บทความ
ไหมน้ำ คืออะไร ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ยี่ห้อไหนดี นำมาฉีดบริเวณไหนได้
แชร์ :

ไหมน้ำ คืออะไร ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ยี่ห้อไหนดี นำมาฉีดบริเวณไหนได้

Collagen-Biostimulator-Injection
อยากอ่านอะไร จิ้มที่หัวข้อได้เลย!

ไหมน้ำ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินชื่อมาบ้าง แต่ยังไม่รู้ว่าช่วยอะไร ทำแล้วดีอย่างไร ในบทความนี้ Vincent Clinic Aesthetic จะพามารู้จักเกี่ยวกับไหมน้ำแบบเจาะลึกว่าคืออะไร ฉีดแล้วช่วยอะไร รวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่หลายคนสงสัยด้วยค่ะ

 Key Takeaways

  • ไหมน้ำ (Collagen Biostimulator) คือหัตถการฉีดสารละลายไหมเข้าสู่ชั้นผิว เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ให้ผิวดูกระชับ เต่งตึง โดยไม่ต้องร้อยไหมเส้นหรือผ่าตัด
  • ไหมน้ำสามารถช่วยฟื้นฟูผิวแบบรอบด้าน เช่น ยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย, ลดริ้วรอย, เติมเต็มร่องลึก, และเพิ่มความชุ่มชื้น ผิวดูอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว สุขภาพดี
  • ประเภทของไหมน้ำ มีหลายชนิด ได้แก่ PCL, PDO, PLLA, PDLLA ซึ่งให้ผลลัพธ์และความเหมาะสมกับสภาพผิวต่างกัน เช่น PDLLA เหมาะกับผิวแพ้ง่าย, PCL อยู่ได้นานถึง 2 ปี
  • ยี่ห้อยอดนิยมของไหมน้ำ เช่น Juvelook, Gouri, Sculptra, AestheFill, Lenisna, Ultracol, Nano Lift โดยแต่ละแบรนด์มีจุดเด่นเฉพาะด้าน ทั้งเรื่องความชุ่มชื้น ยกกระชับ หรือผลลัพธ์ลึกระยะยาว
  • การฉีดไหมน้ำ สามารถฉีดได้หลายบริเวณ ทั้งใบหน้าและร่างกาย เช่น ใต้ตา, ขมับ, ร่องแก้ม, ลำคอ, หลังมือ, หน้าอก โดยไม่ทำให้เกิดแผลหรือผิวไม่เรียบ
  • ผลลัพธ์หลังฉีดไหมน้ำ จะเริ่มเห็นผลใน 2-4 สัปดาห์ หลังฉีด และผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน 6 เดือน ถึง 2 ปี ขึ้นกับชนิดไหมและการดูแลหลังทำ
  • ราคาการฉีดไหมน้ำ อยู่ที่ประมาณ 13,000 – 30,000 บาท/ขวด โดยขึ้นกับยี่ห้อและปริมาณที่ใช้ในแต่ละจุด
  • ไหมน้ำมีความแตกต่างจากฟิลเลอร์ตรงที่ ไม่ได้เติมเต็มทันที แต่ฟื้นฟูผิวจากภายในอย่างต่อเนื่อง เหมาะกับคนที่ต้องการความเป็นธรรมชาติและไม่ชอบสารเติมเต็ม
  • ไหมน้ำมีความปลอดภัยสูง สลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ตกค้าง เหมาะกับผู้ที่ต้องการ ผลลัพธ์ยาวนานโดยไม่ต้องพักฟื้น

ไหมน้ำคืออะไร

ไหมน้ำ (Liquid Thread) หรือในทางการแพทย์เรียกว่า Collagen Biostimulator Injection คือ นวัตกรรมการฉีดสารกระตุ้นคอลลาเจนเข้าสู่ชั้นผิว โดยไม่ต้องใช้เส้นไหมร้อยเข้าใต้ผิวแบบวิธีดั้งเดิมแบบการร้อยไหม หัตถการนี้จะใช้สารละลายที่มีโครงสร้างโมเลกุลใกล้เคียงกับเส้นไหมละลาย (เช่น PCL, PDO, PLLA, PDLLA) ทำหน้าที่กระตุ้นร่างกายให้สร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาเองในบริเวณที่ฉีด จึงช่วยยกกระชับผิว ฟื้นฟูริ้วรอย เติมเต็มร่องลึก และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ทิ้งสารตกค้าง และไม่ต้องพักฟื้น ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากแผลหรืออาการบวมช้ำที่อาจเกิดจากการร้อยไหมแบบเส้น

