Radiesse ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ล่าสุดจากบริษัท Merz Aesthetics ที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน แต่ยังสามารถเติมร่องริ้วรอยต่างๆ ได้ดี ซึ่งมีชื่อเสียงอย่างมากในต่างประเทศ และเพิ่งนำเข้าในไทยได้ไม่นาน ในบทความนี้จะมาแนะนำให้รู้จัก Radiesse ว่าต่างจากตัวอื่นๆ อย่างไร ช่วยเรื่องอะไรบ้าง รวมถึงคำถามอื่นๆ ที่หลายๆ คนสงสัยค่ะ
Key Takeaways
- Radiesse คือสารเติมเต็ม ที่มีส่วนประกอบหลักคือ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ช่วยเติมเต็มและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว
- Radiesse มี 2 รุ่นให้เลือก ได้แก่ Radiesse Classic (ไม่มียาชา) และ Radiesse Plus (มี Lidocaine ลดเจ็บ)
- Radiesse ทำงานโดยการกระตุ้นเซลล์ Fibroblasts ให้ผลิตคอลลาเจน Type I และ III รวมถึงอีลาสติน ช่วยให้ผิวแน่น ฟู และกระชับ
- การฉีด Radiesse เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย ร่องลึก ขาดความยืดหยุ่น หรืออายุ 30+ ที่เริ่มมีริ้วรอย
- ตำแหน่งที่ฉีด Radiesse ได้หลายตำแหน่ง เช่น ทั่วใบหน้า มือ คอ และหน้าอก (ยกเว้นใต้ตา ริมฝีปาก และจมูก)
Radiesse คืออะไร
Radiesse (เรเดียน) คือสารเติมเต็มชนิดหนึ่งที่จัดให้อยู่ในกลุ่ม ฟิลเลอร์ แต่มีสารประกอบหลักเป็น Calcium Hydroxylapatite (CaHA) 30 % ซึ่งเป็นสารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในร่างกายมนุษย์ และพบได้ในกระดูกและฟัน แทนสารไฮยาลูรอนิก โดยใน CaHA ถูกสังเคราะห์ให้คล้ายกับสารในร่างกายมีลักษณะเป็นทรงกลมขนาด 25 – 45 ไมครอน และยังมีเจลคาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลส 70% ซึ่งเป็นสารพยุงเนื้อเจล ช่วยให้เนื้อสัมผัสคงตัวและกระจายตัวในผิวได้ดี
Radiesse ถูกผลิตโดยบริษัท Merz Aesthetics บริษัทเดียวกับโบท็อกซ์ Xeomin และฟิลเลอร์ Belotero ซึ่งสามารถนำมาฉีดได้อย่างปลอดภัยโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์เท่านั้น เนื่องจาก Radiesse Filler ถูกรับรองความปลอดภัยจากอย.อเมริกา ยุโรป และไทย รวมถึงมีการใช้มากกว่า 85 ประเทศทั่วโลกค่ะ
ในปัจจุบันได้มีอยู่ด้วยกัน 2 รุ่น ดังนี้
- Radiesse Classic รุ่นนี้ไม่มีส่วนผสมของยาชา ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว ฟื้นฟูโครงสร้างผิว ยกกระชับผิว ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวหลังฉีด
- Radiesse Plus รุ่นนี้มีส่วนผสมของยาชา ช่วยเติมเต็มชั้นผิว แก้ไขปัญหารูปหน้า ร่องลึกต่างๆ และยังสามารถกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิวได้ โดยมีจุดเด่นด้านการปรับรูปหน้าให้คมชัดและยกกระชับ
Radiesse Classic และ Radiesse Plus ต่างกันอย่างไร
เปรียบเทียบคุณสมบัติ | Radiesse Classic | Radiesse Plus |
ส่วนผสมยาชา | ไม่มี | มี Lidocaine |
