยั้งการทำงานของประสาทที่ควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้ผิวบริเวณนั้นจะไม่พับหรือเคลื่อนไหวตามการเลิกคิ้วหรือขมวดคิ้ว ส่งผลให้ริ้วรอยหน้าผากจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ และป้องกันการเกิดริ้วรอยหน้าผากถาวร
ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
หลังจากการฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยหน้าผาก จะเริ่มเห็นผลประมาณ 3–5 วันว่าหน้าผากตึงขึ้น และจะเห็นผลลัพธ์เต็มที่ภายใน 1–2 สัปดาห์ ผิวบริเวณหน้าผากจะดูเรียบตึงขึ้น ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ สดใส และมีความผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งผลลัพธ์โบท็อกซ์หน้าผากอยู่ได้นานประมาณ 4–6 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อโบท็อกซ์ ปริมาณที่ฉีด และพฤติกรรมการใช้กล้ามเนื้อในชีวิตประจำวัน
ความปลอดภัย และผลข้างเคียงที่ควรระวัง
การฉีดโบท็อกซ์หน้าผากถือว่าเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูง หากดำเนินการโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ ใช้โบท็อกซ์ที่ได้มาตรฐาน และมีการวางตำแหน่งการฉีดอย่างแม่นยำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมี ข้อควรระวัง ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่นอาการบวมเล็กน้อยบริเวณจุดฉีด หรือรู้สึกตึงผิวในช่วง 1 –2 วันหลังทำซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปเอง
แต่หากฉีดผิดตำแหน่ง หรือใช้บ็อกซ์ที่ไม่มีคุณภาพ เผลอฉีดโบท็อกซ์ปลอม การฉีดโบท็อกซ์หน้าผากอาจเกิดอาการ เช่น ฉีดโบท็อกแล้วหนังตาตก คิ้วผิดรูป หรือการกระจายของยาไปยังกล้ามเนื้อที่ไม่ต้องการ ซึ่งอาจกระทบต่อการแสดงสีหน้าชั่วคราวได้จึงควรเช็กให้ดีก่อนฉีด
ใครบ้างที่ควรเริ่มรักษาริ้วรอยหน้าผาก?
ริ้วรอยหน้าผากสามารถเกิดขึ้นได้แม้จะยังอายุไม่มาก เพราะหน้าผากเป็นบริเวณที่มีการแสดงสีหน้าบ่อยๆ โดยไม่รู้ตัว เช่น เลิกคิ้ว ขมวดคิ้ว ซึ่งสามารถกลายเป็นริ้วรอยถาวรได้ ดังนั้นการเริ่มต้นดูแลผิวหน้าผากตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการชะลอการเกิดร่องลึกหน้าผากในอนาคต
อายุและสภาพผิวที่เหมาะสม
แม้ช่วงอายุที่เริ่มมีริ้วรอยหน้าผากอย่างเห็นได้ชัดจะเป็นช่วงอายุประมาณ 30 ปีขึ้นไป แต่ถ้ามีสภาพผิวแห้ง ผิวบาง หรือมีการเคลื่อนไหวบริเวณหน้าผากบ่อยๆ อาจเริ่มมีริ้วรอยตั้งแต่ช่วงอายุ 20 ได้ ดังนั้นการสังเกตผิวของตัวเองว่าเริ่มมีริ้วรอยหรือไม่จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นในการป้องกันริ้วรอยหน้าผากก่อนวัย และควรดูแลผิวให้มีความชุ่มชื้นสม่ำเสมอเพื่อลดโอกาสการเกิดริ้วรอยหน้าผาก
ป้องกันริ้วรอยหน้า vs แก้ไขริ้วรอยหน้าผาก
ผู้ที่ต้องการดูแลริ้วรอยหน้าผาก สามารถแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มหลัก คือผู้ที่ต้องการป้องกันริ้วรอยหน้าผาก และผู้ที่ต้องการแก้ไขริ้วรอยหน้าผากหลังจากมีแล้ว ซึ่งการป้องกันริ้วรอยหน้าผากสามารถใช้ครีมเพิ่มความชุ่มชื้นผิว หรือฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดริ้วรอยหน้าผากถาวรได้ช้าลง
แต่ถ้ามีริ้วรอยหน้าผากถาวรแล้วการใช้ครีม หรือโบท็อกซ์จะไม่สามารถช่วยได้ อาจจะต้องทำหัตถการที่มีราคาสูงขึ้น เช่น การฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มร่องลึก การทำเลเซอร์ลดริ้วรอยถาวรตื้นๆ หรือถ้ามีปัญหาผิวหน้าผากหย่อนคล้อยจนเกิดริ้วรอย ร่องพับหน้าผากต้องใช้เครื่องยกกระชับผิว หรือผ่าตัดดึงหน้าผาก ดังนั้นจึงไม่ควรให้เกิดริ้วรอยหน้าผากก่อนแล้วค่อยแก้ไข ควรเริ่มป้องกันในตอนที่ยังสามารถทำได้
ริ้วรอยหน้าผากสามารถป้องกันได้หรือไม่?