ในทางการแพทย์ ไหมน้ำจัดอยู่ในกลุ่มของ Collagen Biostimulator ซึ่งเป็นหนึ่งในประเภทของ Biostimulator หรือสารกระตุ้นชีวภาพที่มีหน้าที่กระตุ้นการฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน ไม่ได้เป็นการเติมเต็มโดยตรงเหมือนฟิลเลอร์ แต่จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาเองในระยะยาว ส่งผลให้ผิวแน่น อิ่มฟู และมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น โดย Biostimulator ยังรวมถึงสารกลุ่มอื่นๆ เช่น PRP หรือ PDRN ที่กระตุ้นการซ่อมแซมผิวในระดับเซลล์ด้วย

แม้จะเป็นการฉีดคล้ายกับฟิลเลอร์หรือเมโส แต่ไหมน้ำมีคุณสมบัติเด่นที่แตกต่างออกไป เพราะสารที่ใช้นั้นมีโครงสร้างเดียวกับไหมที่ใช้ในการร้อยไหม จึงให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับการร้อยไหม แต่ไม่ก่อให้เกิดบาดแผลหรือความเสี่ยงจากการใส่เส้นไหมเข้าไปในชั้นผิว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าอย่างอ่อนโยนและปลอดภัย

กลไกการกระตุ้นคอลลาเจนของไหมน้ำ

ไหมน้ำออกฤทธิ์โดยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยมีลักษณะการทำงานที่แตกต่างจากสารเติมเต็มทั่วไป

  • ทำให้ชั้นผิวแน่นและแข็งแรงขึ้น จากภายใน ไม่ใช่แค่เติมจากภายนอก
  • ช่วยเสริมโครงสร้างผิว และลดร่องลึกอย่างเป็นธรรมชาติ
  • ไม่มีสารเติมเต็มค้างอยู่ในผิว ร่างกายสามารถสลายสารได้หมด
  • เห็นผลต่อเนื่องในระยะยาว โดยเฉพาะหลัง 2–4 สัปดาห์เป็นต้นไป
  • เพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิว

เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการ ฟื้นฟูผิวทั้งระบบ โดยไม่เน้นผลลัพธ์ทันทีแต่ต้องการความเปลี่ยนแปลงในระยะยาว

ประเภทของไหมน้ำ

ไหมน้ำมีอยู่หลายประเภท ซึ่งแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติและการตอบสนองต่อผิวแตกต่างกันไป ดังนี้

ไหมน้ำ PCL (Polycaprolactone) 

ไหมน้ำชนิด PCL คือหนึ่งในวัสดุที่มีคุณสมบัติยืดหยุ่นสูงและมีความคงตัวดีเยี่ยมในผิวหนัง สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อย่างล้ำลึกและต่อเนื่องยาวนาน ซึ่งช่วยให้ผิวดูแน่นและยกกระชับขึ้นในระยะยาว ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏอย่างเป็นธรรมชาติหลังการฉีด และสามารถอยู่ได้นานถึง 12-24 เดือนโดยไม่ต้องทำซ้ำบ่อยๆ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวในระยะยาวโดยไม่ต้องผ่าตัดหรือร้อยไหมเส้น 

จุดเด่นของไหมน้ำ PCL คือ ยืดหยุ่นดี กระตุ้นคอลลาเจนลึก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน

ไหมน้ำ PDO (Polydioxanone) 

ไหมน้ำชนิด PDO เป็นวัสดุที่มีประวัติการใช้งานมายาวนานในทางการแพทย์ โดยเฉพาะในการเย็บแผลหัวใจและอวัยวะสำคัญ เนื่องจากเป็นสารที่สลายได้เองในร่างกายและมีความปลอดภัยสูง ในเวชศาสตร์ความงาม ไหม PDO จะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิวให้ค่อยๆ ฟื้นฟูผิวที่แห้งเหี่ยวให้ดูเต่งตึงและอ่อนเยาว์ เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีริ้วรอยเล็กๆ หรือปัญหาผิวไม่มาก

