บทความ
Skinvive vs Juvelook ต่างกันอย่างไร ปรับผิวเรียบเนียน ฉีดตัวไหนดี
แชร์ :

Skinvive vs Juvelook ต่างกันอย่างไร ปรับผิวเรียบเนียน ฉีดตัวไหนดี

Skinvive-vs-Juvelook
อยากอ่านอะไร จิ้มที่หัวข้อได้เลย!

ในยุคที่เทรนด์ผิวฉ่ำวาวกำลังมาแรง หัตถการเพื่อฟื้นฟูผิวลึกอย่าง Skinvive และ Juvelook ก็กลายเป็นชื่อที่ถูกพูดถึงบ่อยในวงการความงาม หลายคนอาจกำลังลังเลว่าจะเลือกฉีดตัวไหนดี เพราะทั้งสองต่างมีคุณสมบัติเด่นในแบบของตัวเอง ทั้งเรื่องความชุ่มชื้น ความเรียบเนียน หรือการกระตุ้นคอลลาเจน

บทความนี้ Vincent Clinic Aesthetic จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า Skinvive กับ Juvelook มีจุดเด่นต่างกันอย่างไร เหมาะกับสภาพผิวแบบไหน ช่วยเรื่องอะไรบ้าง อยู่ได้นานแค่ไหน รวมถึงเปรียบเทียบผลลัพธ์และราคาชัดเจน เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ว่าหัตถการแบบไหนเหมาะกับผิวของคุณที่สุด

Key Takeaways

  • Skinvive เป็น Skin Booster จาก Allergan ที่เด่นเรื่องการเติมความชุ่มชื้นให้ผิวทันทีหลังฉีด ช่วยให้ผิวดูฉ่ำวาว อิ่มน้ำ รูขุมขนดูเล็กลง และริ้วรอยตื้น ๆ จางลง เหมาะกับผู้ที่อยากเห็นผลรวดเร็ว ผิวเนียนสวยแบบสุขภาพดีในทันที
  • Juvelook คือ Hybrid Biostimulator ที่ผสานพลังระหว่าง PDLLA และ HA ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูผิวลึกถึงโครงสร้าง ลดริ้วรอยลึก หลุมสิว และรอยดำ ให้ผิวแน่น กระชับขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย หรือผิวบางขาดคอลลาเจน
  • ถ้ากำลังเลือกไม่ถูกว่าควรฉีดตัวไหนดี  Skinvive เหมาะกับคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวแบบเร่งด่วน ผิวดูโกลว์ ฉ่ำน้ำทันที ส่วน Juvelook เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาวในเชิงโครงสร้าง เช่น ลดริ้วรอยลึกและความหย่อนคล้อย
  • ในเรื่องของผลลัพธ์และระยะเวลา Skinvive จะอยู่ได้นานประมาณ 9 เดือน เห็นผลทันทีหลังฉีด ส่วน Juvelook จะอยู่ได้นานถึง 18–24 เดือน โดยเริ่มเห็นผลภายใน 2–4 สัปดาห์
  • ราคาทั้งสองตัวแตกต่างกัน โดย Skinvive ราคาประมาณ 9,000–15,000 บาทต่อ CC ส่วน Juvelook ราคาประมาณ 15,000–20,000 บาทต่อขวด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นและความเชี่ยวชาญของแพทย์ในแต่ละคลินิก

Skinvive กับ Juvelook คืออะไร ต่างกันอย่างไร

ทั้ง Skinvive และ Juvelook เป็นสารที่สามารถฉีดเข้าสู่ผิวเพื่อปรับผิวให้เรียบเนียน ผิวดูสุขภาพดีขึ้น แต่ทั้ง 2 ตัวมีส่วนประกอบหลักที่แตกต่างกัน ดังนี้