ริ้วรอยหน้าผากแม้จะเป็นสัญญาณหนึ่งของวัยที่เพิ่มขึ้น แต่สามารถป้องกัน และชะลอริ้วรอยหน้าผากได้หากปรับพฤติกรรม หรือดูแลผิวให้เหมาะสมตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยมีวิธีป้องกันดังนี้
ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ
รังสี UVA และ UVB ทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดริ้วรอยได้เร็วกว่าปกติ การทาครีมกันแดดจึงเป็นขั้นตอนที่ไม่ควรมองข้าม ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีค่า SPF อย่างน้อย 50 รวมถึงต้องทาสม่ำเสมอ และทาซ้ำเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางแสงแดดนานหลายชั่วโมง
ใช้ครีมบำรุงดูแลผิว
การบำรุงผิวมีบทบาทสำคัญในการป้องกันริ้วรอยหน้าผา โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวบาง เพราะความแห้งกร้านทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่นและเกิดรอยพับได้ง่าย ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่มีส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เช่น กรดไฮยาลูโรนิก และสารที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างเรตินอล วิตามินซี หรือเปปไทด์ ที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของโครงสร้างผิวป้องกันการเกิดร่องลึกในอนาคต
พักผ่อนให้เพียงพอ
ผิวหนังมีการซ่อมแซมตัวเองมากที่สุดในช่วงเวลาที่นอนหลับ ดังนั้นการนอนหลับให้เพียงพอจริงสำคัญ หากนอนหลับไม่เพียงพอเป็นประจำ หรือมีความเครียดเรื้อรัง ผิวจะดูอ่อนล้า หมองคล้ำ และเกิดริ้วรอยได้ง่าย
ฉีดโบท็อกซ์
ฉีดโบท็อกซ์จะลดการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้ผิวไม่เกิดรอยพับเมื่อเคลื่อนไหว ช่วยชะลอไม่ให้ริ้วรอยบางๆ หรือริ้วรอยที่เกิดขึ้นเมื่อแสดงสีหน้ากลายเป็นริ้วรอยหน้าผากที่เป็นร่องลึกถาวร โดยควรฉีดทุกๆ 4 – 6 เดือน
พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง
พฤติกรรมบางอย่าง เช่น การสูบบุหรี่ที่ส่งผลให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานแย่ลง ทำให้เซลล์ผิวขาดสารอาหารและเสื่อมสภาพเร็วขึ้น รวมถึงสารพิษในควันบุหรี่ที่เร่งการสลายตัวของคอลลาเจน หรือถ้าดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของผิวแห้งขาดความชุ่มชื้นจนเกิดริ้วรอยง่าย นอกจากนี้การแสดงสีหน้าซ้ำๆ โดยไม่รู้ตัว เช่น การขมวดคิ้ว หรือการเลิกคิ้วก็เป็นพฤติกรรมที่ควรลดลง เพราะเมื่อทำซ้ำริ้วรอยเมื่อแสดงสีหน้าจะกลายเป็นร่องลึกถาวรที่ยากต่อการรักษาในอนาคต
ผลลัพธ์จริงของการรักษาริ้วรอยหน้าผาก
หลายคนที่รักษาริ้วรอยหน้าผากไม่ว่าจะด้วยการฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ หรือเลเซอร์ ล้วนเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนว่าผิวหน้าผากดูเรียบตึงขึ้น รอยพับจางลง และใบหน้ากลับมาดูอ่อนเยาว์ สดใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะในผู้ที่เริ่มรักษาตั้งแต่ยังเป็นริ้วรอยตื้นๆ ผลลัพธ์จะยิ่งเห็นได้ชัด แต่ควรเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสภาพผิว และปัญหาริ้วรอยหน้าผากว่าเป็นแบบไหนเพื่อให้ริ้วรอยหน้าผากลดลงได้จริง และพึงพอใจในผลลัพธ์
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ ริ้วรอยหน้าผาก
Q : ริ้วรอยหน้าผากเกิดจากอะไรเป็นหลัก?