จุดเด่นของไหมน้ำ PDO คือ ปลอดภัยสูง ใช้แพร่หลายในแพทย์ผ่าตัด กระตุ้นผิวอย่างอ่อนโยน

ไหมน้ำ PLLA (Poly-L-Lactic Acid) 

PLLA เป็นสารสังเคราะห์ที่ได้จากพืช มีคุณสมบัติเด่นในการอุ้มน้ำและกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาเองอย่างต่อเนื่องหลังการฉีด เมื่อฉีดเข้าสู่ผิว ไหมน้ำ PLLA จะช่วยฟื้นฟูความยืดหยุ่น เพิ่มวอลลุ่มให้กับผิวบริเวณที่ฝ่อลง และเติมเต็มร่องลึกอย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์จะค่อยๆ เห็นชัดขึ้นในระยะเวลา 4-6 สัปดาห์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการการฟื้นฟูเชิงลึกและผิวที่เต่งตึงยาวนาน

จุดเด่นของไหมน้ำ PLLA คือ อุ้มน้ำดี กระตุ้นคอลลาเจนลึก เติมเต็มอย่างเป็นธรรมชาติ

ไหมน้ำ PDLLA (Poly D-L-Lactic Acid) 

PDLLA เป็นวัสดุที่มีโครงสร้างโมเลกุลขนาดใหญ่ ให้ผลในการยกกระชับผิวที่ชัดเจน อีกทั้งยังช่วยลดการอักเสบหรือระคายเคืองได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือบอบบางมาก โดย PDLLA จะเข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน พร้อมเพิ่มความหนาแน่นของชั้นผิว ทำให้ผิวดูเรียบเนียน แข็งแรง และอิ่มน้ำมากขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้จะดูเป็นธรรมชาติและอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี

จุดเด่นของไหมน้ำ PDLLA คือ อ่อนโยนต่อผิวบอบบาง ยกกระชับชัดเจน ลดการอักเสบ

การฉีดไหมน้ำ 1 ขวด เทียบเท่ากับการร้อยไหมจำนวนมาก แต่ไม่ต้องเจ็บตัวมากเท่าการใช้ไหมเส้น จึงสามารถใช้ในบริเวณที่เข้าถึงยากได้ เช่น ใต้ตา หรือบริเวณผิวที่บาง โดยไม่มีรอยแผลหรือความเสี่ยงต่อความไม่สม่ำเสมอของผิว

ไหมน้ำช่วยอะไร

ไหมน้ำช่วยอะไร

ไหมน้ำถือเป็นหนึ่งในวิธีการดูแลผิวที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจนและหลากหลาย โดยสามารถใช้เพื่อฟื้นฟูสภาพผิวได้หลายจุด ด้วยคุณสมบัติของสารที่ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิว ทำให้ไหมน้ำกลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับและฟื้นฟูผิวโดยไม่ต้องพักฟื้น

ซึ่งฉีดไหมน้ำจะช่วยให้ผิวกลับมามีชีวิตชีวา ลดปัญหาผิวต่างๆ ได้หลายอย่าง ดังนี้

  • ปรับผิวให้กระชับขึ้น ไหมน้ำช่วยให้ผิวที่เคยหย่อนคล้อยกลับมาตึงกระชับมากขึ้น เข้าไปเพิ่มคอลลาเจนให้กับผิวในบริเวณที่ขาดความยืดหยุ่น 
  • ลดเลือนริ้วรอยและเติมเต็มร่องลึก ไหมน้ำจะช่วยเติมเต็มร่องริ้วรอยบนผิวให้ดูจางลง และผิวเรียบเนียนขึ้น
  • ฟื้นฟูความชุ่มชื้นให้ผิวดูอิ่มฟู ผิวที่เคยแห้งกร้านจะกลับมาดูชุ่มชื้น และอิ่มน้ำ ผิวดูฉ่ำวาวราวกับ ผิวกระจก
  • เสริมความแข็งแรงของชั้นผิว ไหมน้ำช่วย เพิ่มความหนาแน่นของชั้นผิว และเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวแข็งแรงมากขึ้น
  • ช่วยกระชับรูขุมขน ปรับผิวให้ดูเรียบเนียน ช่วยลดขนาดรูขุมขนกว้าง ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและละเอียดขึ้น ช่วยให้เครื่องสำอางติดผิวง่ายขึ้น 