Skinvive คืออะไร

Skinvive คือ Skin Booster จากแบรนด์ Allergan ผู้ผลิตเดียวกับโบท็อกซ์ Allergan และฟิลเลอร์ Juvederm โดย Skinvive มีการพัฒนามาจาก Juvederm volite ปรับสูตรให้เหมาะกับการฉีดในผิวชั้นตื้น เพิ่มความชุ่มชื้น กระจ่างใสให้กับผิวมากขึ้น โดยกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) ที่ใช้เป็นส่วนประกอบจะเป็นแบบ ไมโครดรอปเล็ท (Microdroplets) ซึ่งมีความพิเศษกว่า HA ทั่วไป เพราะมีโมเลกุลขนาดเล็กมากจึงกระจายตัวในชั้นผิวได้ดี และซึมเข้าผิวอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อน นอกจากนี้ยังดูดซับและกักเก็บน้ำได้ถึง 1,000 เท่า จึงเห็นได้ชัดว่าผิวมีการเปลี่ยนแปลง ดูชุ่มชื้นขึ้นทันทีหลังจากฉีด 

Juvelook คืออะไร

Juvelook คือ Collagen Biostimulator กระตุ้นคอลลาเจนในผิว โดยมีส่วนประกอบหลัก 2 ตัว ได้แก่

  • Poly-D,L-lactic acid (PDLLA) เป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย โดยมีความปลอดภัยสูงสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้างเอาไว้ เพราะ PDLLA เป็นหนึ่งในส่วนประกอบของไหมทางการแพทย์ที่นำมาใช้เพื่อการรักษาเย็บแผล
  • Hyaluronic Acid (HA) เป็นไฮยาลูรอนิกแบบที่ไม่ผ่านการ Crosslink เด่นในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวกักเก็บน้ำได้นานมากขึ้น 

ซึ่งเมื่อ Juvelook มีการผสมส่วนประกอบถึง 2 อย่างเข้าด้วยกันจึงกลายเป็น Hybrid Biostimulator ที่ไม่ใช่ Collagen Biostimulator หรือ Skin Booster ทั่ว ๆ ไป ที่แค่เพียงกระตุ้นคอลลาเจนเพียงอย่างเดียว หรือปรับให้ผิวชุ่มชื้นอย่างได้อย่างหนึ่ง แต่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ควบคู่ไปกับการเติมน้ำให้ผิวทันทีหลังทำ

Skinvive กับ Juvelook ช่วยอะไร

Skinvive กับ Juvelook  แต่ละตัวเด่นเรื่องอะไร?

แม้ Skinvive และ Juvelook จะช่วยฟื้นฟูผิวได้ทั้งสองตัว แต่เบื้องหลังนั้นกลับทำงานคนละแบบ บางตัวช่วยให้ผิวฉ่ำใสในทันที อีกตัวฟื้นฟูลึกถึงระดับโครงสร้าง มาดูกันว่าทั้งสองตัวนี้ช่วยอะไรและเหมาะกับผิวแบบไหนบ้าง

Skinvive ช่วยอะไร

Skinvive เด่นด้านการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว แต่ยังช่วยปรับสภาพผิวได้หลายเรื่องด้วย ดังนี้

  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว หลังฉีดกรดไฮยาลูรอนิกจะช่วยดึงน้ำเข้ามากักเก็บไว้ในชั้นผิว ทำให้ผิวไม่แห้งตึง แก้ไขปัญหาผิวแห้ง ผิวลอกได้ 
  • แต่งหน้าติดทนมากขึ้น เมื่อผิวมีความชุ่มชื้นอย่างเพียงพอ จะทำให้แต่งหน้าเรียบเนียน ติดทนนาน และไม่เป็นขุย 
  • ช่วยให้ผิวเรียบเนียน รูขุมขนจะถูกเติมเต็ม ผิวเรียบเนียนขึ้น ซึ่งช่วยลดโอกาสเกิดสิวจากการอุดตันในรูขุมขน
  • ลดริ้วรอยให้จางลง Skinvive จะเข้าไปเติมเต็มริ้วรอยตื้น ๆ บนผิว ทำให้ริ้วรอยจางลง 
  • ช่วยเสริมการทำงาน AQP3 เมื่อฉีด Skinvive จะเข้าไปกระตุ้นโปรตีน Aquaporin-3 (AQP3) ซึ่งเป็นตัวกลางในการส่งผ่านน้ำไปยังเซลล์ผิว เมื่ออายุเพิ่มขึ้น AQP3 จะลดลง ทำให้ผิวแห้งกร้าน แต่ Skinvive จะช่วยกระตุ้นให้กลับมาทำงานได้ดีขึ้น
  • ช่วยกักเก็บกลีเซอรอล กลีเซอรอลจะช่วยเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิวหนังได้ยาวนานขึ้น ส่งผลให้ผิวดูโกลว์ เล่นแสง และเนียนนุ่ม