จุดเด่น | กระตุ้นคอลลาเจน ฟื้นฟูผิว | เติมเต็ม + ปรับรูปหน้า + กระตุ้นคอลลาเจน |
เหมาะสำหรับ | ฟื้นฟูสภาพผิว กระตุ้นคอลลาเจนทั่วใบหน้า | เติมเต็มร่องลึก ยกกระชับ ปรับรูปหน้า |
ความรู้สึกขณะฉีด | อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อย | เจ็บน้อยลงจากฤทธิ์ยาชา |
การทำงานของ Radiesse คือการฉีดสารเข้าไปในชั้นผิวหนังเพื่อกระตุ้นให้เซลล์ Fibroblasts ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ผลิตคอลลาเจนในผิวหนังทำงานมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ผิว และทำให้ผิวดูอิ่มฟู แน่นกระชับ และ เรียบเนียนขึ้น
นอกจากนี้อนุภาค Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ยังช่วยสร้างโครงสร้างตาข่าย 3 มิติในผิวหนัง ทำหน้าที่เหมือน โครงสร้างค้ำยัน ให้ผิวแข็งแรงขึ้น ลดความหย่อนคล้อยจากอายุที่เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งกระตุ้นการฟื้นฟูผิวในระยะยาว
ฉีด Radiesse ช่วยเรื่องอะไร
เมื่อฉีด Radiesse Filler เข้าชั้นผิว CaHa จะเริ่มกระตุ้นการทำงานของ Fibroblasts ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่ผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินในชั้นผิว เพิ่มความแข็งแรงของโครงสร้างผิว ช่วยฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ โดยสามารถช่วยกระตุ้นเซลล์ และคอลลาเจนต่างๆได้ดังนี้
- กระตุ้นคอลลาเจน Type I ซึ่งเป็นหนึ่งในคอลลาเจนหลักมีความสำคัญ ที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นผิว เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวแข็งแรงมากขึ้น
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Type III ที่ช่วยปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรง เพิ่มเนื้อเยื่อใหม่ในผิว ทำให้ผิวกระชับมากขึ้น
- กระตุ้นการสร้างอีลาสติน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น ผิวเกิดริ้วรอยได้ยากขึ้น ไม่เป็นริ้วรอยถาวร
- เพิ่ม Proteoglycan ซึ่งเป็นในสารประกอบของโปรตีน ช่วยเร่งการสร้างคอลลาเจน อีลาสติน และยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
- ช่วยกระตุ้น Angiogenesis ซึ่งเป็นการสร้างเส้นเลือดใหม่ขึ้นมา ช่วยให้เลือดเวียนได้ดี สุขภาพผิวดีขึ้น
ใครเหมาะกับ Radiesse Filler
- ผู้ที่มีผิวขาดคอลลาเจน ไม่มีวอลลุ่ม ต้องการฟื้นฟูความเต่งตึง
- ผู้ที่มีริ้วรอยร่องลึก เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก ร่องมุมปาก
- ผู้ที่มีผิวหน้าหย่อนคล้อย กรอบหน้าไม่ชัด ต้องการยกกระชับ
- ผู้ที่มีผิวแห้ง หมองคล้ำ ขาดความชุ่มชื้น และรูขุมขนกว้าง
- ผู้ที่มีริ้วรอยและความหย่อนคล้อยบริเวณหลังมือ ลำคอ หน้าอก
- ผู้ที่ต้องการเพิ่มความชัดของกรอบหน้าและปรับรูปหน้า
- ผู้ที่มีรอยแผลเป็น รอยบุ๋ม หรือหลุมสิวที่ไม่ลึกมาก
- ผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปที่เริ่มมีริ้วรอย ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อให้ผิวดูอ่อนเยาว์
สามารถฉีด Radiesse Filler บริเวณไหนได้บ้าง
Radiesse สามารถฉีดได้หลายบริเวณในจุดที่ต้องการเติมเต็ม และฟื้นฟูผิว โดยบริเวณที่สามารถฉีดได้มีทั้งหมดดังนี้
- ทั่วใบหน้า ฉีดทั่วๆ ใบหน้า หรือฉีดเฉพาะจุดบนใบหน้าที่ต้องการเพื่อฟื้นฟูคอลลาเจนบนผิวหน้า ทำให้ผิวหน้ากระชับขึ้น และปรับรูปหน้าตามที่ต้องการได้
- มือ ฉีดบนผิวมือ ลดริ้วรอยบนมือ ทำให้มืออ่อนเยาว์ และชุ่มชื้นมากขึ้น
- คอ แก้ริ้วรอยรอบคอที่ทำให้ดูมีอายุก่อนวัย Radiesse จะช่วยยกกระชับผิวคอ ลดริ้วรอย
- หน้าอก สามารถกระตุ้นคอลลาเจนบริเวณหน้าอก ยกกระชับหน้าอก ลดความหย่อนคล้อยหน้าอกได้
ถึง Radiesse จะสามารถนำมาฉีดได้หลายบริเวณ แต่ไม่ควรนำมาฉีดบริเวณใต้ตา ระหว่างคิ้ว จมูก ปาก และริมฝีปาก แนะนำให้เป็นการฉีดฟิลเลอร์แทน เช่น ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หรือ ฉีดฟิลเลอร์ปาก ค่ะ
Radiesse VS Sculptra ต่างกันยังไง
เปรียบเทียบคุณสมบัติ | Radiesse | Sculptra |
ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน | ✅ | ✅ |
เติมเต็มร่องลึกทันที | ✅ | ❌ |
ฉีดแล้วเห็นผลเร็ว | ✅ | ❌ (ใช้เวลา) |
เหมาะกับ | คนต้องการผลไว | คนต้องการผลระยะยาว |
Radiesse และ Sculptra เป็นหัตถการทางการแพทย์ ที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์ แต่มีความแตกต่างกันในด้านการทำงานและผลลัพธ์ที่ได้ โดย Sculptra กระตุ้นคอลลาเจนอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยและไม่กระชับ ในขณะที่ Radiesse เห็นผลลัพธ์ชัดเจนทันทีหลังฉีด ช่วยเติมเต็มร่องลึก ทำให้ผิวอิ่มฟูเรียบเนียนขึ้น และช่วยกระตุ้นคอลลาเจนด้วย
แม้ว่าทั้งสองชนิดสามารถกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินได้ใกล้เคียงกัน แต่ Sculptra จะช่วยเรื่องการยกกระชับมากกว่า ส่วน Radiesse ให้ผลลัพธ์ด้านการเติมเต็มร่องผิวที่ดีกว่า ดังนั้นการเลือกใช้ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและเป้าหมายของแต่ละบุคคล
Radiesse สามารถฉีดได้ทั้งแบบเติมเต็มทันทีเหมือนฟิลเลอร์ และแบบเจือจางเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนในบริเวณกว้าง ซึ่งทำให้ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ในขณะที่ Sculptra เป็นขวดบรรจุผงที่ต้องผสมกับน้ำเกลือก่อนฉีด และต้องเขย่าก่อนใช้งานตามขั้นตอน จะค่อย ๆ กระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนขึ้นเอง
แต่สามารถฉีดพร้อมกันได้ ซึ่งควรฉีดในบริเวณที่แตกต่างกัน หรือหากฉีดในตำแหน่งเดียวกันควรรออย่างน้อย 1-3 เดือนเพื่อป้องกันผลข้างเคียง และให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
Radiesse Filler ควรฉีดกี่ครั้ง