ไหมน้ำมีข้อดี – ข้อเสียอะไรบ้าง

การตัดสินใจเลือกหัตถการความงามอย่างไหมน้ำ ควรพิจารณาทั้งจุดเด่นและข้อจำกัดอย่างรอบด้าน โดยในหัวข้อนี้เราจะพาไปดูทั้งข้อดีที่ทำให้ไหมน้ำได้รับความนิยม และข้อควรระวังที่ควรทราบก่อนตัดสินใจฉีด

ข้อดีของไหมน้ำ

  • ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว ทำให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นมากขึ้น
  • ยกกระชับที่ผิวหน้าหย่อนคล้อย ช่วยปรับรูปหน้าให้ดูเรียวขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด
  • ลดเลือนริ้วรอยและเติมเต็มร่องลึกต่างๆ เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา หรือหน้าผาก
  • ไม่มีรอยแผลเป็นจากการรักษา เพราะเป็นเพียงการฉีดสารเข้าใต้ผิว
  • สารที่ใช้ปลอดภัย ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ตกค้างในร่างกาย
  • เหมาะกับผู้ที่แพ้สารเติมเต็มอื่น หรือไม่ได้ผลจากการใช้ฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์
  • ไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
  • ฟื้นฟูผิวในหลายบริเวณได้ ทั้งใบหน้า ลำคอ หรือจุดที่ผิวบอบบาง
  • ให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน โดยไม่ต้องทำซ้ำบ่อย
  • ผิวชุ่มชื้น ดูสดใส และอิ่มฟูขึ้นจากการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง

ข้อเสียของไหมน้ำ

  • ผลลัพธ์จะไม่เห็นทันที ต้องรอเวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์จึงจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง
  • หลังฉีดอาจมีอาการบวม แดง หรือช้ำในบริเวณที่ทำ ซึ่งเป็นอาการชั่วคราว
  • หากฉีดไม่ครบตามปริมาณที่เหมาะสม อาจไม่ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน
  • ไม่สามารถแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำหรือสีผิวไม่สม่ำเสมอได้โดยตรง
  • สำหรับบางกรณีที่มีร่องลึกมาก อาจต้องใช้การรักษาร่วมกับฟิลเลอร์จึงจะเห็นผลดีที่สุด
  • ต้องได้รับการประเมินและฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยและแม่นยำในการแก้ปัญหาเฉพาะจุด

ไหมน้ำมียี่ห้ออะไรบ้าง

ในวงการความงามปัจจุบันมีแบรนด์ไหมน้ำหลากหลายที่ได้รับความนิยม และผ่านการรับรองมาตรฐานจากทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ แต่ละแบรนด์มีจุดเด่น และส่วนผสมที่ต่างกันออกไป โดยมียี่ห้อไหมน้ำดังนี้

  • Gouri เป็นไหมน้ำที่ใช้สาร PCL มีคุณสมบัติกระตุ้นคอลลาเจนได้ลึกและยาวนาน ช่วยให้ผิวดูกระชับ อิ่มน้ำ และเรียบเนียนขึ้น ผลลัพธ์เริ่มเห็นได้ในช่วง 1-2 สัปดาห์หลังฉีด
  • Sculptra เป็นไหมน้ำที่ใช้สาร PLLA มีชื่อเสียงในการฟื้นฟูผิวที่เหี่ยวย่น ให้กลับมาดูสดใส เต่งตึง และอ่อนเยาว์ เน้นเติมเต็มร่องลึกอย่างเป็นธรรมชาติ
  • Ultracol เป็นไหมน้ำที่ใช้สาร PDO ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านการช่วยลดเลือนริ้วรอย กระตุ้นผิวให้แน่นและฟูมากขึ้น เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรงขึ้น
  • AestheFill เป็นไหมน้ำที่ใช้สาร PDLLA นำเข้าจากเกาหลีใต้ ช่วยฟื้นฟูผิวที่อ่อนล้า ลดริ้วรอย และทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  • Lenisna เป็นไหมน้ำที่ใช้สาร PDLLA ในรูปแบบเนื้อสัมผัสที่บางเบาแต่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนโดยลดความระคายเคือง เหมาะสำหรับ ผิวแพ้ง่าย และได้รับการรับรองจาก KFDA
  • Juvelook เป็นไหมน้ำที่ใช้สาร PDLLA ที่มีจุดเด่นเรื่องการฉีดที่รู้สึกสบายผิว และมีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid ซึ่งช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้น พร้อมทั้งลดเลือนริ้วรอยและร่องลึกได้ในเวลาเดียวกัน
  • Nano Lift เป็นไหมน้ำที่ใช้สาร PCL เป็นหลัก ช่วยยกกระชับผิวหน้าให้ดูสดใส เสมือนการทำลิฟต์หน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด และยังส่งเสริมการสร้างคอลลาเจนให้ผิวแน่นขึ้น