เจาะลึก : Skinvive คืออะไร ฉีดแล้วช่วยเรื่องอะไร หน้าฉ่ำวาวไหม ราคาเท่าไร

Juvelook ช่วยอะไร

Juvelook ไม่ได้เป็นเพียงแค่การกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว แต่ยังช่วยในระดับโครงสร้างผิว ส่งผลให้ผิวฟื้นฟูทั้งจากภายนอกและภายใน โดยหลังจากฉีดสามารถช่วยได้หลาย ๆ อย่าง ดังนี้ 

  • ลดริ้วรอย การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจะช่วยลดเลือนริ้วรอย และป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยใหม่ ชะลอการเกิดริ้วรอย ผิวจึงดูแน่น หน้าตึงกระชับ มากยิ่งขึ้น ร่องลึกต่าง ๆ ค่อย ๆ จางลงอย่างเป็นธรรมชาติ
  • กระชับรูขุมขน คอลลาเจนที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้รูขุมขนที่กว้างจะค่อย ๆ หดตัวลง ผิวจึงดูเรียบเนียนขึ้น 
  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว Juvelook มีส่วนผสมของ HA จึงมีคุณสมบัติช่วยเติมน้ำให้ผิว ทำให้ผิวที่แห้งกร้านกลับมาอิ่มฟู ฉ่ำน้ำ ลดอาการแห้งลอกของผิว และป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้นในผิว
  • ลดรอยแผลเป็น และจุดด่างดำ การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนสามารถช่วยซ่อมแซมหลุมสิว รวมถึงลดรอยแผลเป็นและรอยดำให้ค่อย ๆ จางลง สีผิวสม่ำเสมอ กระจ่างใสขึ้น
  • ปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรง ผิวจะมีความแน่น ยืดหยุ่นมากขึ้น ผิวดูสุขภาพดีจากโครงสร้างผิวจริง ไม่ใช่เพียงแค่ภายนอก

เจาะลึก : Juvelook ช่วยเรื่องอะไร แตกต่างจากสกินบูสเตอร์ตัวอื่นอย่างไร?

Skinvive vs Juvelook ฉีดตัวไหนดี

ระหว่าง Skinvive และ Juvelook จะเลือกฉีดตัวไหนนั้นขึ้นอยู่กับสภาพผิว และความต้องการที่จะแก้ไขปัญหาผิว หากมีปัญหาผิวแห้ง ผิวขาดน้ำ รูขุมขนกว้าง หรืออยากได้ผิวที่ดูฉ่ำวาว อิ่มน้ำแบบสุขภาพดีอย่างเร่งด่วนจะเหมาะกับการฉีด Skinvive 

ส่วน Juvelook จะเหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวระดับโครงสร้าง ต้องการกระตุ้นคอลลาเจนในผิว ลดความหย่อนคล้อย ริ้วรอยร่องลึกที่แก้ไขด้วยฟิลเลอร์ได้ยาก 

ดังนั้นถ้าหากต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ผิวกระจกฉ่ำวาว (Glass skin) การฉีด Skinvive จะเหมาะที่สุด แต่ถ้ามีผิวหลวมขาดคอลลาเจน หรือมีร่องใต้ตาต้องการแก้ไข Juvelook จะเหมาะกว่าค่ะ