แนะนำให้ฉีด Radiesse ติดต่อกัน 2 – 3 ครั้ง โดยห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจน และคงสภาพผลลัพธ์ที่ดีเอาไว้ โดยในหนึ่งครั้งควรจะฉีดประมาณ 1 – 2 CC แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนไป โดยแพทย์เป็นคนประเมินจำนวนครั้งและปริมาณที่ต้องฉีดให้เองค่ะ
ฉีด Radiesse กี่วันเห็นผล
หลังจากที่ฉีดจะเห็นผลลัพธ์ทันทีว่าผิวถูกเติมเต็ม ริ้วรอยตื้นขึ้น และยกกระชับขึ้นเล็กน้อย และจากนั้นค่อยๆ เริ่มจะตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว โดยเห็นผลลัพธ์ได้ใน 1 เดือนว่าผิวดูสุขภาพดีขึ้น และเห็นผลลัพธ์เต็มที่เมื่อครบ 6 เดือนหลังฉีดว่าผิวเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ผิวมีความยืดหยุ่น สุขภาพดี
Radiesse อยู่ได้นานไหม
ระยะเวลาของผลลัพธ์ Radiesse Filler สามารถอยู่ได้นานประมาณ 1 – 2 ปี โดยจะกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิวได้อย่างยาวนาน และถึงจะครบระยะเวลาของผลลัพธ์แล้ว แต่จะยังคงเหลือคอลลาเจนในผิวอยู่ ทำให้ผิวยังดูกระชับ ยืดหยุ่น
วิธีดูแลหลังฉีด Radiesse Filler
เพื่อให้ผลลัพธ์หลังฉีดอยู่ได้นานขึ้น และผลลัพธ์ออกมาตามความต้องการไม่มีผลข้างเคียงที่อันตราย ควรดูแลหลังฉีด Radiesse ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการจับ ลูบ หรือกดบริเวณที่ฉีดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และ ฟิลเลอร์ไหล
- งดแต่งหน้าอย่างน้อย 1 วัน ควรรอให้รอยเข็มหายก่อน
- เลี่ยงการทำหัตถการที่ใช้ความร้อนสูง การโดนความร้อน ประมาณ 2 สัปดาห์
- สามารถประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมที่เกิดขึ้นหลังฉีด
หลังฉีดอาจมีอาการบวมเล็กน้อย ซึ่งจะหายเองภายใน 72 ชั่วโมง หากพบความผิดปกติอื่นๆ เช่นรู้สึกแสบร้อนที่ผิวรุนแรง ผิวบวมขึ้นเรื่อยๆ สีผิวเปลี่ยนสีคล้ำขึ้น หรือซีดมากเกินไป ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อรักษา
ฉีด Radiesse ราคาเท่าไร
สำหรับราคา Radiesse Filler แต่ละคลินิกมีราคาที่ไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับ ความเชี่ยวชาญแพทย์ โปรโมชั่นในตอนนั้น ซึ่ง Radiesse มีราคาประมาณ 30,000 – 40,000 บาท ซึ่งราคาจะขึ้นอยู่กับจำนวน CC ที่ใช้ บริเวณที่ฉีด และความเชี่ยวชาญของแพทย์ หากเจอราคาที่ถูกมากเกินไปอาจเป็นของปลอมควรเช็กให้ดีก่อนฉีด เพราะถ้า ฉีดฟิลเลอร์ปลอม อาจเกิดผลข้างเคียงที่อันตรายรักษาได้ยากค่ะ
สรุป
Radiesse เป็นสารที่ช่วยเติมเต็ม และกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิวได้พร้อมๆ กัน ซึ่งนำมาฉีดได้หลายๆ บริเวณที่ต้องการฟื้นฟูผิว แต่ควรเช็คให้ดีก่อนฉีดทุกครั้งว่าเป็นของแท้เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่ไม่ต้องการ หากต้องการฟื้นฟูผิวหน้า ปรับผิวหน้าให้กระชับขึ้น ลดริ้วรอยต่างๆ แต่ไม่รู้ว่าจะเลือกทำวิธีไหนดี สามารถเข้ามาปรึกษา Vincent Clinic Skin โดยจะให้คำปรึกษาโดยแพทย์โดยตรงค่ะ