ตารางเปรียบเทียบไหมน้ำแต่ละยี่ห้อ

ยี่ห้อไหมน้ำ สารหลัก จุดเด่นหลัก ผลลัพธ์เริ่มเห็น เหมาะกับใคร
Juvelook PDLLA + HA เติมเต็มริ้วรอย + เพิ่มความชุ่มชื้นแบบ 2 in 1 1-2 สัปดาห์ ผิวแห้ง ผิวบาง ต้องการความชุ่มชื้นและเรียบเนียน
Gouri PCL กระตุ้นคอลลาเจนลึก ผิวแน่น ยกกระชับ 1-2 สัปดาห์ ผู้ที่ผิวหย่อนคล้อย ต้องการความยืดหยุ่นทั่วใบหน้า
Ultracol PDO ลดริ้วรอยแบบธรรมชาติ เสริมโครงสร้างผิว 2-4 สัปดาห์ ผิวบาง เริ่มมีริ้วรอย ต้องการฟื้นฟูผิวแบบค่อยเป็นค่อยไป
Sculptra PLLA ฟื้นฟูโครงสร้างผิวชั้นลึก เติมเต็มร่องลึก 4-6 สัปดาห์ ผู้มีริ้วรอยลึก ผิวทรุดโทรม ต้องการเปลี่ยนแปลงระยะยาว
AestheFill PDLLA ลดริ้วรอย ฟื้นฟูความกระจ่างใส ผิวละเอียด 3-4 สัปดาห์ ผู้ที่ผิวอ่อนล้า ต้องการให้ผิวกลับมาดูสดใสชัดเจน
Lenisna PDLLA กระตุ้นคอลลาเจนโดยไม่ระคายเคือง ผิวแข็งแรงขึ้นอย่างอ่อนโยน 2-3 สัปดาห์ ผิวแพ้ง่าย ต้องการผลลัพธ์แบบนุ่มนวล ไม่ระคายเคือง
Nano Lift PCL ยกกระชับทันที ผิวแน่นเหมือนทำลิฟต์หน้าแบบไม่ผ่าตัด ภายใน 1 สัปดาห์ ต้องการผิวเฟิร์ม ยกกระชับเร่งด่วน เน้นวอลุ่มและแน่นผิว

หมายเหตุ : ระยะเวลาเห็นผลอาจแตกต่างตามสภาพผิวแต่ละบุคคล และเทคนิคของแพทย์ที่ทำ

ฉีดไหมน้ำบริเวณไหนได้บ้าง

ฉีดไหมน้ำบริเวณไหนได้บ้าง

ไหมน้ำสามารถนำมาใช้ฟื้นฟูและปรับสภาพผิวได้ในหลายตำแหน่งบนใบหน้า และร่างกาย โดยบริเวณที่สามารถฉีดไหมน้ำมีดังนี้