ตารางเปรียบเทียบ Skinvive กับ Juvelook

คุณสมบัติ Skinvive Juvelook
ประเภทสาร Skin Booster Hybrid Biostimulator
กลไกหลัก เติมน้ำในผิวทันที / กระตุ้น AQP3 / ปรับผิวฉ่ำวาว กระตุ้นคอลลาเจนลึก + เติมน้ำระดับผิวร่วมกัน
ส่วนประกอบสำคัญ Hyaluronic Acid (Microdroplets) PDLLA + HA (ไม่ crosslink)
ขนาดโมเลกุล เล็กมาก กระจายทั่วชั้นผิว ไม่เป็นก้อน ใหญ่กว่า แต่ทำงานลึก กระตุ้นคอลลาเจนระยะยาว
ผลลัพธ์ที่เด่น ผิวฉ่ำวาวทันที / รูขุมขนเล็ก / แต่งหน้าติดขึ้น ผิวแน่นขึ้น / ริ้วรอยลึกจางลง / ลดหลุมสิว รอยดำ
ระยะเวลาที่เห็นผล เห็นผลทันทีหลังฉีด เริ่มเห็นผลใน 2–4 สัปดาห์
อยู่ได้นานแค่ไหน ประมาณ 9 เดือน ประมาณ 18–24 เดือน (หากฉีดครบคอร์ส)
ความเหมาะสม เหมาะกับผิวขาดน้ำ / อยากฟื้นฟูผิวไว / ผิวหน้าโทรมเฉียบพลัน เหมาะกับผิวบาง / ร่องลึก / ต้องการผลระยะยาวเชิงโครงสร้าง
ราคาประมาณ 9,000–15,000 บาท / CC 15,000–20,000 บาท / ขวด
จำนวนครั้งที่แนะนำ ทุก 6 เดือน 3 ครั้ง เดือนละ 1 ครั้ง (แล้วเว้น 1–2 ปี)

หากคุณต้องการเห็นผลลัพธ์ทันที ผิวดูฉ่ำวาว อิ่มน้ำ รูขุมขนเล็กลงตั้งแต่วันแรกหลังฉีด และต้องการบูสต์ผิวให้สดใสอย่างเร่งด่วนก่อนออกงานหรือในช่วงที่รู้สึกหน้าหมอง Skinvive คือตัวเลือกที่ตอบโจทย์ที่สุด เพราะออกแบบมาเพื่อเติมน้ำให้ผิวอย่างรวดเร็ว พร้อมช่วยให้แต่งหน้าติดง่ายและดูมีออร่าขึ้นทันตา

แต่ถ้าคุณมีปัญหาผิวเชิงโครงสร้าง เช่น ริ้วรอยลึก หลุมสิว ผิวหย่อน หรือเคยเติมฟิลเลอร์มาแล้วไม่ตอบโจทย์ ผิวบางลง ผิวไม่แน่นฟู Juvelook จะเหมาะกว่า เพราะนอกจากเติมน้ำได้ระดับหนึ่งแล้ว ยังช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในผิวแบบลึกและอยู่ได้นานกว่าในระยะ 1–2 ปี

สุดท้าย หากยังลังเลหรือมีปัญหาผิวผสมหลายแบบ เช่น ผิวขาดน้ำร่วมกับริ้วรอย อาจเลือกใช้ทั้งสองหัตถการร่วมกันในแผนที่แพทย์ออกแบบเฉพาะ เพื่อได้ผลลัพธ์ครบทั้งความฉ่ำ ความฟู และการฟื้นฟูลึกในระยะยาว

Skinvive กับ Juvelook ตัวไหนอยู่ได้นานกว่ากัน

Skinvive กับ Juvelook ตัวไหนอยู่ได้นานกว่ากัน

ระยะเวลาของผลลัพธ์หลังจากฉีดจะอยู่ได้นานไม่เท่ากัน โดยขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย เช่น การดูแลหลังฉีด จำนวนครั้งที่ฉีด สำหรับ Skinvive ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานประมาณ 9 เดือน โดยหลังฉีดสามารถเห็นได้ทันทีว่าผิวดูชุ่มชื้นมากขึ้น แนะนำให้ฉีดซ้ำทุก ๆ 6 เดือนเพื่อคงความฉ่ำวาว ผิวชุ่มชื้น เอาไว้ ส่วน Juvelook ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานประมาณ 18 – 24 เดือน แนะนำให้ฉีด 3 ครั้ง ห่างกันเดือนละครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนหลังจากฉีด โดยหลังจากฉีดจะรู้สึกว่าผิวดูฉ่ำวาวขึ้น และริ้วรอยตื้นขึ้น จากนั้นผิวจะค่อย ๆ มีคอลลาเจนเพิ่มขึ้นหลังจาก 2 – 4 สัปดาห์หลังฉีดค่ะ

Skinvive VS Juvelook ราคาต่างกันไหม

สำหรับราคา Skinvive กับ Juvelook ราคาจะแตกต่างกันไม่เท่ากันเนื่องจากส่วนประกอบสารที่ไม่เหมือนกัน ผลลัพธ์แตกต่าง และอยู่ได้นานไม่เท่ากัน นอกจากนี้ราคาทั้งสองตัวนี้จะแตกต่างกันในแต่ละคลินิกที่เลือกฉีดด้วย เพราะขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญแพทย์ และโปรโมชั่นในตอนนั้น โดย Skinvive ราคาประมาณ 9,000 – 15,000 บาท/CC ส่วน Juvelook ราคาประมาณ 15,000 – 20,000 บาท/ขวดค่ะ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ Skinvive กับ Juvelook

Q : Skinvive กับ Juvelook ฉีดแล้วต้องพักฟื้นไหม?