A : เกิดจากการแสดงสีหน้าซ้ำๆ และผิวแห้งขาดความชุ่มชื้นจนเกิดริ้วรอยหน้าผาก
Q : ฉีดโบท็อกซ์หน้าผากช่วยได้จริงไหม?
A : ช่วยได้จริง แต่เฉพาะริ้วรอยหน้าผากเมื่อแสดงสีหน้าเท่านั้น หากริ้วรอยหน้าผากถาวรไม่สามารถช่วยได้
Q : โบท็อกซ์หน้าผากอยู่ได้นานแค่ไหน?
A : สามารถอยู่ได้นานประมาณ 4 – 6 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อโบท็อกซ์ที่ใช้ และการดูแลหลังฉีดโบท็อกซ์หน้าผาก
Q : ริ้วรอยหน้าผากลึกมากต้องใช้ฟิลเลอร์หรือไม่?
A : ใช่ เพราะฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มริ้วรอยร่องลึกที่หน้าผากให้เรียบเนียน
Q : ฉีดโบท็อกซ์หน้าผากเจ็บไหม?
A : เจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และก่อนฉีดมีการแปะยาชาเพื่อลดความเจ็บ
Q : ทำโบท็อกซ์หน้าผากบ่อย ๆ ผิวจะบางหรือเปล่า?
A : ไม่บาง เพราะโบท็อกซ์ไม่มีสารที่ทำให้ผิวบาง แต่ไม่ควรฉีดบ่อยเกิดไป ควรเว้นระยะประมาณ 4 – 6 เดือน แล้วค่อยฉีดซ้ำ เพราะถ้าฉีดบ่อยเกินไปอาจดื้อโบท็อกซ์ได้
Q : มีวิธีดูแลผิวหลังฉีดโบท็อกซ์หน้าผากอย่างไร?
A : ไม่ควรกดผิวบริเวณหน้าผาก เพราะอาจทำให้โบท็อกซ์กระจายไปบริเวณอื่นๆ และระวังการโดนความร้อน เพราะจะทำให้โบท็อกซ์สลายได้
Q : โบท็อกซ์หน้าผากกับคิ้วตกเกี่ยวกันหรือไม่?
A : ไม่เกี่ยวกัน แต่ถ้าฉีดโบท็อกซ์หน้าผากมากเกินไป หรือฉีดผิดจุดสามารถทำให้คิ้วตกได้
สรุป
ริ้วรอยหน้าผากเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้เมื่ออายุมากขึ้น เพราะผิวที่หน้าผากมักมีการขยับอยู่บ่อยๆ โดยไม่รู้ตัวซึ่งในตอนแรกจะเป็นแค่ริ้วรอยเมื่อแสดงสีหน้าเท่านั้น แต่สามารถพัฒนาไปเป็นริ้วรอยหน้าผากถาวรได้ แต่ริ้วรอยหน้าผากสามารถรักษา และป้องกันได้หากรู้วิธี หากใครที่มีปัญหาริ้วรอยหน้าผาก ต้องการแก้ไขสามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ Vincent Clinic Aesthetic ซึ่งจะมีแพทย์ที่มีประสบการณ์คอยให้คำแนะนำ และทำการรักษาอย่างตรงจุดค่ะ