  • หน้าผาก ช่วยลดรอยย่นและร่องลึก ทำให้ผิวบริเวณหน้าผากเรียบเนียนมากขึ้น
  • ระหว่างคิ้ว เหมาะสำหรับผู้ที่มีรอยขมวดคิ้วหรือรอยพับลึก ชอบขมวดคิ้วอยู่บ่อย
  • ใต้ตา ช่วยลดริ้วรอยใต้ตา ทำให้ดวงตาดูสดใส ไม่โทรม ฉีดไหมน้ำใต้ตาได้อย่างปลอดภัย
  • ขมับ กระตุ้นคอลลาเจนบริเวณขมับ เพิ่มวอลลุ่มบริเวณขมับ แก้ปัญหาขมับตอบ ขมับยุบ
  • หน้าแก้ม แก้ปัญหาหน้าแก้มแบน หรือยุบตัว ให้กลับมาดูอิ่มเอิบ มีมิติ
  • ร่องแก้ม ลดความลึกของร่องแก้ม ที่ทำให้ใบหน้าดูมีอายุ ทำให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น
  • ร่องน้ำหมาก เหมาะสำหรับผู้ที่มีร่องลึกบริเวณมุมปาก ช่วยให้ใบหน้าดูไม่เศร้าหรือเหนื่อยล้า
  • ลำคอ ลดความหย่อนคล้อยและรอยย่น ช่วยให้ผิวบริเวณคอดูเต่งตึงมากขึ้น
  • หลังมือ ฟื้นฟูผิวมือที่แห้งหรือมีริ้วรอย ให้กลับมาดูเรียบเนียน
  • หน้าอก ช่วยยกกระชับผิวบริเวณหน้าอก และลดริ้วรอย

ไหมน้ำอยู่ได้นานไหม

ระยะเวลาที่ผลลัพธ์จากการฉีดไหมน้ำจะขึ้นอยู่กับยี่ห้อของไหมน้ำที่เลือกใช้ รวมถึงการดูแลผิวของแต่ละตนหลังจากฉีดด้วย หลังฉีดไหมน้ำ 2-4 สัปดาห์ จะเริ่มมีการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวมากขึ้น จากนั้นผิวจะค่อยๆ ยกกระชับขึ้น และริ้วรอยลงน้อยลง ซึ่งผลลัพธ์หลังจากฉีดไหมน้ำอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือน ถึง 2 ปีค่ะ

ไหมน้ำราคาเท่าไร

ราคาของไหมน้ำในขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ยี่ห้อของไหมน้ำ ความเชี่ยวชาญของแพทย์ และการตั้งราคาของแต่ละคลินิก โดยไหมน้ำราคาประมาณ 13,000 – 30,000 บาท และแต่ละยี่ห้อมีราคาดังนี้

  • Juvelook ราคาประมาณ 15,000 – 25,000 บาท
  • Ultracol ราคาประมาณ 15,000 – 20,000 บาทต่อขวด
  • AestheFill ราคาประมาณ 20,000 – 30,000 บาทต่อขวด
  • Lenisna ราคาประมาณ 15,000 – 25,000 บาท
  • Gouri ราคาประมาณ 13,000 -16,000 บาทต่อขวด
  • Sculptra ราคาประมาณ 20,000 – 30,000 บาทต่อขวด

ฟิลเลอร์ vs ไหมน้ำ ต่างกันอย่างไร

ฟิลเลอร์ และไหมน้ำเป็นหัตถการที่แก้ไขปัญหาผิวได้เหมือนกัน แต่ทั้งสองหัตถการนี้มีลักษณะการทำงาน และผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน 

โดย ฟิลเลอร์ จะเป็นสารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูโรนิคฉีดเพื่อเสริมวอลลุ่มในจุดที่ต้องการ เช่น คาง ร่องแก้ม หรือปาก และเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังฉีด 

ส่วนไหมน้ำเป็นการนำสารประเภทเดียวกับไหมละลายได้ มาเป็นส่วนประกอบหลัก จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาเอง แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ใช่การเติมเต็มในทันที แต่จะค่อยๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงหลังฉีด 

หัตถการ กลไกการทำงาน เห็นผลเมื่อไร ระยะเวลาผลลัพธ์ ลักษณะผลลัพธ์ เหมาะกับใคร ราคาโดยประมาณ
ฟิลเลอร์ เติมเต็มทันทีด้วยสาร HA ทันทีหลังฉีด 6–18 เดือน ปรับวอลลุ่มเฉพาะจุด ผู้ที่ต้องการเห็นผลเร็ว และแก้ไขปัญหาเฉพาะจุดทันที 10,000–25,000 บาท/ซีซี
ไหมน้ำ กระตุ้นคอลลาเจนในผิว 2–4 สัปดาห์ 6 เดือน–2 ปี ผิวฟูแน่นขึ้นทั่วหน้า ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวลึก ไม่ชอบสารเติมเต็ม 13,000–30,000 บาท/ขวด