A : ทั้งสองหัตถการจัดเป็น Non-invasive หรือการฉีดแบบไม่ต้องผ่าตัด จึงไม่จำเป็นต้องพักฟื้นแต่อย่างใด อาจมีรอยเข็มเล็ก ๆ บ้างหลังทำซึ่งจะหายไปเองภายใน 1–3 วัน โดยสามารถใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้ทันที

Q : สามารถฉีด Skinvive และ Juvelook พร้อมกันได้ไหม?

A : สามารถฉีดได้ทั้งสองชนิดในคนเดียวกัน แต่อาจต้องเว้นช่วงและวางแผนการฉีดให้เหมาะสม เช่น เริ่มจาก Skinvive เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นก่อน แล้วจึงตามด้วย Juvelook เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนในภายหลัง ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ผิวหนังหรือแพทย์ความงาม

Q : ฉีด Skinvive หรือ Juvelook แล้วออกแดดได้ไหม?

A : ควรหลีกเลี่ยงแดดจัดในช่วง 1 สัปดาห์แรกหลังฉีด เพื่อให้สารที่ฉีดเข้าไปทำงานได้เต็มที่ และลดความเสี่ยงของการระคายเคืองผิว ควรทาครีมกันแดดเป็นประจำ และป้องกันผิวจากรังสี UV

Q : สามารถแต่งหน้าหลังฉีด Skinvive หรือ Juvelook ได้เมื่อไร?

A : แนะนำให้เว้นการแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังฉีด เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคืองหรือการกดทับบริเวณที่เพิ่งฉีด หลังจากนั้นสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ

Q : ถ้าฉีดแล้วไม่ถูกกับผิว จะมีผลข้างเคียงรุนแรงไหม?

A : Skinvive และ Juvelook ใช้สารที่มีความปลอดภัยสูง และผ่านการรับรองในหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีประวัติแพ้สารเติมเต็ม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด หากมีอาการผิดปกติหลังฉีด เช่น บวม แดง ร้อน คันเกินปกติ ควรรีบติดต่อแพทย์ทันที

Q : ฉีดบ่อยแค่ไหนถึงจะได้ผลลัพธ์ชัดเจน?

A : Skinvive สามารถฉีดทุก 6 เดือนเพื่อคงความชุ่มชื้น ส่วน Juvelook แนะนำฉีด 3 ครั้งแรกต่อเนื่องกันเดือนละครั้ง แล้วจึงเว้นฉีดทุก 1–2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและอายุ

สรุป ไม่แน่ใจว่าผิวของคุณเหมาะกับ Skinvive หรือ Juvelook?

Skinvive และ Juvelook สามารถช่วยปรับสภาพผิวให้ดีขึ้นได้ โดย Skinvive จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นเป็นหลัก ส่วน Juvelook จะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว การเลือกว่าจะฉีดตัวไหนดีขึ้นอยู่กับปัญหาผิวของแต่ละคนที่มี เพราะผิวแต่ละคนมีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาผิวแห้ง รูขุมขนกว้าง หรือริ้วรอยลึก การเลือกหัตถการที่ตรงจุดตั้งแต่แรกจะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าและปลอดภัยที่สุด

Vincent Clinic Aesthetic มีทีมแพทย์เฉพาะทางที่พร้อมช่วยวิเคราะห์ผิวของคุณอย่างละเอียด และวางแผนการรักษาให้เหมาะกับเป้าหมายผิวของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็น Skinvive, Juvelook หรือการผสมผสานหลายเทคนิคเพื่อให้คุณได้ผลลัพธ์แบบดีที่สุดในแบบของตัวคุณเอง

Scroll to Top