โปรแกรมฟิลเลอร์เหมาะสำหรับการเติมเฉพาะจุดแบบเร่งด่วน ส่วนโปรแกรมไหมน้ำเหมาะสำหรับผู้ที่เน้นผลลัพธ์ยาวนาน ฟื้นฟูผิวโดยรวม และต้องการความเป็นธรรมชาติ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ ไหมน้ำ

แม้ไหมน้ำจะเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน แต่หลายคนยังมีข้อสงสัยก่อนตัดสินใจเข้ารับบริการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระยะเวลาเห็นผล ผลข้างเคียง ความแตกต่างจากหัตถการอื่น หรือการดูแลตัวเองหลังฉีด

ในส่วนนี้เราได้รวบรวมคำถามยอดฮิต พร้อมคำตอบจากแพทย์ผู้มีประสบการณ์ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น และเข้าใจไหมน้ำอย่างถูกต้องครบถ้วน

Q : ไหมน้ำเห็นผลทันทีหลังฉีดเลยไหม?

A : ไม่เห็นผลทันทีเหมือนฟิลเลอร์ แต่จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงประมาณ 2-4 สัปดาห์ หลังจากร่างกายเริ่มสร้างคอลลาเจนใหม่

Q : หลังฉีดไหมน้ำแต่งหน้าได้เมื่อไร?

A : สามารถแต่งหน้าได้หลัง 24 ชั่วโมง แนะนำให้หลีกเลี่ยงการกด ถู หรือทาครีมแรงๆ บริเวณที่ฉีดในช่วง 1-3 วันแรก

Q : ต้องฉีดไหมน้ำกี่ขวดถึงจะเห็นผล?

A : ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีดและปัญหาผิว โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1-3 ขวดต่อครั้ง แพทย์จะเป็นผู้ประเมินปริมาณให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

Q : ไหมน้ำต่างจากร้อยไหมเส้นยังไง?

A : ไหมน้ำเป็นการฉีดสารละลายไหมเข้าสู่ผิว ไม่ต้องใช้เข็มร้อย ไม่เจ็บ ไม่มีแผล ส่วนร้อยไหมเป็นการใส่เส้นไหมจริงเข้าไปใต้ผิว ซึ่งมีบาดแผลเล็กและต้องพักฟื้น

Q : ผิวแพ้ง่ายสามารถฉีดไหมน้ำได้ไหม?

A : ได้ค่ะ สำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย ควรเลือกไหมน้ำสูตรอ่อนโยน เช่น Lenisna หรือ Juvelook และให้แพทย์ประเมินก่อนฉีดเพื่อความปลอดภัย

Q : ไหมน้ำอยู่ได้นานแค่ไหน?

A : อยู่ได้ประมาณ 6 เดือน ถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้ ปริมาณ และการดูแลผิวหลังทำ

Q : ไหมน้ำช่วยเรื่องสีผิวหรือฝ้า กระ ได้ไหม?

A : โดยตรงไม่ได้ช่วยเรื่องเม็ดสี แต่เมื่อผิวแน่นขึ้นและเรียบเนียนขึ้น อาจทำให้ผิวดูสว่างสดใสขึ้นโดยรวม

Q : ไหมน้ำกับ Collagen Biostimulator ใช่ตัวเดียวกันไหม?

A : ใช่ค่ะ ไหมน้ำเป็นชื่อเรียกเชิงการตลาดของการฉีดสารในกลุ่ม Collagen Biostimulator ซึ่งช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่ โดยไม่ต้องร้อยไหมแบบเส้น

สรุป

ไหมน้ำมีส่วนประกอบของไหมที่สามารถละลายได้ จึงมีความปลอดภัยสูง และยังช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ยกกระชับผิวหลังจากฉีด โดยหลังจากฉีดจะค่อยๆ กระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ริ้วรอยบนผิวจางลง หากต้องการแก้ปัญหาผิว ยกกระชับ แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะทำดีไหม สามารถเข้ามาปรึกษากับ Vincent Clinic Aesthetic ก่อนได้ค่ะ

Scroll to Top